ตอนที่ 391 พูดอย่างชัดเจนแล้ว

ตอนที่ 391 พูดอย่างชัดเจนแล้ว

“จ้าวเหวินเทาคุยอะไรกับคุณเหรอ?” โจวหมิ่นทำงานไปพลางเอ่ยถามไปพลาง

 

เย่หมิงเป่ยนึกถึงคำพูดของจ้าวเหวินเทา จึงตัดสินใจพูดเรื่องนี้กับโจวหมิ่น

“ผมไม่ได้คิดว่าจะเป็นแบบนี้” เย่หมิงเป่ยเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดจบแล้ว ก็แสดงสีหน้าราวกับหมดคำจะพูด

โจวหมิ่นคิดไม่ถึงว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับคุณเฉิง จู่ ๆ หล่อนก็นึกถึงเรื่องที่เย่หมิงเป่ยบอกว่าคุณเฉิงเชิญให้ไปร่วมประชุมประจำปีขึ้นมาได้ “คุณก็เลยไม่อยากไปเพราะเรื่องนี้สินะ?”

“ใช่” เย่หมิงเป่ยตอบ “ตอนนั้นผมก็อยากจะบอกคุณนั่นแหละ แต่พอพูดถึงเสี่ยวหม่า ผมก็เลยปล่อยผ่าน”

โจวหมิ่นกำลังจะพูดว่าพูดจริงหรือพูดเล่น แต่จู่ ๆ ก็รู้สึกไม่เหมาะสมขึ้นมา จึงกล่าวเคล้ารอยยิ้มว่า “เสี่ยวหม่าคนนี้ชอบยุ่งเรื่องของคนอื่นจริง ๆ! กลับไปฉันจะหางานให้เขาทำเยอะ ๆ จริงสิ คุณเฉิงบอกว่าคุณหน้าตาคล้ายกับเถ้าแก่ของหล่อนมากเลยเหรอ?”

“คุณเฉิงบอกแบบนี้ แต่ไม่มีใครรู้หรอกว่าเรื่องจริงหรือโกหก” เย่หมิงเป่ยเห็นโจวหมิ่นไม่ได้มีท่าทางโกรธเคือง จึงวางใจและพูดอย่างผ่อนคลาย

เขาไม่อยากให้โจวหมิ่นเข้าใจผิดเพราะเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้ หากเป็นแบบนี้คงกลายเป็นเรื่องอยุติธรรมสำหรับเขามากเกินไปแล้ว!

“คุณเฉิงติดต่อกับเถ้าแก่ของหล่อนเป็นประจำเหรอ?”

 

“ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่นะ”

โจวหมิ่นครุ่นคิด

“เป็นอะไรรึเปล่าหมินหมิ่น?”

 

“เจ้าของตึกใหญ่ที่พวกเราเช่าอยู่ฉันเองก็พอจะรู้จักอยู่บ้าง ครอบครัวเขามีภูมิหลังดีมากเลยนะ นอกจากตึกที่พวกเราเช่ายังมีสถานที่อื่นที่ทำอสังหาริมทรัพย์ด้วย เป็นคนที่มีเงินและอำนาจอย่างแท้จริงเลย”

“ฉันได้ยินมาว่า ตึกใหญ่โดยปกติจะปล่อยให้คนอื่นเช่าหลายคน”

“บางที่ก็เป็นแบบนี้ ยกตัวอย่างเช่นคุณเช่าตึกหนึ่ง คุณเหลือไว้ใช้เองส่วนหนึ่ง ส่วนที่เหลือก็ปล่อยให้คนอื่นเช่าต่อ แล้วคนคนนี้ก็เอาไปปล่อยเช่าอีกทอดหนึ่ง เป็นการปล่อยเช่าต่อสามสี่ทอด แต่ที่พวกเราเช่าไม่ได้เป็นแบบนั้น เพราะนี่เป็นของเฝิงซื่อกรุ๊ปโดยตรง ภายใต้องค์กรนี้มีตั้งหลายบริษัท คุณเฉิงเป็นแผนกอสังหาริมทรัพย์ในองค์กรของพวกเขา”

“ต้องมีเงินขนาดไหนเนี่ย?” เย่หมิงเป่ยจินตนาการไม่ออกเลย “ผมจะไปเกี่ยวข้องกับคนมีเงินแบบนี้ได้ยังไง?”

