ตอนที่ 323 พี่น้องได้พบกันอีกครั้ง

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

ณ จวนตระกูลเฟิง ฉู่เจี๋ยและคนอื่นๆกำลังยืนอยู่ข้างล่างด้วยท่าทางนอบน้อมขณะสบตากับบุรุษชราหน้าตาใจดีที่นั่งอยู่บนบัลลังก์

“ฮ่าๆๆ นั่งลงเถอะ ไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไรมากมาย”

บุรุษชราที่หน้าตาดูใจดีมีเมตตาผู้นี้คือเฟิงหรูเซียวนั่นเอง ผู้นำตระกูลเฟิงคนปัจจุบัน ถัดจากเขาคือเฟิงจิงเทียนและเสี่ยวเหยียนที่ยืนข้างกันพร้อมรอยยิ้มประดับบนใบหน้า

“ท่านตาเฟิง นี่คือชารสเลิศที่ท่านปู่สั่งให้ข้านำมาให้ท่านขอรับ ท่านจะต้องถูกใจชานี้อย่างแน่นอน”

ฉู่เจี๋ยยิ้มกว้างพลางหยิบห่อใบชาออกมาและยื่นให้กับเฟิงหรูเซียว พวงแก้มของเขามีสีชมพูระเรื่อเล็กน้อยจากรอยยิ้มแห่งความสุข เห็นได้ชัดว่าเขาน่าจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเฟิงหรูเซียว

“ฮ่าๆๆ น้องฉู่เป็นอย่างไรบ้าง?”

เฟิงหรูเซียวรับห่อใบชาก่อนเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้ม เขาและฉู่เหิงผู้นำตระกูลฉู่ซึ่งเป็นท่านปู่ของฉู่เจี๋ยเป็นเหมือนพี่น้องที่ดีต่อกัน น้องสาวของเขาคือภรรยาของฉู่เหิงและความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาจึงสนิทสนมกลมเกลียวกันไปโดยปริยาย

“ท่านปู่สบายดีขอรับ อันที่จริงเขาตั้งใจจะมาที่นี่ด้วยตัวเอง แต่เกิดเรื่องบางอย่างที่บ้านเมืองซึ่งต้องได้รับการจัดการสะสาง ท่านปู่จึงมาไม่ได้ขอรับ”

ฉู่เจี๋ยยิ้มและอธิบายต่อผู้นำตระกูลเฟิง

ในตอนแรก ฉู่เหิงตั้งใจจะมาเข้าร่วมงานเลี้ยงของตระกูลเฟิงด้วยตัวเอง ทว่าเมื่อไม่นานมานี้ได้เกิดเรื่องบางอย่างที่จวนตระกูลฉู่และมันค่อนข้างวุ่นวาย ไม่เพียงเฉพาะฉู่เหิงเท่านั้นแต่ฉู่เฟยหยาง–บิดาของฉู่เจี๋ยและฉู่ซี–พี่ชายของเขาก็มาไม่ได้เช่นกัน

“เอาล่ะ หลังจากงานเลี้ยงตระกูลเฟิงจบลง ข้าจะไปเยี่ยมเยียนน้องฉู่ด้วยตัวเอง จะว่าไป…พวกเราก็ไม่ได้พบหน้ากันมานานกว่าสิบปีแล้ว”

เฟิงหรูเซียวยิ้มกับตัวเองราวกับกำลังนึกย้อนไปในอดีต ความทรงจำเหล่านั้นหลั่งไหลเข้ามาจนเขารู้สึกคำนึงหา

“เอ้อ จริงสิ เสี่ยวเหยียนเล่าให้ข้าฟังว่าเจ้าพบกับเฟิงอู๋ในระหว่างทางและเขาสร้างความลำบากใจให้เจ้ารึ?”

