ส่วนที่ 1 ภาคเมื่อครั้งเป็นนักเรียน ตอนที่ 259 สามีภรรยาที่แบกหาบกับถือกระทะ

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

เสื้อผ้าของหญิงสาวผู้นั้นได้ขาดปลิวเมื่อยามต่อสู้ตกลงไปในน้ำนานแล้ว ร่างกายล่อนจ้อน บนผิวหนังที่ราวกับผ้าไหมมีหยดน้ำเกาะเต็ม สายลมของทะเลสาบที่เย็นเล็กน้อย มีอนุภาคที่เล็กละเอียดอยู่ภายใต้หยดน้ำ เข้ากับทรวดทรงองค์เอวที่งดงาม เป็นภาพที่ดึงดูดคนอย่างยิ่ง หญิงสาวที่ร่างกายล่อนจ้อนนอนอยู่บนพื้นทรายด้านหน้าของหนุ่มน้อยทั้งสอง นี่เป็นสิ่งที่อัปยศอดสูและกระอักกระอ่วนใจอย่างยิ่ง มิใช่เป็นเพราะกระดูกที่หัก หรือว่าเล็บแหลมคมในกระดูก แต่เป็นเพราะสาเหตุอื่น

การลอบสังหารครานี้เกิดขึ้นรวดเร็วอย่างยิ่ง การจบสิ้นก็ยิ่งรวดเร็ว จุดเปลี่ยนแปลงยิ่งรวดเร็วราวกับมิได้มีสิ่งใดเกิดขึ้น ราวกับว่าเมื่อแรกเริ่มเฉินฉางเซิงกับเจ๋อซิ่วก็รู้เรื่องราวทั้งหมดก่อนแล้ว ด้วยเหตุนี้เรื่องราวที่เกิดขึ้นมาคล้ายกับว่าเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล เพียงแค่…ทั้งหมดนี้แท้จริงเพราะเหตุใด? เหตุใดหนุ่มน้อยเผ่ามนุษย์สองคนนี้ถึงอ่านสถานการณ์ของตนออกเล่า? เพราะเหตุใดขนนกยูงไม่อาจแทงทะลุผิวหนังของเฉินฉางเซิง? เพราะเหตุใดหนุ่มน้อยทั้งสองถึงลงมือได้เยือกเย็นโหดเหี้ยมเช่นนี้ จนถึงขนาดว่าโหดเหี้ยมยิ่งกว่าตนเสียอีก?

เล็บมือของหมาป่ายังคงอยู่ในกระดูก นางจึงไม่อาจหันหน้าได้ ทำได้เพียงกลอกนัยน์ตา มองใบหน้าที่ใกล้เพียงแค่นิ้วเดียวของเจ๋อซิ่ว มองอีกด้านเป็นใบหน้าของเฉินฉางเซิง ความรู้สึกห่อเหี่ยวผิดหวังในดวงตายิ่งนานยิ่งทวีขึ้น ชัดเจนยิ่งนักว่าหนุ่มน้อยทั้งสองมีใบหน้าอ่อนเยาว์ เพราะเหตุใดถึงเป็นผู้ใหญ่มากกว่าอายุจริง จนถึงขนาดว่าเหลี่ยมจัดเช่นนี้เล่า?

นางไม่อาจเปล่งเสียง เป็นธรรมดาว่าไม่อาจนำข้อสงสัยนี้ถามออกไป เพียงแค่แสดงผ่านท่าทางเท่านั้น ส่วนผู้ชนะ เมื่อมองเห็นนัยน์ตาเช่นนี้ บ่อยครั้งมักจะมีน้ำเสียงอ่อนโยน อธิบายถึงเรื่องที่เกิดในภายหลัง นี่เป็นอำนาจและเกียรติยศของผู้ชนะ แต่เฉินฉางเซิงกับเจ๋อซิ่วมิได้เอ่ยสิ่งใด จ้องมองไปยังบริเวณชายฝั่งรอบๆ ยังคงระแวดระวัง พวกเขาไม่ถนัดที่จะอธิบาย อีกทั้งการอธิบายเดิมทีเป็นเรื่องที่ไม่มีความหมาย เป็นเพียงสิ่งที่สิ้นเปลืองเวลา สิ้นเปลืองเวลาก็คือเป็นการฆ่าเวลาช้าๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึง เรื่องนี้ยังมิได้สิ้นสุด