“ก็นั่นน่ะสิ ฉันเองก็ประหลาดใจอยู่เหมือนกัน” โจวหมิ่นกวาดตาสำรวจเย่หมิงเป่ย พูดหยอกล้อว่า “หรือว่า คุณจะเป็นลูกนอกสมรสของเถ้าแก่ที่คุณเฉิงพูดถึงจริง ๆ?”

เย่หมิงเป่ยหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “ผมก็พอจะคิดได้แหละ คนที่มีธุรกิจใหญ่โตขนาดนี้คาดว่าคงเป็นปู่ทวดของผมแล้วมั้ง? ยังจะบอกว่าเป็นลูกนอกสมรสอีก!”

โจวหมิ่นหัวเราะร่า “คุณนี่มันจริง ๆ เลยนะ เอ๋ แต่เถ้าแก่ที่คุณเฉิงพูดถึงคงไม่ใช่บอสของเฝิงซื่อกรุ้ปหรอกใช่ไหม”

 

“หา?” เย่หมิงเป่ยชะงัก

 

“เฝิงซื่อกรุ้ปมีตั้งหลายแผนก เถ้าแก่ของคุณเฉิงเป็นเถ้าแก่ของหนึ่งในแผนกนั้น แต่เขาเป็นคนของตระกูลเฝิง ฟังจากที่คุณเฝิงพูด น่าจะไม่ใช่ทายาทโดยตรงนะ”

เย่หมิงเป่ยได้ยินก็ถึงกับมึนงง

โจวหมิ่นอธิบาย “ก็เหมือนกับว่าพ่อของคุณเป็นประธานขององค์กร ส่วนพี่น้องทั้งสามคนของคุณก็รับผิดชอบคนละแผนก จากนั้นลูกชายของพวกคุณก็รับผิดชอบแผนกของใครของมัน แบบนี้คือธุรกิจครอบครัว”

เย่หมิงเป่ยเข้าใจแล้ว “งั้นถ้าประธานขององค์กรคือปู่ทวด ก็หมายความว่าพวกเขามีทายาทห้ารุ่นเลยนะ ไม่มีทางที่จะมีเงินเยอะขนาดนี้”

มีเงินก็ถูกริบอยู่ดี เจ้าของที่ดีๆ ในชนบทก็ถูกนำที่ดินมาแบ่งด้วย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนมีเงินแบบนี้เลย

  

โจวหมิ่นยิ้ม “ไม่ได้เป็นอย่างที่คุณคิดสักหน่อย แค่ระยะเวลาชั่วครู่พูดไปก็ไม่เข้าใจหรอก ตอนประชุมประจำปีพวกเราไปดูก็แล้วกัน ดูสิว่าเถ้าแก่ที่คุณเฉิงพูดถึงจะหน้าตาคล้ายคุณมากขนาดไหน!”

  

น่าเสียดายที่ตอนนี้ยังไม่มีเครือข่ายอินเตอร์เน็ต หล่อนจึงเข้าใจแค่ข้อมูลพื้นฐานของเฝิงซื่อกรุ้ป แต่ไม่ได้รู้รายละเอียดอะไร และไม่รู้ด้วยว่าเถ้าแก่ที่คุณเฉิงพูดถึงหน้าตาเป็นอย่างไร แม้แต่ภาพถ่ายก็ไม่มี จากสิ่งนี้ทำให้พอจะมองออกว่าอีกฝ่ายเป็นคนวางตัวให้ไม่ค่อยเป็นที่สนใจ

เมื่อโจวหมิ่นพูดแบบนี้ เย่หมิงเป่ยก็แอบตั้งตารอคอยเช่นกัน

โจวหมิ่นเองก็ตั้งตารอคอย เพราะหล่อนคิดว่าหากไม่มีความจำเป็น คุณเฉิงคงไม่พูดโกหก ส่วนเย่หมิงเป่ยยิ่งไม่โกหกเข้าไปใหญ่ หากเย่หมิงเป่ยหน้าตาเหมือนเถ้าแก่ของคุณเฉิงจริง ๆ บางทีเขาอาจเป็นญาติกับตระกูลเฝิงก็ได้ เพียงแต่โอกาสที่จะเป็นแบบนี้มีน้อยมาก

