เมืองยักษ์ที่ถูกปกคลุมด้วยม่านลำแสงสีเหลืองอ่อน ด้านนอกมีเรือสงครามสีเงินขนาดน้อยใหญ่ไม่เท่ากันนับร้อยลำลอยอยู่รอบๆ

 

 

เรือสงครามสีเงินเหล่านี้ เล็กหน่อยก็มีขนาดพันกว่าจั้ง ใหญ่หน่อยก็มีขนาดหมื่นกว่าจั้ง ราวกับเมืองขนาดย่อมอย่างไรอย่างนั้น ตั้งตระหง่านอยู่ด้านบนเมืองยักษ์แห่งนี้

 

 

ในเรือสงครามลำใหญ่ที่สุด มีเผ่าแมลงมีเขาระดับหลอมสุญตาอยู่สิบกว่าคน ยืนอยู่ในสิ่งปลูกสร้างรูปทรงคล้ายตึกที่สูงที่สุด กำลังมองดูสถานการณ์ในเมืองยักษ์

 

 

ด้านหลังของพวกเขามีเก้าอี้ตัวหนึ่ง กลับมีหญิงสาววัยเยาว์ผิวสีเงินขาว ดวงตาสีม่วงทองนั่งอยู่คนหนึ่ง

 

 

คนกลุ่มนี้กำลังซุบซิบอะไรกันอยู่ บ้างก็ชี้ไปที่เมืองยักษ์ด้านล่าง

 

 

ส่วนหญิงสาววัยเยาว์กลับเผยสีหน้าครุ่นคิดออกมา ดูเหมือนว่าจะกำลังขบคิดอะไรสักอย่าง

 

 

ฉับพลันนั้นทางเข้าตึกก็มีลำแสงสว่างวาบ ลำแสงสีแดงสายหนึ่งพุ่งออกมา หลังจากหมุนวนก็พุ่งไปหาหญิงสาววัยเยาว์

 

 

หญิงสาววัยเยาว์พลันขมวดคิ้วเรียวยาว มือหนึ่งโบกผ่าลงลำแสงสีแดง ลำแสงนี้กลายเป็นเปลวเพลิงสีแดงกลุ่มหนึ่ง ร่อนลงมาด้านล่าง

 

 

หญิงสาวใช้มือหนึ่งถือเปลวเพลิงลำแสงเอาไว้ แทรกจิตสัมผัสเข้าไปด้านใน

 

 

“คาดไม่ถึงว่าจะมีเรื่องเช่นนี้ด้วย ไร้ประโยชน์ทั้งกลุ่ม!” หลังจากผ่านไปชั่วครู่ ฉับพลันนั้นหญิงสาวก็มีสีหน้าเคร่งขรึม เอ่ยประโยคที่เย็นชาออกมา

 

 

คนอื่นๆ ได้ฟังคำนี้ ต่างใจหายวาบ คำพูดหยุดชะงักลงพลางมองไปทางหญิงสาวอย่างไม่ทันรู้สึกตัว

 

 

“เรียนใต้เท้า เกิดเรื่องอันใด ให้ท่านใต้เท้าไม่สบอารมณ์หรือ” ชายร่างใหญ่ที่หลังค่อมเล็กน้อยเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง

 

 

“หึ เผ่าเบื้องบนระดับเจ็ดแปดไปตามจับเจี่ยเทียนมู่ ผลคือส่งกลุ่มหนึ่งออกไปแต่ถูกสังหารจนหมดแล้ว อีกกลุ่มหนึ่งกลับไม่แม้แต่จะได้ส่งตัว” นัยน์ตาของหญิงสาวมีลำแสงสีม่วงเปล่งแสงสว่างวาบ แค่นเสียงหึและเผยสีหน้าบึ้งตึงออกมา

 

 

“เป็นไปได้อย่างไร? แม้ว่าเจี่ยเทียนมู่จะเชี่ยวชาญเคล็ดวิชาหุ่นเชิด แต่ก็เป็นแค่ชนชั้นสูงระดับกลางเท่านั้น จะสังหารทหารไล่ล่าทั้งหมดได้อย่างไร” ฮูหยินอีกคนที่มีใบหน้าค่อนข้างยาวได้ยิน ก็มีท่าทีไม่อยากจะเชื่อ

 

 

“จากปากของผู้รอดชีวิต เจี่ยเทียนมู่ไม่ได้ทำ แต่เป็นอีกคนที่ลงมือ” หญิงสาววัยเยาว์สั่นศีรษะ

