บทที่ 310 แผนล้อมสังหาร

กระบี่จงมา! Sword of Coming

บทที่ 310 แผนล้อมสังหาร ProjectZyphon

สองฝั่งของถนนเส้นยาวที่ถูกปูด้วยหินสีเขียวมีคนสองคนเดินตรงเข้ามา เฉินผิงอันและวงหมากล้อมจึงอยู่ตำแหน่งตรงกลางพอดี

ทางฝั่งซ้ายมือของเฉินผิงอันคือหญิงสาวที่สวมผ้าโปร่งสีขาวปิดบังใบหน้า อาภรณ์สีเขียว ห่มคลุมร่างด้วยผ้าฝ้ายสีแดง ตรงเอวรัดเข็มขัดหยก อุ้มผีผาไว้ในอ้อมอก เรือนร่างเย้ายวน สะโพกโยกย้ายตามจังหวะก้าวเดินอย่างมีชีวิตชีวา

ฝั่งขวามือคือชายฉกรรจ์ร่างสูงเก้าฉื่อ เปิดเปลือยท่อนบนเห็นกล้ามเป็นมัดๆ แต่กลับสวมกระโปรงยาวสีชมพู เดินมามือเปล่า

ชายหญิงคู่นี้ มองอย่างไรก็ไม่เหมือนชาวบ้านร้านตลาดที่ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางเสียงไก่ขัน เสียงหมาเห่า

ชายฉกรรจ์คนนั้นแผ่ปราณสังหารตลบอบอวล ไม่ปกปิดท่าทางฮึกเหิมอยากต่อสู้ของตัวเองไว้แม้แต่น้อย จ้องมองเจ้าคนที่ในมือถือกาเหล้าสีชาด เมื่อเทียบกับบุรุษฉกรรจ์ทั่วไปของแคว้นหนันเยวี่ยนแล้วดูสูงกว่าเล็กน้อย แม้หน้าตาจะหมดจดชวนมอง แต่ก็ไม่ถือว่าเป็นเด็กหนุ่มแล้ว

ชายฉกรรจ์หัวเราะเสียงดังกังวาน “เจ้าคนต่างถิ่น ข้าชื่อหม่าเซวียน มาจากนอกด่าน มีพวกคนชอบสอดรู้สอดเห็นตั้งฉายาให้ว่าจินกังชมพู เมื่อวานมีคนจ่ายทองหนึ่งพันตำลึงซื้อหัวของเจ้า แถมยังบอกด้วยว่าอย่าเห็นแค่ว่าเจ้าหน้าละอ่อน เพราะวรยุทธ์ของเจ้าลึกล้ำจนมิอาจคาดเดาได้ มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นปีศาจเฒ่าอย่างอวี๋เจินอี้ ข้าก็เลยเรียกให้เมียน้อยของข้ามาด้วย วันนี้เจ้าจะฆ่าตัวตาย เหลือศพสภาพสมบูรณ์ หรือจะให้ข้าต่อยเจ้าร่างแหลกเละด้วยสองหมัด?”

ชายฉกรรจ์เสียงดัง คำพูดทั้งประโยคจึงสะเทือนเลือนลั่น พวกคนที่มุงกันอยู่ตรงวงหมากล้อมแตกฮือ ไม่ทันมีเวลาเก็บกระดานหมากและม้านั่ง ได้แต่รีบหนีตาย นี่จะฆ่าคนกลางถนนชัดๆ พวกเขาหรือจะกล้ามามุงดูเรื่องสนุก ตามคำบอกเล่าที่ลึกลับของคนเฒ่าคนแก่ในตรอกจ้วงหยวน ในประวัติศาสตร์ของเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนเคยมีการเข่นฆ่าระหว่างยอดฝีมือในยุทธภพอยู่หลายครั้ง พวกเขาสู้กันจนพลิกฟ้าพลิกดิน สิ่งปลูกสร้างใหญ่หลายแห่งถูกทำลายจนเหลือแต่ซาก หลังจบเรื่องพวกคนที่ต้องสวมชุดขาวผ้าป่านไว้ทุกข์ อย่างน้อยก็มีหลายร้อยหลังคาเรือน