เมื่อนึกถึงสิ่งที่เสี่ยวเหยียนเล่าให้ฟังก่อนหน้านี้ เฟิงหรูเซียวจึงเอ่ยถามออกไปตรงๆ

“ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรหรอกขอรับ ก็แค่การปะทะคารมกันเล็กๆน้อยๆเท่านั้น”

ฉู่ชิงซานยิ้มและไม่คิดที่จะอธิบายรายละเอียดยิบย่อยให้มากความ

“ข้าต้องขอโทษด้วยที่ทำให้พวกเจ้าต้องรู้สึกอึดอัดใจ มีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นในช่วงหลังมานี้และข้าไม่มีเวลาควบคุมเฟิงอู๋ เจ้าก็รู้จักเขาดี ไม่จำเป็นเลยที่จะพยายามเจรจากับคนไม่ฟังอะไรอย่างเขา อย่าถือสาเลยนะ”

เฟิงหรูเซียวเองก็จนปัญญาเช่นกัน เขารู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของเฟิงอู๋ในช่วงที่ผ่านมา เพียงแต่งานเลี้ยงตระกูลเฟิงกำลังใกล้เข้ามาและเขาไม่มีเวลาใส่ใจกับเรื่องของเฟิงอู๋เท่าไหร่นัก ทว่าการเคลื่อนไหวทั้งหมดของเด็กหนุ่มยังอยู่ในสายตาของเขา หากว่าเด็กหนุ่มโอหังคนนั้นทำอะไรที่เป็นภัยหรือเดือดร้อนมาถึงตระกูลเฟิง ผู้นำตระกูลอย่างเฟิงหรูเซียวจะไม่อยู่เฉยอย่างแน่นอน

“ท่านตาเฟิงไม่ต้องกังวลหรอกขอรับ พวกเราเข้าใจดี”

ฉู่เจี๋ยยิ้มอย่างนอบน้อม ต่อให้เฟิงหรูเซียวไม่กล่าวเช่นนี้ พวกเขาก็ไม่เก็บเรื่องเฟิงอู๋มาคิดให้เสียเวลาอยู่แล้ว

“ท่านตาเฟิง พวกเราขอตัวกลับไปพักก่อนนะขอรับ เราจะกลับมารบกวนท่านใหม่วันหลัง”

หลังจากสนทนากันพักใหญ่ ฉู่เจี๋ยก็ขอตัวกลับและกล่าวลาผู้นำตระกูลเฟิง

พวกเขาเผชิญอุปสรรคกวนใจตลอดทางทว่าก็ต้องการมาทักทายเฟิงหรูเซียวก่อน ทุกคนต่างก็เหนื่อยล้าและต้องการกลับไปพักผ่อนเอาแรง กอปรกับความเป็นห่วงกังวลเกี่ยวกับฉินอวี้โม่ ฉู่เจี๋ยจึงใช้เวลาอยู่ที่จวนตระกูลเฟิงนานเกินไปไม่ได้

“เข้าใจแล้ว เชิญพวกเจ้าตามสบาย หากพักผ่อนเต็มที่แล้วก็อย่าลืมมาเยือนจวนตระกูลเฟิงของข้าบ่อยๆล่ะ”

บุรุษชรายิ้มอย่างเอ็นดู เขารู้สภาวะร่างกายของฉู่เจี๋ยเป็นอย่างดีและไม่คิดรั้งเด็กหนุ่มไว้

“หลานรัก ช่วยส่งพ่อหนุ่มตระกูลฉู่กลับไปด้วย”

เฟิงหรูเซียวยิ้มให้เสี่ยวเหยียนและบอกให้นางส่งแขกกลับไป

เสี่ยวเหยียนพยักศีรษะและเชื่อฟังแต่โดยดี

หลังจากส่งฉู่เจี๋ยและคนอื่นๆกลับไป เสี่ยวเหยียนก็พูดคุยกับท่านปู่ของตนเองครู่หนึ่งก่อนกลับไปที่ห้องของตนเอง

ขณะนั่งลงบนเก้าอี้ คิ้วของเด็กสาวก็ขมวดแน่นพลางนึกถึงบุรุษลึกลับสวมหน้ากากที่เดินทางมาพร้อมกับคนตระกูลฉู่ในวันนี้

ยิ่งนางคิดไตร่ตรองเพียงใด นางก็ยิ่งรู้สึกว่าบุรุษหนุ่มผู้นั้นดูคุ้นเคย ยิ่งไปกว่านั้น ‘เขาคนนั้น’ แผ่กลิ่นอายบางอย่างที่ทำให้นางรู้สึกคลายกังวลอย่างยิ่ง

กลิ่นอายบรรยากาศเช่นนั้นเกิดขึ้นเฉพาะตอนที่นางอยู่กับพี่สาวคนโปรด ‘ฉินอวี้โม่’ ในหมู่บ้านจันทราเท่านั้น

เป็นไปได้รึไม่ว่าบุรุษลึกลับคนนั้นแท้จริงแล้วคือพี่ฉินอวี้โม่ของนาง?!

