นี่คือค่ายผู้รอดชีวิตขนาดกลางที่มีผู้อาศัยอยู่กว่า 50,000 คน หัวหน้าของค่ายนี้คือพลโทของจีน ชื่อว่าหลูอี๋ เขาเป็นที่มีชื่อเสียงในรายชื่อประเมิณนักต่อสู้บนเสาหิน วิวัฒนาการระยะ 5…ไม่เบาเลยทีเดียว

 

และค่ายแห่งนี้เองก็ตั้งมาจากชื่อของหลูอี๋ มันชื่อว่าค่ายเจียนอี๋เป็นชื่อที่มีความหมายอย่างมาก!

 

อย่างไรก็ตาม นั้นไม่ใช่สาเหตุหลักที่ชูฮันตัดสินใจพากลุ่มทหารของเขามาที่นี่ เดิมทีเขาไม่มีความสนใจต่อค่ายนี้เลยสักนิด ทว่าเมื่อตอนที่อยู่ซางจิงเขาบังเอิญได้ยินเสียงนินทาและได้รู้มาว่าหลูอี๋และซางจิ่วตี้เคยเป็นคู่รักกัน ไอ้ผู้ชายคนนี้เคยจีบจิ่วตี้น้อยของเขางั้นเหรอ?

 

เขาไม่ยอมเด็ดขาด!

 

เพราะงั้นชูฮันก็เลยตัดสินใจเปลี่ยนเส้นทางอย่างกระทันหันและพากองทัพของเขามาถึงที่นี้ผ่านจากทางด้านข้างของป่า ความเร็วของการเคลื่อนไหวของกลุ่มนั้นรวดเร็วราวกับสายลม คนทั้ง 300 คนเต็มไปด้วยพละกำลังพลุ่งพล่าน และเมื่อพวกเขามาหยุดอยู่หน้าทางเข้าของค่ายเจียนอี๋ก็ทำให้เจ้าหน้าที่เวรยามหลายคนเกิดความรู้สึกกลัวขึ้นมา ความวิตกจู่โจมเข้ามาจนเหงื่อแตกพลั่ก

 

“เรียกหัวหน้าค่ายของพวกนายออกมา!” เสียงกังวาลของหลี่บี๋เฟิงดังก้อง

 

“คุณ! อย่าขยับ! อย่าเข้ามา! รอแปปหนึ่ง” เจ้าหน้าที่เวรยามด้านบนประตูพูดตะกุกตะกักอยู่หลายรอบ หลังจากเอ่ยเตือนชูฮันและคนอื่นๆ เขาก็รีบปีนลงไปด้านล่างและเข้าไปรายงานสถานการณ์กับหัวหน้าค่าย

 

มันมีรอยยิ้มเย้ยหยันแวบผ่านบนสีหน้าของชูฮัน หลูอี๋…วันนี้และพ่อจะมาปล้นบ้านแกเอง!

 

ความจริงแล้ว นอกเหนือจากเรื่องส่วนตัวของชูฮันเองแล้ว ทั้ง 300 คนของกองทัพเขี้ยวหมาป่าต่างไม่มีใครรู้จุดประสงค์ของการเปลี่ยนเส้นทางการเดินทางมาค่ายนี้เลย พวกเขาเชื่อฟังคำสั่งของชูฮันโดยไม่คิดแย้งใดๆ

 

ขณะนี้ ณ จุดศูนย์กลางของค่าย ร้อยโทหนุ่มหลูอี๋กำลังถือแผนที่พูดคุยเรื่องการขยายพื้นที่ตัวค่ายอยู่กับพวกเจ้าหน้าที่ระดับสูงของค่าย และในขณะที่พวกเขากำลังปรึกษาหารือกันอยู่นั่น จู่ๆมันก็มีน้ำเสียงตื่นตระหนกดังมาจากทางประตู

 

“โอ้ะ! แย่แล้ว! มีคนกำลังมา…” คนที่วิ่งเข้ามารายงานพูดตะกุกตะกักอย่างไม่ได้ใจความ ทันใดนั้นเจ้าหน้าที่เวรยามที่วิ่งมารายงานก็พึ่งตระหนักได้ว่าตัวเองนั้นหวาดกลัวอีกฝ่ายมากจนลืมถามว่าอีกฝ่ายคือใคร

 

เหล่าเจ้าหน้าที่ระดับสูงภายในค่ายต่างตกใจกันหมด พวกเขารีบคว้าไหล่ของเจ้าหน้าที่ที่เข้ามารายงานและเค้นถาม “ใคร? แกมาทำอะไรที่นี่? มีศัตรูโจมตีเหรอไง? พูดสิ!”