 

 

“อีกคน? หรือว่าที่นี่นอกจาก ‘เมืองเหิงสุ่ย’ แล้วยังมีเผ่าศักดิ์สิทธิ์คนอื่นอยู่แถวบริเวณนี้?”ชายร่างใหญ่ที่พูดในตอนแรกพลันตกตะลึง

 

 

“ไม่ใช่ระดับผสานอินทรีย์! แต่เป็นระดับเผ่าเบื้องบนขั้นเจ็ด ดังนั้นฉันถึงได้บอกว่าคนเหล่านั้นมันไร้ประโยชน์! คนมากขนาดนี้คาดไม่ถึงว่าจะเพลี่ยงพล้ำในมือของผู้ที่อยู่ในระดับเดียวกัน” นัยน์ตาของหญิงสาววัยเยาว์มีลำแสงสีม่วงไหลเวียน น้ำเสียงเองก็เย็นชา

 

 

คนอื่นๆ เห็นหญิงสาวมีท่าทีโมโห ก็ล้วนเงียบกริบไม่พูดอะไร ไม่กล้าเอ่ยปากโดยพลการ

 

 

“ส่งข่าวไปบอกท่านทูตถูเดี๋ยวนี้ บอกเรื่องนี้กับพวกเขา แล้วให้พวกเขารับหน้าที่ดูแลเจี่ยเทียนมู่ต่อ พวกเราก็รับหน้าที่ทะลายเมืองเหิงสุ่ย!” คำพูดของหญิงสาวเย็นชาดุจมีด ออกคำสั่งทีละคำๆ

 

 

“ทูตถูมีภารกิจอื่น ไม่มีทางมาหรอก?” คนหนึ่งพูดอย่างระมัดระวัง

 

 

“ขอแค่บอกเขาว่าผู้ที่ลงมือคือผู้ที่พวกเขาอยากสกัดกั้น เขาสองคนจะรับเรื่องนี้อย่างว่าง่าย” หญิงสาวกวาดสายตาไปหาคนถามแวบหนึ่ง แล้วเอ่ยอย่างราบเรียบ

 

 

“คนที่ช่วยเจี่ยเทียนมู่ไปคือคนที่ทูตถูตามหา!” ทุกคนพลันตกตะลึง มองสบตากันไปมา

 

 

“เอาล่ะ เรื่องนี้พอแค่นี้ ตอนนี้สิ่งที่ต้องทำก็คือจ้องทำลายเมืองนี้ภายในสามวัน! ขอแค่เมืองนี้ถูกทำลาย เมืองเกราะทองที่เหลือก็เป็นเมืองโดดเดี่ยวแล้ว จะตกอยู่ในมือของพวกเราหรือไม่ก็ไม่มีอะไรแตกต่างกัน พวกเจ้าทำตามแผนเถิด” หญิงสาวสำทับ

 

 

“ขอรับ” ชนชั้นสูงเผ่าแมลงมีเขาตนอื่นๆ ได้ยินกลับค้อมตัวลง เอ่ยตอบรับอย่างนอบน้อม

 

 

จากนั้นคนเหล่านั้นก็ออกไปจากหอคอย ทยอยกันบินกลับไปยังเรือสงครามขนาดใหญ่ที่ตนเองรับหน้าที่ดูแล

 

 

หนึ่งชั่วยามต่อมา เรือสงครามทั้งหมดก็เปล่งแสงสว่างวาบ เริ่มเปล่งเสียงอึกทึกดังเสียบแก้วหูออกมาตามคำสั่งของหญิงสาว

 

 

นักรบชุดเกราะเผ่าแมลงมีเขา อินทรียักษ์สองหัวรวมทั้งมังกรวารีขนนกจำนวนนับไม่ถ้วนที่หานลี่เคยเห็นก่อนหน้าทะลักออกมาจากเรือสงคราม มาตั้งแถวที่กลางอากาศรอบด้านอย่างเป็นระเบียบ จากทั้งสี่ทิศแปดด้าน กลายเป็นวงล้อมเมืองยักษ์จนไร้ช่องโหว่

 

 

หลังจากที่กองทัพเผ่าแมลงมีเขาเหล่านี้ทะลักเข้ามา หุ่นเชิดหลากสีสันก็บินออกมาจากเรือสงคราม

 

 

หุ่นเชิดเหล่านี้ส่วนใหญ่ล้วนมีรูปทรงมนุษย์ เล็กน้อยก็ไม่ต่างอะไรกับคนธรรมดา ใหญ่หน่อยกลับสูงสิบจั้งเศษ