“ภาพที่เจ้านั่งหวีผมอยู่ตรงโขดหินที่จริงแล้วงดงามอย่างยิ่ง แต่ผู้ใดจะรู้เล่าว่ามีปัญหาบางประการ สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ พวกเรามิได้รับรู้ เฉินฉางเซิงไม่รู้ว่าเพราะสาเหตุใด ระดับความแข็งแกร่งของร่างกายแข็งแกร่งยิ่งกว่าผู้ที่ชำระล้างกระดูกสมบูรณ์ ขนนกยูงที่แทงเข้าไปในผิวหนังของผู้แข็งแกร่งขั้นรวบรวมดวงดาวได้ กลับไม่อาจแทงไปยังลำคอของเขา เมื่อตรงนี้เริ่มขึ้น ก็ได้ตัดสินแล้วว่าเจ้าจะพ่ายแพ้”

เสียงที่ดังมาจากกลางป่านั่นมั่นคงยิ่งนัก ทำให้รู้สึกถึงความใกล้ชิด ราวกับว่าเป็นคุณน้าที่อยู่ข้างบ้าน กำลังอธิบายว่าจะใช้กระทะในการทำเนื้ออย่างไร อย่างไรก็ตามสีหน้าของเจ๋อซิ่วพลันเปลี่ยนไป จ้องมองไปยังบริเวณป่าไม้รอบๆ เล็บมือที่แทงลงไปในคอหอยของหญิงสาวเปลี่ยนเป็นขาวเล็กน้อย เตรียมที่จะออกแรงได้ทุกเมื่อเพื่อให้นางเสียชีวิต ชัดเจนว่าตึงเครียดเล็กน้อย

ความตึงเครียดของเขามาจากเจ้าของน้ำเสียงนั้น ยิ่งน้ำเสียงนั้นเอ่ยถึงขนนกยูงสามคำนี้ ทำให้เขาคิดไปถึงคนผู้หนึ่ง

เฉินฉางเซิงรู้ดีว่าเจ๋อซิ่วมีความว่องไวต่อความอันตรายซึ่งเป็นสัญชาตญาณที่มีมาแต่กำเนิด ยิ่งมีความเข้าใจลึกซึ้งต่อเผ่ามาร เป็นธรรมดาที่เขาจะตื่นเต้นตามด้วย

“หลังจากพวกเขาทั้งสองออกมาจากทะเลสาบ เฉินฉางเซิงไม่รู้ว่าใช้วิธีการใด พูดชักจูงลูกหมาป่าตัวนั้น ทำให้เจ้าลงมือ จากนี้จึงถือโอกาสที่มิทันตั้งตัวโจมตี จึงได้เป็นผู้กอบกุมจังหวะ นำพลังและความเร็วที่ตนถนัดที่สุดแสดงออกมาอย่างหมดสิ้น เจ๋อซิ่วนั้นดำน้ำอยู่เบื้องหลัง คอยจ้องหาโอกาสลงมือ…จะต้องเข้าใจว่า สัตว์ดังเช่นหมาป่าสิ่งที่ถนัดที่สุดก็คือการอดทน จากนั้นจึงจู่โจมสุดชีวิต เจ้าปรารถนาจะสังหารพวกเขาทั้งสอง ที่จริงแล้วกลับเป็นฝ่ายถูกพวกเขาลอบสังหาร”

“เพราะเหตุใดกระบี่เล่มนั้นถึงรวดเร็วปานนี้ สามารถตัดมือของเจ้าให้ขาดได้น่ะหรือ? เป็นเพราะว่าพลังปราณแท้ที่ทรงพลังอยู่บนนั้น ที่มนตร์เสน่ห์นางมารของเจ้ามิได้ผล เขาไม่ลุ่มหลง เป็นเพราะว่าจิตใจของเขามีคัมภีร์ลัทธิเต๋าพันเล่มคอยปกป้อง ส่วนเจ้าหมาป่าตัวนั้น ในสายตาของเขาแต่ไหนแต่ไรมามีแต่ศัตรู มิได้มีบุรุษสตรีแต่อย่างใด”