เมื่อคิดเช่นนี้ เสี่ยวเหยียนก็ลุกขึ้นยืนทันทีและต้องการไปยังจวนที่พักของตระกูลฉู่เพื่อถามให้รู้ความ

ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา นางได้ยินข่าวเกี่ยวกับฉินอวี้โม่มากมาย เมื่อได้รู้ว่าฉินอวี้โม่มีเรื่องผิดใจกับขุมกำลังพญายม แน่นอนว่านางย่อมเป็นกังวลอย่างมาก

ก่อนหน้านี้นางต้องการออกไปตามหาพี่สาวสุดที่รักมาตลอด ทว่าพลังความแข็งแกร่งของนางก็อ่อนด้อยเกินไปและยังมีธุระมากมายที่ต้องจัดการในตระกูลเฟิง อีกทั้งนางก็ไม่อยากต้องเป็นตัวถ่วงของฉินอวี้โม่ เพราะเหตุนั้นนางจึงไม่เคยออกไปข้างนอก

ยิ่งไปกว่านั้น เสี่ยวเหยียนก็ทราบดีว่าฉินอวี้โม่มีแข็งแกร่งมากเพียงใดและนางเชื่อว่าไม่มีใครทำอะไรพี่สาวคนเก่งของนางได้ เสี่ยวเหยียนวางแผนที่จะจัดการเรื่องต่างๆในตระกูลเฟิงให้เรียบร้อยและคงที่เสียก่อน จากนั้นนางจะบอกเรื่องฉินอวี้โม่ให้เฟิงหรูเซียวและเฟิงจิงเทียนได้ทราบก่อนออกตามหาฉินอวี้โม่

อย่างไรก็ตาม เรื่องตระกูลเฟิงยังไม่ทันสะสางและข่าวก็สะพัดออกมาว่าช่างหลอมอัจฉริยะนามว่าฉินอวี้โม่ได้ปรากฏตัวที่งานชุมนุมช่างหลอมประจำปีนี้

เสี่ยวเหยียนไม่สงสัยเลยว่าฉินอวี้โม่ที่มีทั้งชื่อทั้งแซ่เหมือนกันจะต้องเป็นฉินอวี้โม่คนเดียวกับที่นางรู้จัก ทันทีที่มีข่าวนั้นแพร่งพรายออกมา นางก็ทราบได้ทันทีว่าอัจฉริยะที่ถูกกล่าวถึงไปทั่วดินแดนคือพี่สาวที่ดีกับนางที่สุดอย่างแน่นอน

นางก็ได้ยินมาเช่นกันว่าฉินอวี้โม่มีเรื่องบาดหมางกับเฟิงอู๋และอีกฝ่ายไม่ยอมรามือง่ายๆ เมื่อรู้ว่านางจะมาเข้าร่วมงานเลี้ยงตระกูลเฟิง แน่นอนว่าเสี่ยวเหยียนทั้งตื่นเต้นดีใจและเป็นกังวล

นับตั้งแต่ได้มาอยู่ในจวนตระกูลเฟิง เสี่ยวเหยียนก็รู้ถึงความแข็งแกร่งของเฟิงอู๋ดีที่สุด หากฉินอวี้โม่เดินทางมาที่นี่เพียงตัวคนเดียวล่ะก็ นางก็ไม่รู้ว่าพี่สาวของนางจะเผชิญกับปัญหาหรือไม่

เพราะเหตุนั้นเสี่ยวเหยียนจึงตั้งตารอการมาถึงของฉินอวี้โม่อย่างใจจดใจจ่อ และทันทีที่พี่สาวคนโปรดของนางมาถึง นางจะต้องแนะนำฉินอวี้โม่ให้เฟิงหรูเซียวและเฟิงจิงเทียนได้รู้จัก

เด็กสาวเชื่อว่าบิดาและท่านปู่ของนางเป็นบุคคลที่มีเหตุผลและเข้าใจผู้อื่น เมื่อได้ยินเรื่องราวความบาดหมางระหว่างฉินอวี้โม่และเฟิงอู๋ พวกเขาจะไม่ยอมให้เฟิงอู๋ทำร้ายฉินอวี้โม่อย่างแน่นอน

เพราะเช่นนั้น เมื่อคาดเดาว่าบุรุษลึกลับคือฉินอวี้โม่ เสี่ยวเหยียนจึงอดใจรอไม่ไหวและต้องการถามความจริงโดยเร็วที่สุด