มองผ่านผ้าโปร่งผืนบางไปยังพวกชาวบ้านที่หนีหัวซุกหัวซุน มุมปากของหญิงสาวก็ตวัดขึ้นสูง หมายจะใช้มือขวาดีดสายผีผา ใช้ทำนองเพลงสังหารตัดหัวคน

แต่แล้วหญิงสาวก็หยุดชะงักมือข้างนั้น พลันคลี่ยิ้มหวาน “ในเมื่อคุณชายท่านนี้ไม่ชอบเพิ่มความสนุกสนาน ข้าน้อยก็ไม่ทำในสิ่งที่เกินความจำเป็นแล้ว”

ที่แท้คนต่างถิ่นชุดขาวผู้นั้นจ้องมองนาง ให้ความรู้สึกราวกับว่าหากนางกล้าเอานิ้วสัมผัสสายผีผา เขาก็จะสลัดจินกังชมพูผู้นั้นทิ้ง แล้วหันมาเล่นงานนางก่อน

นางแค่มาช่วยอดีตคนรักหาเงินหนึ่งพันตำลึงทอง ไม่ได้มารับผิดชอบเป็นกำลังหลักในการเข่นฆ่าที่เนื้อไม่กินหนังไม่ได้รองนั่ง แล้วยังเอากระดูกมาแขวนคอ การที่นางยินดีรับการค้าครั้งนี้ก็เพราะนางกับจินกังชมพูหม่าเซวียนคือคู่หูที่ยอดเยี่ยมซึ่งหาได้ยากในยุทธภพ คนหนึ่งเชี่ยวชาญการต่อสู้ประชิดตัว อีกคนหนึ่งคอยก่อกวนอยู่ไกลๆ ร่วมมือประสานได้อย่างไร้ข่องโหว่ ขอแค่ไม่ใช่ปรมาจารย์ใหญ่ในยุทธภพสิบท่านนั้น คนทั้งสองร่วมมือกัน ต่อให้เอาชนะไม่ได้ก็สามารถหนีไปได้

เฉินผิงอันรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ทำไมถึงมาหาตน? ก่อนหน้านี้เทพธิดาฝานกว่านเอ่อร์พูดถึงเจ๋อเซียน ตอนนี้ก็ยังมีคนจ่ายสองพันตำลึงทอง ดังนั้นกลางวันแสกๆ เช่นนี้ถึงได้มีคนสองคนที่ทั่วร่างเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดกระโดดออกมา ซึ่งหากตนไม่ขัดขวางเอาไว้ เกรงว่าพวกชาวบ้านที่เผ่นหนีไปคงตายกันไปแล้ว

เมื่อเทียบกับหม่าเซวียนชายฉกรรจ์ร่างกำยำที่พลังอำนาจน่าครั่นคร้ามแล้ว ความสนใจของเฉินผิงอันกลับไปอยู่ที่ร่างของหญิงสาวมากกว่า

ผีผางดงามที่ทำมาจากไม้จื่อถานทั้งชิ้นอันนั้น เมื่อปรากฏอยู่ในสายตาก็คล้ายจะมีความลี้ลับบางอย่าง บริเวณใกล้เคียงกับผีผามีกลิ่นคาวเลือดเป็นเส้นๆ และกลิ่นอายแห่งความตายที่เข้มข้นราวกับน้ำหมึกล้อมวน แผ่กำจายออกไปรอบด้าน

เพียงแต่ว่าบนผีผาไม่ได้มีผีหรือวิญญาณอาฆาตใดๆ ถือกำเนิดขึ้นมา เฉินผิงอันค่อนข้างจะแปลกใจกับเรื่องนี้ ดูจากประสบการณ์ที่ตนได้เดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ ของแจกันสมบัติทวีปและใบถงทวีป ดวงวิญญาณที่ตายด้วยน้ำมือของผีผามีมากขนาดนี้ เมื่อความอาฆาตแค้นมารวมตัวกันก็น่าจะต้องมีจิตวิญญาณภูตผีกำเนิดขึ้นเหมือนกับที่ป้อมอินทรีบินถึงจะถูก