เสียงนั้นยังคงดังอยู่ต่อเนื่อง เต็มไปด้วยความชื่นชมอย่างจริงใจ “ระดับวิทยายุทธ์ของเจ้าที่จริงแล้วอยู่เหนือพวกเขา ทว่ากลับถูกพวกเขาจัดการ…ช่างเป็นเด็กที่ยอดเยี่ยมจริงๆ แม้เป็นข้ายังคงรู้สึกตกตะลึง ช่างคู่ควรที่เป็นอนาคตของเผ่ามนุษย์ที่ท่านกุนซือต้องการจะสังหาร ถ้าหากให้พวกเจ้าเติบโตต่อไป หลังจากนี้สิบกว่าปี ดินแดนเสวี่ยเหล่าจะมีผู้ใดคือคู่ต่อสู้ของพวกเขาอีกเล่า?”

เสียงใบไม้ดังกรอบแกรบ หญิงสาวผู้เอ่ยเดินออกมาจากป่าไม้ ทว่านางมิได้มาลำพัง ข้างกายยังมีบุรุษวัยกลางคนคนหนึ่ง

ใบหน้าหญิงสาวผู้นั้นงดงามเพียบพร้อม ท่าทางอบอุ่น สวมใส่ชุดที่ทำจากผ้าธรรมดา ในมือถือกระทะใบใหญ่ เดินเนิบนาบและเอ่ยออกมาต่อเนื่อง ช่างเหมือนกับคุณน้าข้างบ้าน ไม่ว่าจะเป็นคนที่ระมัดระวังรอบคอบ ก็ยากยิ่งที่จะมีความรู้สึกชั่วร้ายหรือหวาดระแวงต่อคนเช่นนี้

บุรุษวัยกลางคนผู้นั้นหน้าตาพื้นๆ ธรรมดา มองแล้วเป็นคนซื่อๆ อย่างยิ่ง ตั้งแต่ต้นจนจบไม่ได้เอ่ยสิ่งใดสักคำ บนบ่าแบกหาบไว้ หาบอันนั้นไม่รู้ว่าใช้วัตถุดิบใดสร้าง ถึงแม้จะโค้งงอจนถึงระดับที่มากอย่างยิ่งก็มิได้ขาด เวลาเดียวกันก็พิสูจน์ได้ว่าของที่อยู่ในหาบนั้นหนักอย่างยิ่ง

เมื่อมองเห็นคู่บุรุษสตรีนี้ นัยน์ตาของเจ๋อซิ่วพลันหดตัวลง เท้าทั้งคู่เหยียดลงกับพื้น ใช้ความเร็วที่สุดเพื่อยืนขึ้น หลบอยู่ข้างหลังเฉินฉางเซิง ในขั้นตอนทั้งหมดนี้ นิ้วมือของเขายังคงแทงเข้าไปในคอหอยส่วนลึกของหญิงสาวที่ล่อนจ้อน เขามิได้ใช้เฉินฉางเซิงเพื่อเป็นโล่กำบัง แต่เป็นเพราะต้องการป้องกันฝ่ายตรงข้ามจะมาช่วงชิงคนไป

นี่พิสูจน์ได้ว่า ถึงแม้เพียงแค่เขาขยับก็สามารถสังหารหญิงสาวผู้นี้ แต่เมื่อเผชิญหน้ากับบุรุษสตรีคู่นี้ เขายังคงไม่มั่นใจว่าจะถูกฝ่ายตรงข้ามช่วงชิงคนไป

คู่สตรีบุรุษนี้ที่จริงแล้วเป็นใคร?