 

 

ส่วนหุ่นเชิดรูปอสูร มีแค่สามตัว แต่ทุกตัวล้วนมีขนาดใหญ่เป็นร้อยจั้ง

 

 

ตัวหนึ่งคล้ายเต่ายักษ์ แต่ก็มีสามหัวในเวลาเดียวกัน กระดองมีหนามแหลมๆ ใหญ่ๆ งอกออกมา อีกตัวหนึ่งหัวเหมือนสิงโตตัวเหมือนวานร เหนือหัวมีเขากวางสีทองขนาดยักษ์

 

 

ตัวที่สามกลับเป็นหุ่นเชิดอสูรที่คล้ายมดบิน ไม่เพียงขนาดตัวใหญ่สุด และยิ่งไปกว่านั้นตัวยังเป็นสีขาวผุดผ่อง ราวกับสร้างขึ้นจากผลึกหินอย่างไรอย่างนั้น

 

 

เมื่อเห็นคนของเผ่าแมลงมีเขาเริ่มการโจมตีเช่นนี้ ชั่วพริบตาเมืองที่อยู่ใต้ม่านลำแสงก็เดือดพล่าน

 

 

จากม่านลำแสงยักษ์สามารถมองเห็นได้รางๆ ว่า สถานที่หลายแห่งในเมืองมีเขตอาคมต่างๆ เปล่งประกายอยู่ ทันใดนั้นเสาลำแสงหนาๆ สายหนึ่งก็พุ่งออกมาจากเขตอาคม ทยอยกันจมหายเข้าไปในม่านลำแสงกลางอากาศ

 

 

เดิมทีม่านแสงที่ดูเหมือนของจริง พลันเปลี่ยนเป็นสีสันแวววาวเปล่งประกาย และยิ่งไปกว่านั้นอักขระจำนวนมากพลันทะลักออกมาจากม่านลำแสง

 

 

และในสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ในเมืองยักษ์ พลันมีเงาร่างคนจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งออกมาพร้อมๆ กัน คนจำนวนไม่น้อยขับเคลื่อนลำแสงหลีกหนีพุ่งตรงไปยังเขตอาคมที่เปล่งแสงเจิดจ้าเหล่านั้น

 

 

“เริ่มโจมตี!” หญิงสาวแซ่อินที่อยู่บนเรือสงครามยักษ์พลันออกคำสั่ง

 

 

หลังจากผ่านไปชั่วครู่หุ่นเชิดอสูรร่างกายมหึมาก็เริ่มทำการโจมตี

 

 

เห็นเพียงกระดองเต่ายักษ์มีลำแสงประหลาดไหลวนโคจร ชั่วพริบตาลำแสงเจิดจ้าจำนวนนับไม่ถ้วนพลันพุ่งออกไป

 

 

ตัวประหลาดหัวสิงโตร่างวานรตัวนั้นอ้าปากออก พ่นเสาลำแสงสีทองสายหนึ่งออกมา ด้านในมีเสียงวายุอัสนีอยู่รางๆ

 

 

 หุ่นเชิดมดยักษ์ที่เหมือนกับผลึกวานร กลับอ้าปากพ่นหมอกสีเขียวเข้มออกมาหมุนวนไป

 

 

แทบจะตามอสูรหุ่นเชิดสามหัวมาติดๆ เรือสงครามทั้งหมดเปล่งแสงสว่างวาบขึ้นในเวลาเดียวกัน เสาลำแสงเป็นสายๆ กรูกันเข้ามา

 

 

ชั่วพริบตาเสียงอึกทึกพลันดังขึ้น ราวกับระลอกคลื่นที่ไม่มีสิ้นสุด ดูเหมือนอัสนีฟาดเป็นระลอกๆ!

