บทที่ 176 หม่ามี๊ ไม่คุยกับคุณอานิสัยไม่ด

ครูเจ้าเสน่ห์คนนี้ประธานจอง

เมื่อได้ยินดังนี้ สุนันท์ก็รู้สึกได้ถึงความผิดปรกติ“แม่ค่ะ แม่รักเจ้าหลานชายออกัสคนนี้มากไม่ใช่เหรอ ทำไมคราวนี้ถึงไม่ให้ไปหาล่ะ ไม่คิดถึงเขาเหรอคะ?”

“ไอคิดถึงมันก็คิดถึงอยู่ แต่ว่า ให้เขามาไม่ได้อีก ตลอดสามปีที่อยู่อเมริกาก็ทำออกัสเหนื่อยมามากพอแล้ว เราให้หาอะไรมาบำรุงเขาบ้าง และปล่อยให้เขาได้พักผ่อนด้วย”

“หรือว่า สุขภาพของออกัสจะสู้คุณแม่ไม่ได้งั้นเหรอ ? คุณแม่พักผ่อนนะคะ อย่าเก็บเอาเรื่องเล็กน้อยมาเป็นกังวลมาก”

“สามปีที่อยู่อเมริกา ทำเอาออกัสลำบากไปด้วย……”

“แม่ หนูบอกแล้ว ว่าแม่ลำเอียงเข้าข้างออกัสมาก แม่ก็ไม่เชื่อ ฟังที่แม่พูดมา มีคำไหนที่ไม่ปกป้องออกัสบ้าง ?”

“ฉันไม่ปกป้องออกัส ไม่รักออกัส แล้วจะให้ใครมารัก ?”

เมื่อได้ยินดังนี้ คุณหญิงมัทนาก็อดไม่ได้ที่จะขึ้นเสียงสูง แล้วพูดว่า “ตอนมาถึงอเมริกาในปีแรกๆ ออกัสคอยแต่จะหาหมอมาให้หยาดฝน เพื่อการผ่าตัด รักษาใบหน้าของเธอ เมื่ออาการหยาดฝนค่อยๆดีขึ้น ฉันก็มาเกิดเรื่องขึ้นอีก มีอาการเลือดออกในสมองถูกส่งตัวไปรักษาที่อเมริกา ออกัสก็มาวิ่งเต้นเรื่องของฉัน ไม่กล้าแม้แต่จะพักหายใจ

ฉันนอนไม่ได้สติอยู่สามเดือน และตลอดสามเดือนนี้เขาก็คอยดูแลอยู่ไม่ห่าง จากนั้นก็เข้ารับการผ่าตัด แม้ว่าจะฟื้นขึ้นมาแล้ว แต่สภาพร่างกายนั้นก็ยังแย่อยู่มาก คนที่คอยดูแลเคียงข้างฉันตลอดก็คือออกัส

จากนั้นก็ตามมาด้วยวิกฤตทางการเงินที่รุนแรงในสหรัฐ สำนักงานใหญ่ในสหรัฐฯประสบปัญหาความผันผวนอย่างมาก มีหนอนบ่อนไส้ บริษัทได้รับความเสียหายมาก ผู้ถือหุ้นต่างก็กระเหี้ยนกระหือรือในเวลานั้น พากันโจมตีมาที่ออกัส แกรู้ไหมว่าเขาลำบากมากแค่ไหน วันๆหนึ่งได้นอนแค่ไม่กี่ชั่วโมง……”

สุนันท์ไม่ได้พูดอะไร ออกัส ลำบากมากจริงๆ

“แกก็พึ่งพาอะไรไม่ได้เลย ไปอยู่อเมริกาได้สี่ห้าวันก็จะเดินทางกลับเพราะปรับตัวกับที่นั่นไม่ได้ ขาของพ่อแกก็มาหักอีก ขยับเคลื่อนไหวไม่ได้ เดินทางไปกลับล้วนเป็นออกัสคนเดียว เขาคนเดียวต้องแบกรับหน้าที่ตั้งสามอย่าง จะไม่เหนื่อยได้ยังไงกัน ?