เฉินฉางเซิงมองเห็นเขาที่อยู่บนศีรษะของบุรุษผู้นั้น มือที่กำด้ามกระบี่ไว้ชื้นเล็กน้อย นอกจากเชื้อพระวงศ์ของเผ่ามาร หลังจากเผ่ามารทั้งหมดเติบโตขึ้นล้วนจะมีเขามารคู่หนึ่งงอกออกมา อีกทั้งเขาของเผ่ามารยังมีความยาวตามอายุและระดับพลัง เขามารของบุรุษวัยกลางคนคาดไม่ถึงว่าจะยาวถึงเพียงนี้ เช่นนั้นแล้ว คนผู้นี้แท้จริงแล้วแข็งแกร่งเพียงใดเล่า

“ข้าขอแนะนำตัวเสียหน่อย พวกเราเป็นคู่สามีภรรยา”

ภรรยาผู้นั้นยิ้มอบอุ่นจ้องมองเฉินฉางเซิง เอ่ยขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบาละเอียดอ่อน “ข้านามว่าหลิวหวั่นเอ๋อร์ ราศีกุมภ์ มีสิ่งใดชอบเก็บไว้ อดทน กระทำการสิ่งใดจิตใจละเอียดดีงาม เขาเป็นคนรักของข้า นามว่าเถิงเสี่ยวหมิง ราศีพฤษภ อุปนิสัยเชื่องช้า หากกล่าวให้ดีหน่อยก็คงจะเรียกว่าใจเย็น ชอบอยู่บ้านทั้งวัน ที่จริงแล้วก็ไม่ได้มีอนาคตอะไร”

เอ่ยว่ามิได้มีอนาคตอะไร ราวกับว่าคือการตำหนิ แต่สายตาที่นางจ้องมองบุรุษวัยกลางคนเต็มไปด้วยความรักและเคารพ

บุรุษวัยกลางคนผู้นั้นยิ้มออกมาซื่อๆ มิได้เอ่ยสิ่งใด

เฉินฉางเซิงจ้องมองสามีภรรยาคู่นี้ด้วยความระแวดระวัง ริมฝีปากขยับเล็กน้อย เอ่ยถามเจ๋อซิ่วที่อยู่ข้างหลังเสียงแผ่วเบา “อะไรคือกุมภ์กับพฤษภ?”

น้ำเสียงของเขาถึงแม้จะเบา กลับดังเข้าไปในโสตประสาทของภรรยาที่นามว่าหลิวหวั่นเอ๋อร์

สีหน้าของเจ๋อซิ่วซีดขาวเล็กน้อย กล่าวตอบ “เป็นความเกี่ยวพันระหว่างตำแหน่งกลุ่มดวงดาว ซึ่งเป็นกลุ่มราศีผืนหนึ่ง เผ่ามารมีความเชื่อว่าแต่ละคนจะมีตำแหน่งดาวไม่เหมือนกัน โชคชะตาและลักษณะนิสัยก็อยู่ในขอบเขตนี้ด้วย”

เป็นครั้งแรกที่เฉินฉางเซิงได้ยินเรื่องนี้

หลิวหวั่นเอ๋อร์ยิ้มพลางเอ่ยออกมา “สิ่งใดมีน้อยสิ่งนั้นล้ำค่า พวกเรามองเห็นดวงดาวได้น้อยอย่างยิ่ง จึงมีประเพณีที่ปฏิบัติเช่นนี้ ทั้งยังเพิ่มความหมายอันลึกลับให้กับกลุ่มดาวได้อย่างดี ในส่วนนี้ข้ารู้สึกมาตลอดว่าเผ่ามนุษย์ของพวกเจ้าแสดงได้ไม่เหมาะสม พวกเจ้ามักอยากให้โลกนี้ไม่มีพระจันทร์ศักดิ์สิทธิ์”

เฉินฉางเซิงครุ่นคิดในใจหากมิใช่เพราะว่าท่องคัมภีร์เต๋าแตกฉาน ตนก็คงจะเป็นดังเช่นเผ่ามนุษย์ในดินแดนต้าลู่จำนวนมากที่ไม่รู้การดำเนินชีวิตของเผ่ามารในที่ราบหิมะ ว่ามีสิ่งที่เรียกว่าพระจันทร์อยู่

สายตาของหลิวหวั่นเอ๋อร์ผ่านหัวไหล่เขาไป หยุดลงบนใบหน้าของเจ๋อซิ่ว รอยยิ้มพลันหุบลง เอ่ยอย่างจริงจัง “เจ้าก็คือลูกหมาป่าคนนั้นรึ?”