ทว่าทันทีที่ลุกขึ้น น้ำเสียงที่คุ้นหูก็ดังขึ้นข้างหูของเด็กสาว

“เสี่ยวเหยียน…”

นี่คือเสียงของ ‘พี่สาว’ โฉมงามนามว่าฉินอวี้โม่นั่นเอง

ก่อนหน้านี้ฉินอวี้โม่เดินทางออกจากโรงเตี๊ยมที่ฉีอวิ๋นเหล่ยและคณะพักอยู่ก่อนขับเคลื่อนคฤหาสน์เฟิงหัวตรงมาที่จวนตระกูลเฟิง นางต้องการถามเสี่ยวเหยียนเกี่ยวกับสถานการณ์ต่างๆก่อนเพื่อเตรียมความพร้อมให้เหมาะสม

ทันทีที่มาถึง นางก็เห็นเสี่ยวเหยียนส่งฉู่เจี๋ยและคนอื่นๆออกไปก่อนกลับมาที่ห้องส่วนตัวของนางเพียงลำพัง เมื่อเห็นจังหวะประจวบเหมาะ ฉินอวี้โม่ก็ไม่รอช้าและขับเคลื่อนคฤหาสน์หลังน้อยของตนตรงมาที่นี่ทันที

ภายในคฤหาสน์เฟิงหัว นางได้อธิบายให้ฉีอวิ๋นเหล่ย เหวินซื่อชู่และซูเสี่ยวจวิ้นได้ทราบว่านางกับเสี่ยวเหยียนพบกันได้อย่างไร รวมถึงสถานการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น

เมื่อได้ฟังคำบอกเล่าของฉินอวี้โม่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของพี่น้องและสิ่งที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านจันทรา ทั้งสามคนจึงเข้าใจความเป็นมาทั้งหมด

ทว่าเมื่อเห็นว่าเสี่ยวเหยียนกำลังจะลุกเดินออกไปอีกครั้ง ฉินอวี้โม่ก็ไม่รีรออีกต่อไป นางออกมาจากคฤหาสน์เฟิงหัวและเอ่ยขึ้นเบาๆ

“พี่อวี้โม่ ใช่พี่จริงๆด้วย!”

เสี่ยวเหยียนหันกลับไปและพบกับบุรุษลึกลับที่ได้เจออยู่กับกลุ่มตระกูลฉู่ก่อนหน้านี้ เสี่ยวเหยียนก้าวออกไปข้างหน้าด้วยความตื่นเต้นดีใจและพุ่งเข้าไปคว้าแขนของคนตรงหน้าไว้ทันที

นางคาดเดาไม่ผิดจริงๆ บุรุษลึกลับสวมหน้ากากคือฉินอวี้โม่พี่สาวคนเก่งของนาง

“มากับข้าก่อนเถอะ เราจะได้พูดคุยกันสะดวกขึ้น”

เมื่อเห็นหยดน้ำตาแห่งความตื่นเต้นดีใจรื้นในขอบตาของเด็กสาว ฉินอวี้โม่ก็อดยิ้มออกมาอย่างเอ็นดูไม่ได้และจับมือนางเข้าสู่คฤหาสน์หลังน้อยทันที

ในขณะเดียวกันนั้น ฉินอวี้โม่ก็สั่งการให้มารยาสังเกตการณ์สถานการณ์โดยรอบและให้รายงานนางโดยเร็วที่สุดหากว่ามีการเคลื่อนไหวใดๆ

“ท่านพี่ นี่คือคฤหาสน์เฟิงหัวที่ท่านหลอมในงานชุมนุมนั่นรึ?!”

ภายในคฤหาสน์เฟิงหัว เสี่ยวเหยียนมองดูอาคารงดงามด้วยความตื่นตะลึง

ฉินอวี้โม่พยักศีรษะและพาเสี่ยวเหยียนไปนั่งในห้องโถง

เมื่อฉีอวิ๋นเหล่ยและอีกสองคนรู้ว่าเสี่ยวเหยียนมาที่นี่ พวกเขาก็รีบปรี่เข้ามาทักทายด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

เมื่อพบกับคนทั้งสาม เสี่ยวเหยียนก็แสดงท่าทีตกใจเล็กน้อยและกลับสู่ปกติอย่างรวดเร็ว