เด็กหญิงผอมแห้งที่นั่งอยู่บนม้านั่งมุมกำแพงพร่ำพูดไม่หยุดว่า “ขออย่าให้ใครเห็นข้า…มองไม่เห็นข้า…”

ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมนางถึงไม่หนีไปให้ไกลเหมือนกับพวกชาวบ้านก่อนหน้านี้ ตอนแรกใช่ว่านางจะไม่ลังเล แต่กลับรู้สึกว่าหากอยู่ตรงนี้จะปลอดภัยกว่า

เฉินผิงอันถาม “หากข้าจ่ายสองพันตำลึงทอง พวกเจ้าจะบอกให้ข้ารู้ตัวผู้บงการที่อยู่เบื้องหลังหรือไม่?”

หญิงสาวก้มหน้าปิดปากหัวเราะเสียงหวาน เนื่องจากกอดผีผาอยู่ พอทำท่าแบบนี้หน้าอกจึงถูกบดเบียดยิ่งกว่าเดิม

หม่าเซวียนแค่ชำเลืองมองนาง ดวงตาก็ฉายประกายเร่าร้อน จึงด่ายิ้มๆ ว่า “นังหญิงร่าน ไม่ได้เจอกันแค่ไม่กี่ปี เห็นผู้ชายหล่อเข้าหน่อยก็เดินไม่ตรงทางแล้วรึ! ทำการค้าครั้งนี้เสร็จเมื่อไหร่ พวกเราไปหาที่ตีกันต่อเถอะ แต่ลดราคาให้หน่อยได้ไหม? ครั้งหนึ่งตั้งสองร้อยตำลึงทอง ใต้หล้านี้จะมีใครจ่ายไหว?”

เฉินผิงอันถอนหายใจ “คุยกันไม่ได้แล้วจริงๆ รึ?”

ชายฉกรรจ์คนนั้นก้าวยาวๆ มาข้างหน้าพลางหัวเราะร่าเสียงดัง “เด็ดหัวลงมาก่อน แล้วพวกเราค่อยคุยกัน อะไรควรพูดอะไรไม่ควรพูด นายท่านอย่างข้าจะบอกเจ้าทั้งหมด ตกลงไหม?”

หญิงอุ้มผีผาเดินมาข้างหน้าช้าๆ ขณะที่อยู่ห่างจากเฉินผิงอันประมาณหนึ่งร้อยก้าวก็หยุดเดิน นางสะบัดข้อมือเบาๆ ตั้งท่าเตรียมพร้อม

หม่าเซวียนพลันกระทืบเท้า พื้นหินสีเขียวใต้ฝ่าเท้าก็ระเบิดแตกดังเปรี๊ยะ ชายร่างกำยำพุ่งพรวดมาอยู่ตรงเฉินผิงอันห่างไปไม่ถึงหนึ่งจั้ง กระโปรงสีชมพูรัดแนบชิดติดต้นขา เนื่องจากความเร็วมีมากเกินไปจึงส่งเสียงดังพึ่บพั่บ

แค่หนึ่งจั้งเท่านั้น เจ้าคนที่เหมือนตกใจจนยืนบื้อกลับยังคงไม่ขยับเขยื้อน หม่าเซวียนจึงหลุดหัวเราะพรืด “กล้าทำให้เมียน้อยของข้าผู้อาวุโสกระสันอยาก ตายไปก็ไม่เสียดาย!”

เขาไม่กักกำลังใดๆ ไว้อีก หนึ่งหมัดพลันเพิ่มความเร็วต่อยเข้าหาศีรษะของเฉินผิงอัน

ความคิดของเฉินผิงอันแล่นอย่างว่องไว ไม่กล้ามัวชักช้าที่จะหลบหมัดนี้อีก ร่างของเขาล่องลอยถอยไปด้านหลัง ขาสองข้างปักตรึงอยู่กับพื้นดิน

ผู้ฝึกยุทธ์ของที่นี่เหมือนจะใจกล้าไปสักหน่อย รับมือกับศัตรูก็ยังมีอารมณ์มาชวนคนอื่นคุยด้วยหรือ? ไม่กลัวว่าพอใช้ลมปราณเฮือกนั้นหมด ระหว่างที่เปลี่ยนลมปราณเก่าและใหม่ จะถูกคู่ต่อสู้จับพิรุธได้หรือไร?