ส่วนเรื่องที่เสี่ยวหม่าพูดว่าเย่หมิงเป่ยและคุณเฉิงมีความสัมพันธ์ระหว่างกัน โจวหมิ่นได้เพิกเฉยไปแล้ว เรื่องนี้จะปั้นน้ำเป็นตัวไม่ได้ ไม่งั้นก็คงเป็นการหาเหาใส่หัว หล่อนเชื่อว่าหากมีวันที่เย่หมิงเป่ยเปลี่ยนไปจริง ๆ หล่อนต้องรู้ได้ในทันที และก็เชื่อว่าตนมีความสามารถมากพอที่จะไม่ทำให้เกิดเรื่องแบบนั้น

เย่หมิงเป่ยทำตัวง่ายยิ่งกว่า เมื่อเห็นโจวหมิ่นไม่เชื่อ เขาก็ไม่ได้สนใจอะไร ทั้งยังรู้สึกสบายใจด้วย เพียงแต่ตั้งตารอคอยการประชุมประจำปี

 

น่าเสียดายที่ตอนประชุมประจำปีเถ้าแก่ของคุณเฉิงไม่ได้มาเข้าร่วม แต่ให้รองประธานอีกคนมาแทน เรื่องนี้ทำให้โจวหมิ่นและเย่หมิงเป่ยผิดหวังมาก ทว่าเพียงไม่นานก็ไม่ได้สนใจเรื่องนี้แล้ว เพราะหลังจากงานแฟชั่นโชว์ คำสั่งซื้อเสื้อผ้าก็มาเยอะมาก ผลงานถักที่พี่สี่จ้าวทำก็มีมากเช่นเดียวกัน ประกอบกับช่วงนั้นเป็นวันปีใหม่ เขาจึงยุ่งจนเท้าไม่แตะพื้นแล้ว จะไปสนใจเรื่องอื่นได้อย่างไร หาเงินต่างหากล่ะคือเรื่องจริง!

ในเมืองยุ่งตลอดทั้งปี ส่วนในชนบทยุ่งตลอดทั้งปียิ่งกว่า เมื่อหิมะบนถนนในชนบทถูกกวาดลงไปแล้ว จ้าวเหวินเทาก็เริ่มค้าขายของปีใหม่อีกครั้ง เขาต้องทำเวลาเพื่อหาเงินก้อนสุดท้ายก่อนปีใหม่

 

เย่ฉูฉู่อยู่บ้านรับผิดชอบขายของ ปีนี้คึกคักยิ่งกว่าปีที่แล้ว ในบ้านแทบจะกลายเป็นแผงขายของขนาดเล็กแล้ว

สิ่งนี้ก็สามารถเข้าใจได้ เพราะตลาดนัดที่อยู่ใกล้ที่สุดก็ยังไกลถึงสิบกว่าลี้ ไปกลับก็ปาไปยี่สิบกว่าลี้แล้ว บนถนนก็ลื่นด้วย จ้าวเหวินเทาอยู่ใกล้ขนาดนี้ หิมะก็ถูกกวาดแล้ว ของกินเครื่องดื่มและเครื่องใช้ก็มีครบครัน แถมยังได้เข้ามาเลือกในบ้านอุ่น ๆ ด้วย

  

“ฉูฉู่ พอเธอเปิดร้าน พวกเราก็ซื้อของได้สะดวกขึ้นเยอะเลย” คุณป้าหยางพลิกดูรูปปีใหม่กองหนึ่งพลางพูด

เย่ฉูฉู่ตอบเคล้ารอยยิ้ม “นี่แค่ไม่กี่วันเองนะคะ นอกจากช่วงนี้ใครจะมาซื้อของล่ะ”

 

“ก็จริงนะ” คุณป้าหยางพยักหน้า หยิบภาพไฉ่ซิ้งเอี๊ย (เทพเจ้าแห่งโชคลาภ) ขึ้นมาหนึ่งแผ่น “ฉันเอาแผ่นนี้นะ”