นางได้ยินมาก่อนแล้วว่าฉีอวิ๋นเหล่ยและคณะคือกลุ่มที่เดินทางร่วมกันฉินอวี้โม่และพวกเขาเป็นสหายที่ดีที่สุดของนางในดินแดนนี้ เพราะเหตุนั้น การที่พวกเขาจะอยู่ในคฤหาสน์เฟิงหัวแห่งนี้จึงไม่ใช่เรื่องแปลกเท่าไหร่นัก

“พี่อวี้โม่ ตลอดเวลาที่ผ่านมานี้ข้าเป็นกังวลจนแทบตายแน่ะ ตอนนี้เมื่อได้รู้ว่าท่านสบายดี ข้าก็รู้สึกโล่งใจ”

ฉินอวี้โม่ถอดหน้ากากที่บดบังเพื่อเผยใบหน้างดงามไร้ที่ติ

เสี่ยวเหยียนสัมผัสได้ถึงสภาวะร่างกายของฉินอวี้โม่และรับรู้ได้ว่านางสบายดี เพียงแต่แข็งแกร่งขึ้นกว่าก่อนมากเท่านั้น เด็กสาวจึงโล่งใจขึ้นมาก

“เหอะ เด็กโง่เอ๋ย เจ้าหายไปแบบนั้นและทิ้งไว้แค่จดหมายฉบับเดียว เจ้าไม่รู้เลยรึว่าพี่สาวคนนี้เป็นห่วงเจ้ามากแค่ไหน!”

ฉินอวี้โม่นึกถึงจดหมายที่เสี่ยวเหยียนได้ทิ้งไว้ก่อนจากไปและแสร้งแสดงท่าทางที่โมโห

“พี่อวี้โม่ อยาโกรธข้าเลย เรื่องมันเกิดขึ้นอย่างกะทันหันเกินไป ข้าก็เลยไม่มีเวลาได้บอกท่าน”

เป็นเรื่องยากที่ฉินอวี้โม่จะแสดงอากัปกิริยาเช่นนี้ ฉีอวิ๋นเหล่ยและคนอื่นๆจึงยิ้มออกมาและพยายามกลั้นเสียงหัวเราะ

มีเพียงเสี่ยวเหยียนคนเดียวเท่านั้นที่คิดว่านี่เป็นเรื่องจริง นางคิดว่าฉินอวี้โม่ไม่พอใจนางจริงๆและรีบอธิบายอย่างรวดเร็ว

ในตอนนั้น นางรอฉินอวี้โม่อยู่ที่เมืองลั่วหยาง ทว่าด้วยความที่เป็นห่วงความปลอดภัยของพี่สาว นางจึงออกไปที่ห้องรับรองของโรงเตี๊ยม

ขณะที่รอฉินอวี้โม่อยู่นั้น เสี่ยวเหยียนก็อดเป็นกังวลไม่ได้ ตอนนั้นนางกำลังจะออกไปสืบหาสถานการณ์ของฉินอวี้โม่ ทว่ากลับเห็นบุรุษคนหนึ่งที่ปรากฏตัวขึ้นมาและดึงดูดความสนใจของนาง

สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของนางไม่ใช่รูปลักษณ์ของบุรุษคนนั้นทว่าเป็นจี้หยกที่เขาพกติดตัว จี้หยกชิ้นนั้นเหมือนกับจี้ที่มารดาของเสี่ยวเหยียนมอบให้นางไว้ก่อนตาย

นางรู้สึกว่าบุรุษคนนั้นน่าจะมีบางอย่างเกี่ยวข้องกับต้นตระกูลของนาง

หลังจากไตร่ตรองกับตัวเอง เสี่ยวเหยียนก็อยากรู้เกี่ยวกับชีวิตของตนเองอย่างที่สุด แม้ว่านางเป็นห่วงฉินอวี้โม่ นางก็ทราบถึงความแข็งแกร่งของพี่สาวเป็นอย่างดีและเชื่อว่าฉินอวี้โม่ดูแลตัวเองได้ เมื่อคิดเช่นนั้น นางจึงเขียนจดหมายฉบับหนึ่งทิ้งไว้และตามบุรุษคนนั้นไป

นางแอบสะกดรอยตามบุรุษคนนั้นมาถึงเมืองเฟิงหวง อันที่จริงเขาก็รู้ตัวตั้งแต่ต้นว่าเสี่ยวเหยียนแอบตามรอยเขาอยู่ทว่าเขาก็ไม่ได้พูดอะไร จนกระทั่งเมื่อไปถึงเมืองเฟิงหวง เขาจึงเรียกให้นางแสดงตัวออกมา