หมัดที่ปล่อยไปร่วงลงบนความว่างเปล่า หม่าเซวียนรู้แล้วว่าท่าไม่ดี จึงรีบสลายลมปราณไปทั่วร่าง แม้ว่าจะเป็นปรมาจารย์วิชาหมัดนอก แต่เพื่อความไม่ประมาท กลัวว่าเรือนกายที่ผ่านวิชาเหิงเลี่ยนจะต้านทานไว้ไม่ไหว จึงจำต้องละทิ้งท่าการโจมตี หันมาป้องกันรอบด้านแทน หลังจากลมปราณไหลรินผ่านช่องโพรงทั่วร่างแล้ว กล้ามเนื้อก็ส่องประกายแสงเรืองรองคล้ายถูกทาทับด้วยสีทอง

เฉินผิงอันเตะเท้าขึ้นด้านบน กระทุ้งเข้าหน้าท้องของหม่าเซวียน ร่างทั้งร่างของเขาจึงถูกเตะดังปั่กลอยขึ้นฟ้า

หมุนตัวกลับหนึ่งครั้ง เฉินผิงอันก็กลับมายืนตัวตรง ขยับเท้าปาดซ้ายปาดขวาเบาๆ ด้านละครั้งก็หลบ ‘สายผีผา’ สี่สายที่รวมตัวกันเป็นเส้นเดียวมาได้อย่างพอดี

หญิงสาวใช้การคีบ ไถล ดีดสามท่า นิ้วมือทั้งห้าตวัดขึ้นชวนลงลายตา ทว่าผีผากลับไม่ส่งเสียง มีเพียงประกายแสงใสแวววาวเป็นเส้นๆ มารวมตัวกันตรงหน้าของนาง พริบตาเดียวก็พุ่งหายไป

เฉินผิงอันล่องลอยไปมาอยู่บนถนนเส้นนั้น ทุกครั้งล้วนสามารถหลบเส้นใยเยียบเย็นที่พุ่งมาจากสายผีผาได้อย่างพอดิบพอดี เส้นใยที่คมกริบดุจใบมีดตัดสลับกันอยู่กลางอากาศอย่างไร้ระเบียบ คล้ายลูกธนูที่ถูกยิงติดๆ กันออกมาจากธนูหลายสิบคันพร้อมกัน จึงปกคลุมไปทั่วด้าน

หม่าเซวียนกระแทกตัวลงมาด้านล่างโดยทำมือสองข้างเหมือนค้อนที่กำลังจะทุบลงบนพื้นถนนอย่างดุดัน

เห็นได้ชัดว่าหญิงสาวก็คอยสังเกตความเคลื่อนไหวของหม่าเซวียนอยู่ตลอดเวลา นางกะเวลาได้อย่างแม่นยำ ตอนที่หม่าเซวียนร่วงลงมา เส้นใยที่พุ่งออกจากผีผาก็ชะลอความเร็วลง หลีกเลี่ยงไม่ให้ถ่วงการโจมตีของหม่าเซวียน

เฉินผิงอันหายตัวไปจากที่เดิม ชายฉกรรจ์ร่างกำยำอึ้งตะลึง ไม่ทันได้เก็บหมัดจึงกระแทกลงบนถนนอย่างแรง หม่าเซวียนที่แขนยาวดุจวานรงอเข่ากระแทกพื้น อยู่ในท่ากึ่งนั่งยอง หมัดที่สัมผัสกับพื้นกระแทกให้แผ่นหินสีเขียวแตกกระจาย

เฉินผิงอันมาปรากฏตัวอยู่ข้างกายหม่าเซวียน ฝ่ามือข้างหนึ่งกดลงบนไหล่ของเขา เพิ่มน้ำหนักกดลงไปเล็กน้อย หม่าเซวียนก็ถูกกดให้จมลง เข่าสองข้างผลุบหายเข้าไปในแผ่นหินสีเขียว