 

 

เจ้าหน้าที่เวรยามที่ถูกถามตรงๆก็เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้น “ผะ—-ผมลืมถามครับ”

 

“แกไม่ได้ถาม?!” กลุ่มเจ้าหน้าที่ระดับสูงหัวเสียกันใหญ่ “กินอะไรถึงได้โง่ขนาดนี้?!”

 

“ไม่ครับ ได้โปรดฟังผมก่อน” เจ้าหน้าที่เวรยามรีบพูด “ตอนนั้นผมกลัว มีกลุ่มคนเป็นจำนวนพอสมควร จู่ๆก็ปรากฏตัวขึ้น โดยที่พวกเขาค่ายเจียนอี๋ไม่รู้เลยว่าคนพวกนี้โผล่มาจากไหน คนกว่า 300 คนยืนอยู่ที่หน้าประตูทางเข้าค่าย ราวกับมาเพื่อแก้แค้นอย่างนั้น พวกเขาตะโกนเรียกร้องให้ผู้นำออกไปสู้ และนี่คือสาเหตุที่ผมต้องมาถามถึงที่นี่ด้วยตัวเอง?”

 

เมื่อได้ยินคำพูดของคนที่มารายงาน เหล่าเจ้าหน้าที่ระดับสูงทั้งหลายพลันหันขวับไปจ้องที่หลูอี๋กันหมด ทุกคนเริ่มมีข้อสงสัยเกิดขึ้นในใจ ทำไมจู่ๆถึงมีศัตรูมา?

 

หลูอี๋เองก็พลันนึกถึงชื่อเป็นโหลๆในหัว แต่ทุกคนก็ไม่มีใครมีความเป็นไปได้เลย คนที่เป็นศัตรูเขาถ้าไม่ถูกเขาฆ่าไปแล้วก็ไม่มีทางที่จู่ๆจะโผล่มาอย่างไม่มีปี่ไม่ขลุ่ยถึงถิ่นเขาแบบนี้

 

“ไปกัน…ไปดูกันหน่อยสิ!” เพียงคำสั่งเดียว หลูอี๋ก็พลันพุ่งตัวออกไปด้วยความเร็วอย่างมาก

 

เหล่าผู้รอดชีวิตในค่ายที่ได้เห็นหัวหน้าค่ายวิ่งพุ่งไปแบบนั้นก็ต่างตกใจกันหมด ประกอบกับข่าวที่ส่งผ่านมาก่อนหน้านี้ทำให้ทั้งค่ายจตกใจอยู่อาการวิตกเป็นพักใหญ่ หลายคนถึงกับเริ่มเก็บของและวางแผนจะหนี…

 

ขณะเดียวกัน ชูฮันและคนอื่นๆที่รออยู่ด้านนอกของประตูทางเข้าก็เริ่มแสดงอารมณ์หงุดหงิดออกมา กองกำลังแข็งแกร่งทหารสามร้อยคนได้ยืนปิดกั้นทางเข้าออกของค่ายเจียนอี๋เรียบร้อย  ทำให้เจ้าหน้าที่บางคนที่กลับมาที่ประตูและได้เห็นภาพนี้กลัวขึ้นมา และไม่กล้าที่จะเข้าไปใกล้

 

ในที่สุด เสียงฝีเท้าที่ค่อยๆก้าวเข้ามาอย่างเป็นจังหวะก็ดังขึ้นและตามมาด้วยการเปิดประตู หลูอี๋ปรากฏตัวต่อหน้าชูฮันพร้อมกับเหล่าเจ้าหน้าที่ระดับสูง

 

ทั้งสองคนที่ได้เผชิญหน้ากันต่างไม่มีใครเปิดปากพูดอะไรออกมา หลูอี๋ยังคงไม่เข้าใจสถานการณ์ดีเท่าไหร่ เขาแค่เห็นว่ากลุ่มคนตรงหน้าเขาไม่ได้ทำให้เขารำคาญใจ และเขาก็เริ่มคิดกับแผนการรับมือและใครต้องทำอะไรอยู่ในหัว

 