 

“ห้าเฟินค่ะ” เย่ฉูฉู่ตอบ

 

“งั้นเอาอีกแผ่นแล้วกัน ฉันอยากได้เทพประจำประตู” คุณป้าหยางพูดพลางพลิกหาอีกครั้ง

“เทพประจำประตูก็ต้องติดเป็นคู่นะ” เย่ฉูฉู่ถาม “คุณป้าจะใช้ภาพเทพประจำประตูแผ่นใหม่กับแผ่นเก่ารวมกันไม่ได้นะคะ”

“จริงด้วย ๆ เธอดูฉันสิ แก่แล้ว สมองเลอะเลือนไปหมด เทพประจำประตูต้องซื้อเป็นคู่!”

“คุณป้า งั้นฉันขายให้คุณป้าถูก ๆ แล้วกันค่ะ คู่ละหกเฟินนะคะ!” เย่ฉูฉู่บอก

“ได้เลย เธอขายถูกกว่าในตลาดนัดอีกนะ ฉันไปถามมาแล้ว ที่ตลาดนัดขายตั้งหนึ่งเหมาแหน่ะ!” คุณป้าหยางหยิบเงินออกมาอย่างใจถึง

 

หลังจากส่งแขกแล้ว เย่ฉูฉู่ก็เก็บภาพปีใหม่ให้เป็นระเบียบ ตอนนี้ภายในบ้านมีของสำหรับปีใหม่กองอยู่ ส่วนด้านในห้องใต้ดินที่อยู่นอกบ้านเป็นผักใบเขียวทั้งหมด ในทุกๆ วันจะมีคนเข้ามาไม่ขาดสาย เย่ฉูฉู่กินข้าวตรงเวลาสามมื้อ เสี่ยวไป๋หยางกลับมีความสุขมาก ตั้งแต่ต้นปีจนถึงสิ้นปี ช่วงเวลานี้แหละที่มีคนมาที่บ้านเป็นจำนวนมาก เด็กคนนี้ชอบความครึกครื้นเหมือนกับจ้าวเหวินเทาเลย

จ้าวเหวินเทากลับมาในตอนค่ำ ก็นับสินค้าและคำนวณบัญชี หักลบต้นทุนแล้วพวกเขาทั้งคู่ได้เงินมาเกือบร้อยหยวน ส่วนใหญ่เป็นเงินที่จ้าวเหวินเทาหาได้

เย่ฉูฉู่มองสามีที่กำลังนั่งนับเงินที่หามาได้ จึงพูดอย่างเป็นกังวลว่า “คุณเดินทางไกลอีกแล้วใช่ไหม? ถนนลื่นจะตายไป คุณขับรถไปดูไม่ค่อยปลอดภัยเลยนะ”

จ้าวเหวินเทาเดินทางไกลจริง ๆ เป็นเพราะกลัวภรรยาเป็นกังวลจึงไม่ได้บอก คิดไม่ถึงเลยว่าภรรยาจะมองออก “มีคนเรียกให้ผมไปส่งของ คุณดูสิหิมะตกหนักขนาดนี้ พวกเขาไปซื้อที่ตลาดนัดก็ไม่สะดวก ก็เลยไหว้วานให้พวกเราเอาของไปส่งให้ คุณไม่ต้องห่วงหรอก พวกเราไปกันตั้งหลายคน ถ้าเกิดเรื่องอะไรระหว่างทางจริง ๆ ก็ดูแลกันได้”

“งั้นคุณอย่าไปเลย ได้เงินน้อยลงหน่อยไม่เป็นไรหรอก พวกเราไม่ได้ร้อนเงินสักหน่อย” เย่ฉูฉู่บอกอย่างไม่อยากให้สามีออกไปเสี่ยงอันตราย

……………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

สรุปแล้วหมิงเป่ยเป็นญาติกับตระกูลเฝิงหรือเปล่านะ หรือเป็นคุณเฉิงที่มโนขึ้นมาเอง

ค้าขายร่ำรวยๆ นะบ้านหก

ไหหม่า(海馬)