บุตรอสูรบรรพกาล ตอนที่ 265 รักษาไม่ได้
“ชินอี้” หวังเย่หลิงพูดออกมาด้วยท่าทางราวกับจะร้องให้ ความรู้สึกของผู้มีพลังดึงดูดเหล่าออสูรนั้นปกติคนธรรมดาไม่อาจสัมผัสได้ แต่สําหรับนางและไป๋จูเหวินนั้นกลับสามารถรู้สึกได้ด้วยสายสัมพันธ์บางอย่าง แต่ถึงจะสัมผัสไม่ได้ บางอย่างที่เหมือนสายสัมพันธ์ของแม่ลูกกลับเด่นชัดกว่านั้น
“ท่าน…ท่านยังไม่ตาย”ไป๋จูเหวินพูดพลางมองร่างของหวังเย่หลิงด้วยความงุนงง ไม่ใช่ว่าหวังตงบอกกับมันว่า หวังเย่หลิงได้ตายไปแล้วงั้นหรือ ไม่สิ ตัวมันเองก็ไม่ได้เห็นหวังเย่หลิงตายกับตา มันบอกว่ามันพาตัวไป๋จูเหวินหนีออกมาก่อนหน้านั้น โอกาสแม้น้อย แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
“ชินอี้ เจ้ายังไม่ตาย” ความรู้สึกของหวังเย่หลิงนั้นดูปลาบปลื้มยิ่งกว่าตอนไป๋จูเหวินได้เจอกับชิ้นหลุนเสียอีก นั่นเพราะก่อนหน้านี้นางได้ทราบข่าวของบุตรชายจากพวกของกลุ่มเขี้ยวโลหิตมาแล้ว พวกมันยืนยันอย่างชัดเจนว่าไปบุตรชายของนางตกลงไปในผาไร้กันจนร่างแหลกสลาย ไม่มีทางรอด หากไม่ใช่เพราะก่อนหน้านี้นางได้ทราบจากพยัคฆ์อัสนีว่าไป๋จูเหวินยังมีชีวิตอยู่ นางคงไม่เชื่อสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าแน่ๆ
“จูเอ๋อ…ข้ายินดีด้วยที่เข้าได้พบกับมารดา แต่ข้ามีเรื่องให้เจ้าต้องรีบจัดการทันที” พยัคฆ์อัสนีว่าพลางมองไปทางเย่หลิง สิ่งเดียวที่ยื้อเหล่าอสูรไว้คือการที่หวังเย่หลิงยังต้องใช้ยาของหัวหน้ากลุ่มเขี้ยวโลหิต
“มารดาของเจ้าติดพิษร้ายแรง เจ้าสามารถรักษาได้หรือไม่” พยัคฆ์อัสนีถามออกมาเพราะไป๋จูเหวินมีความรู้จากมังกรธรณีเกือบทั้งหมด หากไป๋จูเหวินรักษาไม่ได้ก็มีโอกาสไม่มากที่มังกรธรณีจะสามารถรักษาได้
“ขอรับ”ไป๋จูเหวินตอบรับทันที่ออย่างไม่ลังเล ดวงตาของมันเปลี่ยนเป็นสีเขียวทันทีเพื่อตรวจสอบสภาพร่างกายของมารดา แต่ดวงตาสีเขียวของมันกลับไม่สามารถตรวจสอบอาการของโรคได้เลย
“อะไรกัน”ไป๋จูเหวินขมวดคิ้วงุนงง ร่างกายของมารดาเป็นปกติทุกอย่าง แต่พลังวิญญาณกลับไม่ถูกปล่อยออกมาจากจุดตันเถียนเลย หากให้พูดตามตรงตอนนี้นางอ่อนแอ แทบไม่ต่างจากคนไร้พลังวิญญาณเลย
“มันเป็นพิษจากพลังวิญญาณ”ไป๋จูเหวินพูดพลางเปลี่ยนดวงตาเป็นสีม่วงแทน เมื่อเปลี่ยนมามองพลังวิญญาณแทน ไป๋จูเหวินก็พบสาเหตุทันที ในร่างของมารดามีพลังวิญญาณบางอย่างแทรกอยู่ในร่างกาย อาการเช่นนี้มันเคยเห็นมาก่อน มันคืออาการบาดเจ็บที่หวังตงเป็นมาก่อนหน้านี้นั่นเอง เพียงแต่หวังตงเป็นยอดฝีมือที่ฝึกวิชาลมปราณมังกรทําให้มันสามารถขจัดลมปราณจิตภูติอุดรออกไปได้ แต่เย่หลิงกลับไม่สามารถทําได้ ส่งผลให้นางอาการหนักกว่าหวังตงหลายเท่า