หม่าเซวียนคำรามอย่างแค้นเคือง คิดจะดันฝ่ามือที่หนักนับพันชั่งนั้นออก แต่แค่คนผู้นั้นกดมือลงมาอีกครั้ง ก้นของเขาก็นั่งแปะลงไปบนพื้น สีทองบนกล้ามเนื้อที่มีความหมายว่าการฝึกวิชาเหิงเลี่ยนกำลังภายนอกแทบจะใกล้ถึงจุดสูงสุดของวรยุทธ์กลับเริ่มสลายไปด้วยตัวเอง ลมปราณในร่างเริ่มโคจรวุ่นวายอย่างที่เขาควบคุมไม่ได้ หม่าเซวียนตกใจจนขวัญหนีกระเจิดกระเจิง

ผ่านการ ‘ประลองฝีมือแลกเปลี่ยนความรู้’ มาแล้ว

ในที่สุดเฉินผิงอันก็ค้นพบความจริงข้อหนึ่งว่า ผู้ฝึกยุทธ์ที่ฝึกวิชาหมัดนอกผู้นี้ ลมปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์ในร่างเฮือกนั้น กระจัดกระจายเกินไป

พลังอำนาจและปณิธานหมัดที่ไหลออกมานอกร่างเป็นของจริง เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตหลอมลมปราณอย่างแท้จริง แต่ก็เหมือนการสร้างบ้านหลังหนึ่ง ไม้ที่เอามาทำคานไม่ดีพอ หากเจอกับลมและแดดปกติก็คงไม่มีปัญหา แต่พอเจอกับลมแรงหรือพายุฝนขึ้นมาจริงๆ ก็ง่ายที่จะต้านทานไม่อยู่แล้วพังครืนลงมา

ลมปราณเฮือกหนึ่งทั้งยุ่งเหยิงและผสมปนเปกัน เน้นจำนวนมาก แต่ไม่เน้นแก่นที่ดีเยี่ยม จึงไม่เข้าใกล้กับคำว่า ‘บริสุทธิ์’ เลยแม้แต่น้อย กลับคล้ายผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งที่เดินไปบนเส้นทางของผู้ฝึกลมปราณเสียมากกว่า

หญิงสาวที่อุ้มผีผาคนนั้นถือโอกาสหยุดนิ้วทั้งสิบ เสียงถอนหายใจเบาๆ ดังออกมาจากหลังผ้าโปร่งคลุมหน้า

ศักยภาพของทั้งสองฝ่ายแตกต่างกันมากเกินไป ครั้งนี้นางกับหม่าเซวียนมาชนตอซะแล้ว

คุณชายชุดขาวที่มองดูเหมือนเด็กหนุ่มตรงหน้านี้ มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเป็นปรมาจารย์ใหญ่ที่เร้นกายจากโลกภายนอกซึ่งขยับเข้าใกล้ ‘สิบท่านในใต้หล้า’ อย่างมากแล้ว

คนของลัทธิมาร? ลูกรักแห่งสวรรค์อีกคนหนึ่งที่เผยกายบนโลกตามหลังมารเฒ่าติง? คิดจะรวบรวมยุทธภพให้เป็นปึกแผ่น?

หรือว่าเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดที่อวี๋เจินอี้เทพเซียนผู้เฒ่าอบรมสั่งสอนมากับมือตัวเอง? เพื่อให้เป็นท่าไม้ตายที่ใช้รับมือกับมารเฒ่าติงซึ่งกลับคืนสู่ยุทธภพอีกครั้ง?

สถานการณ์วุ่นวายยุ่งเหยิง

เช่นเดียวกับในใจของสตรีอุ้มผีผาเวลานี้

ตนกับหม่าเซวียนไม่ควรเข้ามามีเอี่ยวด้วย

บนกำแพงมีคนปรบมือเบาๆ “ร้ายกาจๆ ไม่เสียแรงที่เป็นคนที่ถูกจัดลำดับไว้ชั่วคราว มีค่าพอให้พวกเราจัดการอย่างจริงจังจริงๆ”

หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองแล้วพลันรู้สึกเหมือนจมดิ่งสู่หุบเหวน้ำแข็ง บนกำแพงมีบุรุษที่รอยยิ้มแข็งทื่อคนหนึ่งนั่งยองอยู่ หน้าตาของเขาไม่เคยเปลี่ยนมาตลอดหมื่นปี ประหนึ่งสวมใส่หน้ากากระดับต่ำแผ่นหนึ่ง ใส่ไปแล้วกลับหยั่งรากแตกหน่อ ไม่อาจปลดออกมาได้อีกชั่วชีวิต

 ใบหน้ายิ้ม เฉียนถัง

นอกเหนือจากสิบคนนั้นแล้ว คนผู้นี้เรียกได้ว่าเป็นปรมาจารย์ที่รับมือได้ยากที่สุดในใต้หล้า ที่สุดอย่างที่ไม่มีคำว่าหนึ่งใน แล้วก็เป็นพวกลัทธิมารนอกรีตที่มีนิสัยประหลาดที่สุด ไม่ได้ชอบฆ่าคนบริสุทธิ์พร่ำเพื่อ แต่หากเจอกับยอดฝีมือในขอบเขตเดียวกันจะต้องตอแยเอาให้ตายกันไปข้าง หลิงเซวียเยวียนเทพแปดกรซึ่งอยู่ในอันดับสิบคนของรุ่นผู้อาวุโส แม้จะบอกว่าอายุมากแล้ว ยุคสูงสุดของวิชาหมัดเขาผ่านพ้นไป จึงหลุดออกจากลำดับสิบคน แต่อูฐที่ผอมตายก็ยังตัวใหญ่กว่าม้า ผู้กล้าท่านหนึ่งของหนึ่งในสามลัทธิมารเกือบจะตายด้วยวิชาอภินิหารแปดกรของเขา ทว่าเมื่อเผชิญหน้ากับใบหน้ายิ้ม ถูกเฉียนถังตอแยอยู่นานหนึ่งปีเต็ม ก็เกือบถูกบีบให้กลายเป็นคนสติวิปลาส

ใบหน้ายิ้มผู้นั้นนั่งยองอยู่บนหัวกำแพง มือหนึ่งหยิบดินขึ้นมาขว้างเบาๆ พลางหัวเราะหึหึ “หากยังจงใจกักเก็บพลังที่แท้จริงอีก เจ้าต้องตายแน่นอน ไม่ใช่ตายด้วยน้ำมือของเขา แต่ตายด้วยน้ำมือของข้า”

“ถูกไหม หม่าเซวียน? แล้วยังมีอาซ้อนมใหญ่นั่นอีก ใช่แล้ว เจ้าชื่อแซ่ว่าอะไรแล้วนะ?”

หม่าเซวียนที่ถูกเฉินผิงอันใช้ฝ่ามือกดไหล่อยู่หลายครั้งพลันระเบิดพายุขุ่นมัวออกมาจากร่าง พลังอำนาจเพิ่มทะยานจากก่อนหน้านี้มากมายจนนับไม่ถ้วน

สตรีที่กอดผีผาก็สวมเล็บปลอมที่แผ่แสงอึมครึม ไม่เหมือนว่าจะแสร้งทำเป็นอวดอ้างฝีมืออีกต่อไป แต่เริ่มดีดเส้นเอ็นผีผาแรงๆ อย่างจริงจัง

หม่าเซวียนพลิกมือปล่อยหมัดมาอย่างดุดัน

เฉินผิงอันยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งมาขวางไว้ด้านหน้า ต้านรับหมัดนั้น ฉวยจังหวะนี้ไถลตัวไปด้านหลัง เท้าทั้งสองข้างเหมือนหมากสองเม็ดที่กลิ้งไถลเบาๆ อยู่บนผิวกระจก

เมื่อครู่นี้ระหว่างหม่าเซวียนกับเฉินผิงอันมีเส้นใยสีเขียวเปล่งปลั่งขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือสองเส้นพุ่งผ่านไป เป็นเหตุให้ผนังสองด้านปริแตกเป็นร่องสองเส้น