อย่างไรก็ตาม ทันทีที่เด็กสาวปรากฏตัวขึ้นมาตรงหน้า บุรุษคนนั้นก็ตกตะลึงจนตาค้าง

เขามองเสี่ยวเหยียนด้วยท่าทีราวกับเห็นคนที่คิดไว้และคาดเดาตัวตนของนางได้ทันที

บุรุษคนนั้นไม่ใช่ใครอื่น หากแต่เป็นเฟิงจิงเทียน—บิดาของเสี่ยวเหยียนนั่นเอง เมื่อได้พบบุตรสาวที่พลัดพรากกันไปเสียนาน เฟิงจิงเทียนจึงไม่รอช้าและพาเสี่ยวเหยียนกลับไปที่จวนตระกูลเฟิงอย่างมีความสุข

แม้ว่าเสี่ยวเหยียนยังคงเป็นห่วงและกังวลเรื่องความปลอดภัยของฉินอวี้โม่ นางก็มีโอกาสเพียงน้อยนิดเท่านั้นที่จะได้สืบหาความจริงเกี่ยวกับประวัติชีวิตที่ลึกลับของตนเองและนางจะยอมทิ้งโอกาสนี้ไปไม่ได้

เพราะเหตุนั้นเสี่ยวเหยียนจึงอยู่ต่อที่จวนตระกูลเฟิง

ในตอนนั้นเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ชื่อ ‘ฉินอวี้โม่’ โด่งดังจากการต่อสู้ครั้งแรกในดินแดนอ้างว้างและข่าวเรื่องที่นางออกจากเมืองลั่วหยางได้อย่างปลอดภัยก็สะพัดออกมาเช่นกัน เสี่ยวเหยียนจึงรู้สึกโล่งใจขึ้นเล็กน้อย

ทว่าเมื่อไม่ทราบว่าฉินอวี้โม่เดินทางไปที่ใดต่อ เสี่ยวเหยียนจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องอยู่ที่จวนตระกูลเฟิงต่อไป

ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา นางได้เรียนรู้เกี่ยวกับอดีตของตนเองและความจริงว่าเหตุใดเฟิงจิงเทียนจึงทอดทิ้งนางและมารดาให้อยู่กันเพียงลำพัง

หลังจากได้ฟังคำอธิบายโดยรวมจากเสี่ยวเหยียน ฉินอวี้โม่และคนอื่นๆก็พยักศีรษะเล็กน้อย ไม่คิดเลยว่าเด็กสาวเยาว์วัยอย่างเสี่ยวเหยียนจะต้องเผชิญเรื่องราวมากมายเช่นนี้ แม้ว่ามันฟังดูเรียบง่ายไม่ซับซ้อน ทว่าด้วยความแข็งแกร่งของนางในตอนนั้น ในการสะกดรอยตามใครสักคนจากเมืองลั่วหยางมาจนถึงเมืองเฟิงหวงแห่งนี้ นางจะต้องเผชิญภยันตรายมากมาย หากไม่ใช่เพราะอสูรมายาระดับจ้าวพิภพที่ฉินอวี้โม่ได้ช่วยเสี่ยวเหยียนสยบไว้ก่อนหน้านี้และเฟิงจิงเทียนที่แอบช่วยนางอย่างลับๆนั้น เสี่ยวเหยียนก็คงจะไม่มีทางเดินทางมาถึงเมืองเฟิงหวงได้

“ท่านพี่ อย่าโกรธข้าเลย ข้ารู้ว่าข้าผิด ต่อไปข้าจะไม่จากไปไหนโดยที่ไม่บอกลาก่อน”

เสี่ยวเหยียนเบะปากและดึงแขนพี่สาวด้วยท่าทางเหมือนเด็กน้อย

“มาพูดคุยถึงเรื่องราวชีวิตของเจ้ากันก่อนเถอะ”

ฉินอวี้โม่เอ่ยขึ้นเบาๆ นางสงสัยอย่างยิ่งว่าเหตุใดบิดาของเสี่ยวเหยียนจึงปล่อยให้นางใช้ชีวิตอยู่ในหมู่บ้านจันทรานานขนาดนั้นโดยไม่ออกตามหา

.