เฉินฉางเซิงเหลือบตาไปเห็น สีหน้าของเจ๋อซิ่วขาวซีดเล็กน้อย จึงอดรู้สึกแปลกใจไม่ได้ ในใจครุ่นคิดสามีภรรยาคู่นี้ที่จริงแล้วเป็นคนเช่นไร จะทำให้เขามีปฏิกิริยาโต้ตอบอย่างไร

“ขุนพลมารยี่สิบสาม ขุนพลมารยี่สิบสี่…” น้ำเสียงของเจ๋อซิ่วแหบแห้งเล็กน้อย “พวกเจ้าเข้ามาในสวนโจวได้อย่างไร?”

ในเผ่ามาร มีสามีภรรยาคู่หนึ่งที่มีชื่อเสียงอย่างยิ่ง สามีภรรยาทั้งสองคนต่างก็เป็นขุนพลมารผู้ยิ่งใหญ่ พละกำลังมากมายมหาศาล อีกทั้งมีเรื่องเล่าขานว่าเป็นผู้ที่โหดเหี้ยมยิ่งนัก

เวลานี้พวกเขาได้เผชิญหน้ากับสามีภรรยาคู่นี้

สองสามปีมานี้เจ๋อซิ่วสังหารเผ่ามารเป็นจำนวนมาก แต่ช่วงเวลาส่วนใหญ่นั้น เขาทำได้เพียงแค่ท่องเที่ยวในดินแดนหิมะ หลังจากซ่อนตัวเป็นเวลาหลายวัน ก็จู่โจมสังหารทหารเผ่ามารที่อยู่เพียงลำพัง

ขุนพลเผ่ามาร มิใช่คู่ต่อสู้ที่เขาจะเอาชนะได้

แม้จะเป็นเขาที่หลังจากบรรลุเข้าสู่ขั้นทะลวงอเวจีพลังพลันก้าวหน้าขึ้นแล้วก็ตาม ยังคงมิได้คาดหวังว่าจะเอาชนะสามีภรรยาคู่นี้ได้

เขาไม่เข้าใจ คู่สามีภรรยาขุนพลมารที่แข็งแกร่งเช่นนี้เข้ามาสวนโจวได้อย่างไร ล้วนทราบกันดีว่าสวนโจว อนุญาตเพียงแค่คนที่มีวรยุทธ์ขั้นทะลวงอเวจีเท่านั้น

เฉินฉางเซิงคิดไม่ถึงว่าสามีภรรยาคู่นี้ที่จริงแล้วเป็นขุนพลเผ่ามาร

สามีภรรยาคู่นี้สวมเสื้อผ้าธรรมดาและรองเท้าฟาง คนหนึ่งแบกหาบ อีกคนหนึ่งถือกระทะ ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็เป็นเพียงแค่คู่สามีภรรยาที่เร่ขายอาหาร มิได้มีบุคลิกน่านับถือเป็นขุนพลใหญ่ของเผ่ามารแม้แต่น้อย

เวลานี้ อยู่ๆ เขาก็สังเกตเห็น บุรุษเผ่ามารวัยกลางคนที่แบกหาบ มีคนคนหนึ่งอยู่บนนั้น นั่นเป็นหญิงสาวผู้หนึ่ง เสื้อคลุมของนางถูกเอาถอดออก สวมเพียงแค่เสื้อตัวในสีขาว ทว่ามิดชิด มิได้มีส่วนที่ไม่สมควรปรากฏให้เห็น หญิงสาวผู้นั้นงดงามอย่างยิ่ง ดวงตาปิดสนิท ขนตามิได้กะพริบ คงจะสลบไปแล้ว