หากเฉินผิงอันถอยหลังช้ากว่านี้อีกนิดก็จะต้องตกเป็นเป้าการลอบโจมตีครั้งนี้จังๆ

หม่าเซวียนหมุนตัวกลับมา เขาเงยหน้าชำเลืองตามองเจ้าคนบนกำแพงที่ยังมีรอยยิ้มแต้มใบหน้าก่อน แค่นเสียงเย็นหนึ่งครั้ง แล้วค่อยหันมาจ้องเฉินผิงอันที่ยังสุขสบายดี ถ่มเลือดคำหนึ่งลงบนพื้น ก่อนหน้านี้ถูกเฉินผิงอันเตะกระเด็นขึ้นฟ้า อันที่จริงอวัยวะภายในของเขาฃได้รับบาดเจ็บไปแล้ว ชายฉกรรจ์หันไปเอ่ยเตือนหญิงสาวที่อยู่ด้านหลังว่า “หญิงแพศยา หากไม่แสดงความสามารถที่แท้จริงซะบ้าง วันนี้พวกเราคงยากจะผ่านด่านไปได้”

หญิงสาวถลึงตาใส่อย่างดุดัน “ต้องโทษเจ้านั่นแหละ ใต้หล้านี้มีเงินที่ไหนได้มายากเย็นขนาดนี้!”

หม่าเซวียนแยกเขี้ยว “ข้าผู้อาวุโสจะรู้ได้ยังไงว่าทองก้อนนี้ร้อนลวกมือขนาดนี้ ตกลงกันไว้แล้วว่าจะไปเล่นงานมารเฒ่าติงด้วยกัน เดิมทีนึกว่าไอ้หมอนี่จะเป็นแค่พวกปลาซิวปลาสร้อยเท่านั้น”

ความสนใจของเฉินผิงอันอยู่ที่ใบหน้ายิ้มบนหัวกำแพงมากกว่า

เขากำลังหยั่งเชิงพวกเขา หรือควรจะพูดอีกอย่างว่ากำลังพยายามมองตื้นลึกหนาบางของยุทธภพแห่งนี้ให้ออก

แล้วมีหรือที่พวกเขาจะไม่ได้กำลังตรวจสอบรากฐานที่แท้จริงของเฉินผิงอันอยู่เช่นกัน

ใบหน้ายิ้มที่อยู่บนกำแพงปรบมืออีกครั้ง “น่าสนใจๆ ทุกคนอยากจะไปด้วยกันหรือไม่?”

และเวลานี้เอง ปากทางที่ถนนตัดกันมีบุรุษหนุ่มร่างสะโอดสะองดุจต้นไม้หยกรับลมคนหนึ่งเดินออกมาช้าๆ บนศีรษะของเขาปักดอกซิ่ง ในมือหิ้วศีรษะโชกเลือดมาสองหัว

หนุ่มปักบุปผาโจวซื่อยืนอยู่ตรงหัวเลี้ยว มองไกลๆ มายังเฉินผิงอัน ยิ้มพลางโยนศีรษะในมือทิ้งลงบนพื้นเบาๆ

ด้านหลังของเขาคือสตรีหน้าตางดงามที่สวมรองเท้าไม้เกี๊ยะเดินเอื่อยเฉื่อยตามมา นางเดินผ่านโจวซื่อมาอย่างเชื่องช้า เมื่อเปลี่ยนจากเหยียบพื้นดินมาเหยียบแผ่นหินสีเขียวก็มีเสียงต่อกแต่กใสกังวานดังขึ้นเป็นจังหวะ ในมือของนางก็หิ้วศีรษะของคนสองคน แล้วโยนลงบนพื้นถนนเช่นกัน

นางคลี่ยิ้มหวานหยดย้อย “คุณชายท่านนี้ ท่านปู่ของข้าบอกแล้วว่า ขอแค่เจ้ามอบน้ำเต้าบรรจุเหล้าใบนั้นมา เด็กคนนั้นก็จะมีชีวิตรอด หาไม่แล้วห้าคนหนึ่งครอบครัวก็จะได้กลับไปอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาอีกครั้ง หลายวันมานี้คุณชายเดินเตร่ไปทั่วเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยน แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นคนจิตใจดีงาม จะทนเห็นเขาตายได้หรือ?”