 

 

……

 

 

ตรงสันเขาในภูเขายักษ์ ในวิหารมืดสลัวแห่งหนึ่ง ทุกแห่งล้วนดูขมุกขมัว ไม่อาจมองเห็นด้านในวิหารอย่างชัดเจนได้ แต่รอบด้านกลับเงียบสงัด ไม่รู้ว่าไม่ได้มีคนมาที่นี่มากี่ปีแล้ว

 

 

แต่หลังจากผ่านไปชั่วครู่ ฉับพลันนั้นในวิหารพลันมีลำแสงสีขาวสว่างวาบ เขตอาคมขนาดสองสามจั้งปรากฏขึ้นใจกลางวิหาร

 

 

เขตอาคมนี้เปล่งแสงระยิบระยับ เปล่งเสียงร้องคำรามต่ำๆ ออกมา

 

 

จากนั้นลำแสงพลันเจิดจ้า เงาร่างคนรางเลือนสองสายปรากฏขึ้นในเขตอาคม

 

 

หนึ่งในนั้นคือชายหนุ่มสวมชุดคลุมสีเขียว อีกคนหนึ่งกลับผมยุ่งเหยิง ปิดบังผมไปครึ่งหน้า

 

 

นั่นก็คือหานลี่และเจี่ยเทียนมู่!

 

 

“ที่นี่ลึกลับมาก เป็นเขตอาคมส่งตัวที่เผ่าหมื่นโบราณของพวกเราสร้างขึ้น ไม่ถึงคราวอันตรายจะไม่ใช้มัน คนที่รู้มีอยู่น้อยมาก ที่นี่อยู่ห่างจากเขตที่เผ่าแมลงมีเขายึดครองมากนัก ห่างจาก ‘เมืองเมฆา’ เมืองที่สามของสิบสามเผ่าเมฆาสวรรค์ของพวกเราเป็นระยะทางแค่สองสามวันเท่านั้น” เจี่ยเทียนมู่กวาดตาไปรอบๆ แล้วฉีกยิ้มขณะเอ่ย

 

 

จากนั้นก็เห็นเขาชูมือข้างหนึ่งขึ้น อาคมสายหนึ่งถูกดูดเข้าไปหาผลึกศิลาเม็ดหนึ่งที่ฝังอยู่บนวิหารในละแวกนั้น

 

 

ชั่วขณะนั้นวิหารพลันเปล่งประกาย สถานที่สิบกว่าแห่งรอบกำแพงวิหารเปล่งแสงเจิดจ้าขึ้นมาพร้อมกัน สะท้อนวิหารทั้งหลังได้อย่างชัดเจน

 

 

หานลี่กวาดสายตาไปเช่นกัน เห็นวิหารนี้มีขนาดไม่ถึงร้อยจั้งเศษ ล้วนสร้างขึ้นจากหินยักษ์สีเขียวขาวสองสี แต่ด้านในวิหารกลับสะอาดเอี่ยม ไม่มีฝุ่นเลยสักนิด

 

 

ดังนั้นเขาจึงพยักหน้าเอ่ยอย่างราบเรียบ

 

 

“อืม ดูท่าทางแล้วไม่มีคนมาใช้ที่นี่นานแล้วจริงๆ ทว่าที่นี่ห่างจากเมืองเมฆาที่สหายว่าเท่าไหร่? เมืองนี้มีชื่อเสียงมากสินะ ข้าเหมือนได้ยินว่ามหาอาวุโสของเผ่าหมื่นโบราณของพวกเจ้าอยู่ที่เมืองนั้น”

 

 

“อืม สหายหานก็รู้เรื่องนี้! หึๆ ทว่าวางใจ เมืองเมฆาห่างจากที่นี่เป็นระยะทางครึ่งเดือนเท่านั้น เมืองนี่คือเมืองที่ใหญ่อันดับสามในสิบสามเผ่าเมฆาสวรรค์ การก่อสร้างของมึงนี้มีเอกลักษณ์เป็นอย่างมาก แน่นอนว่าย่อมมีชื่อเสียงไม่น้อย และเป็นเมืองใหญ่ที่อยู่ใกล้กับเมืองที่เผ่าแมลงมีเขาเข้าโจมตีมากที่สุด หลังจากสงครามปะทุขึ้นอย่างเป็นทางการ เมืองเมฆาคงจะเป็นศูนย์กลางของเผ่าเมฆาสวรรค์ของพวกเรา” เจี่ยเทียนมู่กลับหัวเราะหึๆ

 

 

“อือ อย่างนั้นยิ่งดี เมืองนี้มีชื่อเสียงขนาดนี้ คิดดูแล้วคงไม่ธรรมดา ข้ากำลังอยากไปเมืองใหญ่เพื่อทำธุระสักหน่อย” หานลี่ตอบกลับด้วยสีหน้าราบเรียบสองสามประโยค

 

 