เฉินฉางเซิงคิดเรื่องหนึ่งได้ เมื่อหญิงสาวที่ถูกตนกับเจ๋อซิ่วทำร้ายบาดเจ็บสาหัสอยู่ตรงโขดหิน ได้สวมเสื้อผ้าของพรรคอินซื่อทางทิศตะวันออก…หญิงสาวงดงามที่นอนสลบอยู่บนหาบ คงจะเป็นลูกศิษย์ของพรรคอินซื่อทางทิศตะวันออก

เดิมทีแสงจากทะเลสาบและเทือกเขางดงามจนมิอาจหาสิ่งใดเปรียบได้ สามีภรรยาคู่นั้นมองแล้วอบอุ่นจนถึงขนาดว่าซื่อตรงไร้เล่ห์เหลี่ยม อย่างไรก็ตามจากการปรากฏของพวกเขา ทั่วทั้งใต้หล้าต่างราวกับว่าเปลี่ยนเป็นเงียบสงัดขึ้นมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหญิงสาวที่โค้งตัวงอนอนสลบอยู่ในหาบกับหญิงสาวร่างเปลือยเปล่าที่ถูกเจ๋อซิ่วแทงเข้าไปในคอหอย ยิ่งทำให้ภาพนี้ทวีความแปลกประหลาดเข้าไปอีก

เผ่ามารได้รับความดูแลเอาใจใส่จากสรวงสวรรค์ ร่างกายเรียกได้ว่าสมบูรณ์งดงาม น้อยอย่างยิ่งที่จะเกิดอาการป่วยไข้ เส้นลมปราณก็สมบูรณ์แบบ สามารถฝึกบำเพ็ญในทุกวิชา พวกเขากับเผ่ามนุษย์แตกต่างกัน เมื่อฝึกบำเพ็ญสิ่งที่รับเอามิใช่แสงดวงดาว แต่เป็นพลังอย่างหนึ่งที่บริสุทธิ์ มีขั้นลำดับระดับวิทยายุทธ์เฉกเช่นเดียวกัน แต่เผ่ามารแข็งแกร่งกว่าเผ่ามนุษย์มาตั้งแต่กำเนิด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าพวกเขาเผชิญหน้ากับขุนพลสองสามีภรรยาคู่นี้ ทางด้านวิทยายุทธ์ก็คงจะเหนือกว่าพวกเขา

“เรียกคน” เจ๋อซิ่วที่อยู่ข้างหลังพลางเอ่ยเสียงเบา

เฉินฉางเซิงเข้าใจความหมายของเขา พวกเขากระโดดลงมาจากน้ำตก เพราะว่าต้องการเสาะหาสระกระบี่ เวลาเดียวกันก็รู้ดีว่าเหลียงเสี้ยวเซียว ชีเจียน รวมถึงจวงห้วนอวี่ก็อาจจะอยู่ที่นี่

สองต่อสอง พวกเขาจะต้องพ่ายแพ้อย่างมิต้องสงสัย ถ้าหากเวลานี้พวกเหลียงเสี้ยวเซียวทั้งสามคนมาถึงที่นี่ได้ทันท่วงที ไม่แน่อาจจะยังมีโอกาส

เพียงแค่จะเรียกอย่างไรเล่า หรือว่าต้องตะโกนเรียกต่อเทือกเขาแม่น้ำที่เงียบเชียบไร้สิ้นเสียงว่าคนมาอย่างนั้นรึ เมื่อเขากำลังครุ่นคิดเรื่องนี้อย่างจริงจัง มือของเจ๋อซิ่วก็ยื่นข้ามผ่านหัวไหล่เขา นำสิ่งของหนึ่งให้

นั่นเป็นสัญญาณเมฆที่กองทัพต้าโจวมักจะใช้บ่อยๆ จะต้องใช้มือสองข้างเปิดขึ้น

เฉินฉางเซิงรับสัญญาณเมฆมา ออกแรงเล็กน้อย

เสียงปังดังขึ้น มีควันกระจายขึ้นไปยังท้องฟ้าสีครามสดใส มีเสียงดังกังวานไปทั่วทุกทิศทุกทาง