ในบ้านที่อยู่ลึกเข้าไปในตรอก ผู้เฒ่าที่บนศีรษะสวมกวานดอกบัวสีเงินกำลังนั่งอาบแดดอยู่บนม้านั่ง ข้างกายมีเด็กชายคนหนึ่งที่เนื้อตัวสั่นเทิ้ม ใบหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำมูกน้ำตา

ผู้เฒ่ายิ้มบางๆ กล่าวว่า “ไม่ต้องกลัว เจ้ามีพรสวรรค์ดีมาก ข้าคิดว่าจะแหกกฎรับเจ้าเป็นลูกศิษย์ ไม่แน่ว่าเจ้าอาจจะได้กลายเป็นเจ้าลัทธิมารคนต่อไป จะร้องไห้ไปไย? แค่ขาดญาติไปไม่กี่คน แต่กลับมีหวังว่าจะได้ครอบครองทั้งยุทธภพ เด็กน้อยเจ้าเคยเรียนหนังสือมาก่อนน่าจะพอคำนวณบัญชีครั้งนี้ได้ หากยังร้องไห้ ทำให้ข้าเสียสมาธิ ไม่สามารถกักเจ้าตัวน้อยในห้องได้ ข้าอาจจะฆ่าเจ้าไปพร้อมกัน”

ผู้เฒ่าเงยหน้ามองไปยังทิศไกล “อวี๋เจินอี้ จ้งชิว จะบอกกับพวกเจ้าตามตรงก็ได้ ข้ารับรองแล้วว่าจะช่วยปกป้องโจวเฝย พวกเจ้าก็รีบฆ่าถงชิงชิงและเฝิงชิงป๋ายไปก่อนแล้วกัน ค่อยมาจัดการข้าผู้อาวุโส อีกอย่างมีคนต่างถิ่นเพิ่มมาคนหนึ่งก็เท่ากับโชควาสนาเพิ่มมาส่วนหนึ่ง จะฆ่าข้าหรือไม่ ไม่ได้สำคัญขนาดนั้นแล้ว พวกเจ้าคิดจริงๆ หรือว่าข้าหวั่นไหวอยากได้ร่างอรหันต์ทองร่างหนึ่ง? พวกเจ้าดูแคลนข้าติงอิงเกินไปแล้ว แต่ข้าจะบอกข่าวดีใหญ่เทียมฟ้าอย่างหนึ่งให้พวกเจ้าก็แล้วกัน ฆ่าเจ้าคนที่อยู่บนถนนผู้นั้นก็เพียงพอแล้ว นอกจากหนึ่งชีวิตแล้ว ยังมีน้ำเต้าบรรจุเหล้าและกระบี่บินเทพเซียนในตำนานซึ่งอยู่ในห้องด้านหลังข้า อย่างน้อยก็ได้ถึงสามส่วนสิบ”

ผู้เฒ่ากล่าวอย่างเกียจคร้านว่า “ไม่สู้พวกเจ้าและข้าสองฝั่งถือโอกาสเปลี่ยนแผนการไปเลยดีกว่า สังหารเจ้าเด็กนั่นก็จะมีโอกาสให้เลือกเพิ่มขึ้นอีกมาก”

พอได้รับคำตอบที่แน่ชัดกลับมแล้ว ผู้เฒ่าก็หลุดหัวเราะพรืด

บนถนน เฉินผิงอันกวาดตามองรอบด้าน พูดเสียงหนัก “เลิกวางแผนเล่นงานสภาพจิตใจของข้าได้แล้ว”

ใบหน้ายิ้มและหนุ่มปักบุปผาต่างก็รู้สึกประหลาดใจ ไม่รู้ว่าเหตุใดอีกฝ่ายถึงหลุดประโยคนี้ออกมา

มีเพียงชายฉกรรจ์วัยกลางคนอุ้มกระบี่ที่ยืนอยู่ใต้ร่มไม้ห่างไปไกลซึ่งเดิมทีกำลังงีบหลับเท่านั้นที่พอได้ยินประโยคนี้ก็ลืมตาขึ้น ไม่มีสีหน้าเกียจคร้านเหลืออีกแม้แต่น้อย หัวเราะเสียงเย็นพูดว่า “เป็นเช่นนี้จริงๆ ด้วย”

—–