“มันเหมือนกับพลังของคนที่ท่านน้าล้มไปเมื่อครู่เลย”ไป๋จูเหวินว่าพลางถอนหายใจออกมา
“เจ้ารักษาได้ไหม” พยัคฆ์อัสนีถามด้วยความกังวล นางคือมารดาของไป๋จูเหวิน หากนางสามารถรักษาได้คนที่จะดีใจที่สุคือตัวไป๋จูเหวินเองไม่ใช่ใครอื่นเลย
“ข้าจะลองดูขอรับ”ไป๋จูเหวินตอบพลางเดินเข้าไปหามารดาของมัน
“ท่าน….ท่านแม่”ไป๋จูเหวินยื่นมือไปข้างหน้าด้วยท่าทางตื่นเต้น มันเชื่อมาตลอดว่ามารดาของมันตายไปแล้ว ตั้งแต่ได้เจอหวังเฉียนในจิตใต้สํานึก มันก็นึกว่ามารดาของมันคือหวังเฉียนและได้ตายจากไปเช่นเดียวกับอสูรแมงมุมแล้ว แต่เมื่อได้ทราบถึงการมีตัวตนของมารดาที่แท้จริง ก็ได้ทราบข่าวว่านางได้ตายไปแล้วอยู่ดี ทําให้ไป๋จูเหวินไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะได้มีโอกาสเช่นนี้
“นี่จ่ะ” หวังเย่หลิงยิ้มพลางยื่นมือให้ไป๋จูเหวิน ดูภายนอกแล้วใบหน้าของนางมีหลายส่วนเช่นกันที่คล้ายไป๋จูเหวิน ทําให้เห็นชัดเลยว่าพวกมันคือแม่ลูกกันจริงๆ
วูบไป๋จูเหวินส่งพลังวิญญาณของมันเข้าไปในร่างของหวังเย่หลิง คราก่อนหวังตงใช้พลังลมปราณมังกรกําจัดพลังวิญญาณของวิชาจิตภูติอุดรออกไป ไป๋จูเหวินจึงทดลองเลียนแบบดู เพียงแต่
“อีก!!”ผิดคาด เย่หลิงล้มลงทันทีที่ไป๋จูเหวินเริ่มถ่ายพลังเข้าไปเลยก็ว่าได้
พรึบ! ไป๋จูเหวินเปลี่ยนดวงตาข้างหนึ่งเป็นสีเขียวทันที ทําให้มันได้ทราบว่าร่างกายของเย่หลิงยามนี้อ่อนแอมาก นางโดนลมปราณจิตภูติอุดรของหัวหน้ากลุ่มเขียวโลหิตกด พลังเอาไว้มานานเกือบ 20 ปี ทําให้ร่างกายของนางถดถอยลงจนเรียกได้ว่าอ่อนแอเลยทีเดียว
“ไม่ได้ รักษาไม่ได้”ไป๋จูเหวินสายหน้าพลางดึงร่างของมารดาขึ้นมา ตั้งแต่เริ่มเดิมที่เคล็ดวิชาโลหิตมังกรนั้นก็ต้องใช้ ร่างกายที่แข็งแกร่งพอสมควรในการฝึกฝน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงวิชาลมปราณมังกร ร่างกายของเย่หลิงยามนี้ไม่อาจรับพลังลมปราณมังกรได้จึงไม่อาจกําจัดวิชาจิตภูติอุดรได้
“ไม่ได้จริงๆสินะ” พยัคฆ์อัสนีกัดฟันกรอด แม้มันจะเดาได้อยู่แล้วจากร่างกายที่อ่อนแอมากของเย่หลิง แต่พอรู้ความจริงแล้วมันก็อดสิ้นหวังไม่ได้
“ยังหรอก ถ้าหากฟื้นฟูร่างกายของท่านแม่ได้ อาจจะรักษาให้ท่านได้ในสักวันก็ได้”ไป๋จูเหวินว่าพลางกุมมือมารดาของมันแน่น
“ไม่ได้หรอก” พยัคฆ์อัสนีว่าพลางถอนหายใจออกมา