ชูฮันจ้องไปที่กลุ่มคนที่ปรากฏตรงหน้าเขา ซึ่งหนึ่งในนั้นก็เป็นคนที่เขาตามหา…หลูอี๋ สมาชิกทั้งสามร้อยคนของกองทัพเขี้ยวหมาป่ายังไม่ได้รับคำสั่งใดๆจากชูฮัน ทำให้กองทัพเขี้ยวหมาป่าไม่มีปฏกิริยาตอบสนองและอารมณ์ใดๆแสดงให้อีกฝ่ายเห็นเลย หลังจากการฝึกฝนในระยะเวลาสองเดือนครึ่งทำให้พวกเขาเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ทีละขั้นๆ ความมานะอุตสาหะ  ทำให้พวกเขาสามารถทำสีหน้าเรียบนิ่งได้เป็นเวลามาก 24 ชั่วโมงพร้อมกับไล่เชือดซอมบี้ไปด้วย

 

ดังนั้นต่างฝ่ายจึงทำแค่เพียงจ้องกันไปจ้องกันมาไม่หยุด มันเป็นสงครามประสาทจนกว่าอีกฝ่ายจะทนไม่ไหวและเปิดปากพูดก่อน

 

ในที่สุด ภายใต้การคุมเชิงกันอยู่ของทั้งสองฝ่าย ฝ่ายแรกที่ทนไม่ไหวก่อนก็คือหลูอี๋ เขาไม่เข้าใจ คนพวกนี้คือใคร? เขาไม่ได้ไปที่ค่ายซางจิง หลูอี๋ไม่เคยเจอชูฮัน เขาไม่รู้ว่าชูฮันหน้าตาเป็นอย่างไร และตอนนี้เขาไม่คิดเลยว่าชูฮันจะมาปรากฏตัวต่อหน้าเขาซะอย่างนั้น

 

“พวกคุณ?” หลูอี๋ขมวดคิ้ว ค่อยๆเปิดปากถามอย่างไม่แน่ใจ “มาทำอะไรที่ค่ายของฉัน?”

 

คิดจะปล้น? อย่ามาล้อเล่นเลย ใครจะมาปล้นค่ายแบบนี้กัน? แล้วที่มากไปกว่านั้นเพียงแค่มองดูแวบเดียวก็รู้ว่าคนพวกนี้ไม่ใช่ธรรมดาเลยทีเดียว

 

ผ่านมา? นั่นยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่ กลุ่มคนที่แค่ผ่านไปเข้ามาถึงตรงนี้ได้ยังไง? ค่ายที่สร้างขึ้นมาจากความบากบั่น มันถูกล้อมรอบไว้ด้วยภูเขา ไม่ใช่จะหาเจอได้ง่ายๆ เพราะฉะนั้นกลุ่มคนพวกนี้ต้องเจาะจงที่จะมาที่นี่

 

แล้วถ้าเป็นการตามล่าส่วนตัวล่ะ? หลูอี๋สัมผัสได้ว่ามันไม่ใช่ มันมากกว่านั้น

 

ดังนั้นหลูอี๋จึงขบคิดอยู่ในหัวเป็นเวลาพักหนึ่ง เหล่าเจ้าหน้าที่ระดับสูงของค่ายเองก็ตกอยู่ความสับสนเช่นเดียวกัน

 

ชูฮันที่อยู่ตรงข้ามยิ้มและพูดขึ้น “เฮ้ เข้าไปปล้นกันสิ”

 

ไม่นะ! นี่มันคือการปล้นจริงๆด้วย!

 

กลุ่มคนของค่ายเจียนอี๋ตะลึงกันหมด นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นการปล้นที่โจ่งแจ้งแบบนี้ ถึงแม้กลุ่มพวกเขาจะมีคนแค่ 300 คนเท่านั้นแต่กลับกล้าจะต่อกรกับค่ายที่คนอยู่ถึง 50,000 คนและประกาศต่อหน้าว่าคือ ‘การปล้น’ หลูอี๋ตึงเครียดและในจังหวะที่เขากำลังจะอ้าปากพูด———

 

“ใช่ ใครคือหลูอี๋?” ชูฮันที่ยืนอยู่ตรงข้ามเอ่ยแทรกขึ้นมาซะก่อน เขาไม่เปิดโอกาสให้ใครได้ทันพูด “เจอพลเอกแล้วยังไม่วันทยาหัตถ์อีก!”

 

พรึบ! เสื้อคลุมเก่าๆตัวหนาถูกเปิดอ้าออก เผยให้เห็นเครื่องแบบพลเอกที่อขู่ข้างในเสื้อคลุม อีกทั้งยังทำให้ทุกคนได้เห็นตราตำแหน่งพลเอกที่ส่องแววประกายสะท้อนแสงอยู่บนหน้าอกอีก