“ข้าน้อยพักอยู่ในถ้ำพำนักชั่วคราวในเมืองเมฆา นับว่าเป็นเจ้าบ้านครึ่งหนึ่ง หากสหายมีธุระอะไร ก็มาหาผู้แซ่เจี่ยก็แล้วกัน หากเป็นเรื่องใหญ่ก็พูดยาก เรื่องเล็กน้อยข้ามั่นใจว่าจะช่วยท่านได้แน่” เจี่ยเทียนมู่เอ่ยกับหานลี่ด้วยใบหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้ม

 

 

เมื่อผ่านเหตุการณ์ที่หานลี่สังหารผู้ที่อยู่ในระดับเดียวกันสองสามคนลงอย่างง่ายดาย แน่นอนว่าเจี่ยเทียนมู่ย่อมรู้ว่าหานลี่ไม่ใช่เผ่าชนชั้นสูงธรรมดาๆ ดังนั้นแม้ว่าเขาจะพ้นจากอันตรายแล้ว และยิ่งไปกว่านั้นยังมีฐานะที่พิเศษในเผ่าหมื่นโบราณ แต่ก็ยังคงคิดจะคบค้าสมาคมกับหานลี่

 

 

“ขอบคุณสหายเจี่ย ถึงตอนนั้นผู้แซ่หานอาจจะมีเรื่องให้สหายช่วยสนับสนุน” หานลี่หน้าเปลี่ยนสีแต่ก็ปฏิเสธความปรารถนาดีของอีกฝ่ายนั้น

 

 

“เมืองเมฆาในตอนนี้ หากเป็นสหายคนอื่นๆ นอกจากสิบสามเผ่าจะเข้าเมืองไปละก็ เกรงว่าจะไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะคนหน้าใหม่อย่างพี่หาน ยิ่งยุ่งยาก ทว่าข้าน้อยเห็นสหายสังหารผู้ที่อยู่ในระดับเดียวกันของคนเผ่าแมลงมีเขากับตา แน่นอนว่าย่อมเป็นผู้รับประกันให้สหายได้ หึๆ ทว่าจะว่าไปแล้ว พี่หานเข้ามาในเผ่าหมื่นโบราณของพวกเรา เป็นแขกผู้เกียรติเป็นอย่างไร? ข้าน้อยมั่นใจว่าสามารพูดกับคนในเผ่า และแนะนำสหายให้กับอาวุโสในเผ่าได้โดยตรง จากอิทธิฤทธิ์ของสหาย จะต้องเป็นกำลังเสริมที่สำคัญกับเผ่าเราแน่ และหากเป็นแขกผู้มีเกียรติของเผ่าเรา ประโยชน์ที่จะได้รับก็ย่อมมากกว่าที่คนทั่วไปจะจินตนาการได้ หากทำอะไรในเมืองเมฆาสวรรค์ก็จะได้ลงแรงน้อยได้ผลตอบแทนสูง” เจี่ยเทียนมู่กะพริบตา ฉีกยิ้มบางๆ ขณะเอ่ย

 

 

“ขอบพระคุณความหวังดีของพี่เจี่ย แต่ข้าน้อยไม่อาจอยู่ในเมืองเมฆาสวรรค์ได้นานนัก เรื่องนี้ค่อยว่ากันทีหลังเถอะ” หลังจากที่หานลี่ขบคิด ถึงได้ตอบกลับอย่างคลุมเครือ

 

 

“ก็จริง! ค่อยคุยกันก็ยังไม่สาย พวกเรารีบไปที่เมืองเมฆาเถอะ ข้าน้อยมีสหายสนิทอยู่ในเมืองสองสามคน ถึงตอนนั้นจะได้แนะนำให้สหายหาน” เจี่ยเทียนมู่เอ่ยอย่างกระตือรือร้น

 

 

หานลี่หน้าเปลี่ยนสี แต่พยักหน้าไม่ได้เอ่ยปากอะไร

 

 

ยามนี้หานลี่เดินออกมาจากเขตอาคมส่งตัว ตรงไปยังประตูวิหาร

 

 

ผลักประตูวิหาร ด้านนอกเป็นทางเดินหินสีเขียวสายหนึ่ง หมุนวนขึ้นไปด้านบน

 

 

หานลี่และเจี่ยเทียนมู่กลายเป็นลำแสงหลีกหนีสองสาย เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในทางเดิน

 

 

หลังจากผ่านไปชั่วครู่ ลำแสงสีขาวกลุ่มหนึ่งและสายรุ้งสีเขียวสายหนึ่งพลันพุ่งออกมาจากสันเขาภูเขายักษ์ กะพริบวาบสองสามครั้ง แล้วพุ่งไปที่ขอบฟ้า