“มารดาของเจ้าต้องได้รับยาจากหัวหน้ากลุ่มเขี้ยวโลหิตทุกวัน หากค่อยๆรักษาไปเกรงว่า…” พยัคฆ์ออัสนี้ส่ายหน้าเบาๆพลางมองไปทางสนามรบ ตอนนี้ฝายขององค์จักรพรรดิได้เปรียบอย่างมาก หากเป็นเช่นนี้ต่อไปคงสามารถจับตัวหัวหน้ากลุ่มเขี้ยวโลหิตได้อย่างแน่นอน
“หืม.จังตัว” พยัคฆ์อัสนีว่าพลางยิ้มออกมา
“จูเอ๋อ เจ้าใช้วิชามิติได้ใช่ไหม” พยัคฆ์อัสนีถามออกมาด้วยท่าทางมีความหวัง นี่มันกําลังคิดอะไรอยู่กันแน่
“ขอรับ ข้าใช้ได้”ไป๋จูเหวินตอบพลางพยักหน้าช้าๆ
“สูตรยาของมันต้องอยู่ในมิติของมันแน่ๆ ข้าจะจับตัวมันเอาไว้แล้วใช้มันผสมยาให้มารดาเจ้าไงล่ะ” พยัคฆ์อัสนีว่าพลางยิ้มกว้าง
“หากมียามากพอจนสามารถบํารุงรักษาร่างของมารดาเจ้าได้ ก็สามารถกําจัดพลังของหัวหน้ากลุ่มเขี้ยวโลหิตได้สินะ” พยัคฆ์อัสนี้เสนอพลางมองมาทางไป๋จูเหวิน
“ขอรับ ข้ามั่นใจว่าทําได้”ไป๋จูเหวินตอบพลางพยักหน้าออกมา
“ดี งั้นข้าจะไปจับมันมา” พยัคฆ์อัสนีว่าพลางพุ่งวาบออกไปทันที ตอนนี้หัวหน้ากลุ่มเขี้ยวโลหิตยังไม่ได้ลงไปช่วยต่อสู้ แต่เห็นได้ชัดเลยว่ามันกําลังโดนต้อนอยู่
“ชินอี้ พาแม่ไปที่สนามรบที” มารดาของไป๋จูเหวินว่าพลางชี้ไปทางกลุ่มที่เหล่าอสูรกําลังชุลมุนกันอยู่
“แต่ว่า…”ไป๋จูเหวินกําลังจะบอกว่ามันอันตรายแค่ไหน แต่พอนึกย้อนไปก่อนหน้านี้ตอนที่อสูรไม่ยอมเชื่อฟังมัน นั่นอาจจะเป็นเพราะพวกมันกําลังฟังสิ่งที่มารดาบอกก็ได้
“ขอรับ ข้าเข้าใจแล้ว”ไป๋จูเหวินตอบพลางอุ้มร่างของหวังเย่หลิงขึ้นมา พริบตาที่มันอุ้ม ความเบาของร่างกายมารดาก็ทําเอามันใจหาย มารดามันโดนขังอยู่ที่นี่มานานกว่า 20 ปี นางต้องเจออะไรมาบ้างถึงผ่ายผอมได้ถึงขนาดนี้ แม้นางจะยังไม่ตายแต่ความโกรธแค้นที่มีต่อหัวหน้ากลุ่มเขี้ยวโลหิตกลับไม่ลดลงเลย
ฟุบ! ร่างของไป๋จูเหวินทะยานไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว เพื่อมุ่งไปทางกลุ่มอสูรที่กําลังชุลมุนกันอยู่ ตอนนี้อสูรที่กําลังสู้กันอยู่นั้นคือฝ่ายหนึ่งเชื่อฟังไป๋จูเหวิน อีกฝ่ายเชื่อฟังมารดามัน หากเข้าไปหยุดตอนนี้พวกอสูรก็ไม่ต้องบาดเจ็บล้มตายอีก
“หยุดนะ” ชายคนหนึ่งตะโกนพลางตามไป๋จูเหวินมา ความจริงก่อนหน้านี้มันไล่ตามพยัคฆ์อัสนีอยู่ แต่ความเร็วของพยัคฆ์อัสนีมากเกินไปทําเอามันตามไม่ทันเลยทีเดียว
เปรี้ยง! ไป๋จูเหวินซัดฝามือเพลิงพิโรธใส่ชายคนนั้นเพื่อเปิดทางทันที แต่มันกลับหลบได้เพราะความเร็วที่ของมันเองก็ไม่ธรรมดา เรียกได้ว่าตามไป๋จูเหวินกันเลยทีเดียว แม้จะเพราะไป๋จูเหวินกําลังอุ้มเย่หลิงอยู่ก็ตาม
“ปล่อยนางลง ตอนนี้นางเป็นสมบัติของพวกเรา”ชายคนนั้นว่าพลางชักกระบี่ออกมา พอได้ยินว่ามารดาของพวกมันเป็นสมบัติในสายตาคนอื่นไป๋จูเหวินก็พลันเลือดขึ้นหน้าทันที
“ท่านแม่ รอข้าเดี๋ยวนะขอรับ”ไป๋จูเหวินว่าพลางปล่อยร่างของเย่หลิงลง อีกฝ่ายเป็นคนระดับเทียนเซียนขั้นที่ 10 ธรรมดา ไป๋จูเหวินสามารถจัดการได้ไม่ยากแน่ๆ
ฟุบ!! ร่างของไป๋จูเหวินทะยานราวกับสายฟ้าเช่นเดียวกับพยัคฆ์อัสนี อีกฝ่ายเป็นพวกเน้นความเร็ว หากตามทันจะสามารถจัดการได้ไม่ยาก
“คิดจะสู้งั้นหรือ” ชายคนนั้นว่าพลางร่ายกระบี่ออกมาอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อเทียบความเร็วของอู๋หมิงแล้วกระบี่ของมันก็ไม่ได้เร็วขนาดนั้น
ฟุบๆๆ ร่างของไป๋จูเหวินแยกอออกเป็น 3 ร่างเข้าล้อมร่างของชายคนนั้นเอาไว้ก่อนที่ไป๋จูเหวินจะง้างฝ่ามือไปข้างหลังพร้อมๆกัน
เปรี้ยงๆๆๆๆๆๆๆ เสียงฝามือประกายอัสนีดังถี่ยิบจนน่าขนลุก ร่างของไป๋จูเหวิน 3 ร่างโจมตีจาก 3 ทิศทาง ทําเอาชายคนนั้นไม่สามารถหลบได้เลย
“อากก” ชายคนนั้นล้มลงไปนอนกับพื้นหลังจากโดนฝ่ามือไปนับไม่ถ้วน แต่มันก็ยังประคองสติเอาไว้ได้ แต่สภาพของมันตอนนี้คงไม่สามารถหลบหลีกได้อีกแล้ว
ตูม!! ไป๋จูเหวินซัดฝามือเพลิงพิโรธลงไปที่อกของมันอย่างจัง ทําเอามันหมดสติในพริบตา ก่อนที่ไป๋จูเหวินจะกลับมารับมารดาของมันเพื่อเดินทางอีกครั้ง
“สมแล้วที่เจ้ามีสายเลือดของพี่ชินหลุน” หวังเย่หลิงยิ้มออกมาอย่างชื่นใจ เห็นบุตรชายเก่งกาจเช่นนี้นางก็ดีใจยิ่งนัก
“ทุกตนหยุดก่อน” ทันทีที่ไป๋จูเหวินกลับมายืนบนหลังของหลินหลิน หวังเย่หลิงก็ประกาศออกมาทันที ทําให้เหล่าอสูรกว่าครึ่งชะงักร่างของพวกมันไป
“หยุดก่อนทุกตน”ไป๋จูเหวินเองก็สั่งออกมาเช่นกัน ทําให้อสูรฝั่งไป๋จูเหวินเองก็หยุดมือ ส่งผลให้สนามรบเหลือเพียงมนุษย์เท่านั้นที่ยังต่อสู้กันเอง
“เย่หลิงนี่นา นางออกมาแล้วงั้นหรือ” เหล่าอสูรพากันหันไปมองหน้ากันเองด้วยความตกใจ เปลี่ยนจากสภาพสงครามเป็นการถกเถียงในทันที
“ทุกตน ตอนนี้เราต้องจับตัวหัวหน้ากลุ่มเขี้ยวโลหิตให้ได้ ช่วยเหลือเหล่านักรบของราชวงศ์ชินด้วย”ได้ยินหวังเย่หลิงพูดเช่นนั้นเหล่าอสูรก็มองตากันก่อนจะหันหลังให้หวังเย่หลิงในทันที ไม่ใช่เพราะพวกมันไม่รับคําสั่ง แต่เพราะมันต้องการจะหันคมเขี้ยวใส่พวกกลุ่มเขี้ยวโลหิตต่างหาก นอกจากพวกมันจะขังเย่หลิงแล้วยังทรมานนางอีก ไหนจะเป็นคนจับพวกมันมาขังและเตรียมจะใช้พวกมันเพื่อต่อสู้อีกต่างหาก ยามนี้อสูรทั้งหลายได้หันคมเขี้ยวใส่คนที่มันต้องการเสียที