แกกับสิงหาก็พึ่งพาอะไรไม่ได้เลย รักษาตัวในโรงพยาบาลที่สหรัฐมานานขนาดนั้น สิงหาก็ไม่เคยโผล่หน้ามาที่โรงพยาบาลเลย เขาจะยุ่งแค่ไหนกันเชียว หรือต้องรอให้ฉันตาย ถึงจะมีเวลามาดูได้งั้นเหรอ ? ”

คำพูดนี้ ทำเอาสุนันท์รู้สึกไม่ชอบใจนัก“คุณแม่ นี่คุณแม่พูดอะไรกัน ทำไมต้องพูดแบบนี้ด้วย”

“สิ่งที่เกิดขึ้นมันแย่กว่านี้ จะกลัวอะไรกับแค่คำพูดของฉัน ? เวลาที่ต้องการ ทั้งลูกสาวและลูกเขยพึ่งพาอะไรไม่ได้เลย คนที่พึ่งพาได้ก็มีเพียงหลานชายคนเดียว !”

“สภาพร่างกายหนูปรับตัวกับที่นั่นไม่ได้ ตอนอยู่ที่อเมริกาก็เอาแต่อาเจียนและท้องเสีย สิงหาเขาก็งานยุ่ง เรื่องพวกนี้แม่ก็รู้ดีทุกอย่าง ทำไมต้องมาโมโหด้วย ”

“งานยุ่ง ? ฉันว่ารอให้ฉันตาย ไม่แน่สิงหาก็คงไม่ว่างมางานศพของฉันด้วยล่ะมั้ง !”

เมื่อคำพูดที่มีน้ำโหสิ้นสุดลง คุณหญิงมัทนาก็วางสายไปทันที

สุนันท์ก็นั่งอยู่กับที่อย่างจนใจ เธอรู้ว่าแม่ของเธอเป็นห่วงสุขภาพของออกัสมาก จากนั้น ก็จึงได้ให้ป้าบัวออกไปข้างนอกกับเธอ ไปซื้อพวกอาหารเสริมและของบำรุง

ในอีกฟากหนึ่ง

ไกรวิทย์มองไปยังคุณหญิงมัทนาที่หายใจหอบด้วยอารมณ์โมโห ใบหน้าที่น่าเกรงขามของเขาก็ทำอะไรไม่ถูก เอื้อมมือไปและตบไปที่หลังมือของเธอ เพื่อให้เธออารมณ์เย็นลง“จะทำแบบนี้ไปทำไม ให้ตัวเองมานั่งอารมณ์เสียอยู่แบบนี้ ”

“นอนไม่ได้สติอยู่นานขนาดนั้น ลูกเขยไม่เคยไปดูเลยครั้งเดียว จะไม่ให้ฉันโกรธได้ยังไง ? ”

“เอาเถอะพอแล้ว อย่าโมโหจนเสียสุขภาพไปเลย ร่างกายของคุณภรรยาเพิ่งจะดีขึ้น หากต้องอารมณ์เสียจนล้มป่วยไปอีก สามีอย่างฉันต้องปวดใจแน่ๆ!”

ในช่วงที่เธอนอนหมดสติ ไกรวิทย์ก็กินไม่ได้นอนไม่หลับ เห็นเธอที่นอนไม่ฟื้นสักที เขาก็รู้สึกชีวิตของเขานั้นว่างเปล่าไปกว่าครึ่ง

“อายุก็ปูนนี้แล้ว ทำไมยังชอบพูดอะไรที่มันน่าขนลุกแบบนี้อีก” หัวหน้ามัทนาควบคุมลมหายใจของตัวเองให้สงบ เธอแค่รู้สึกผิดหวังเล็กน้อยก็เท่านั้น

แม่ยายป่วยหนัก นอนอยู่บนเตียงมานานกว่าหนึ่งปี แต่ในฐานะลูกเขย ไม่เคยไปเยี่ยมเธอเลยแม้แต่ครั้งเดียว ลูกสาวยังมาพูดแก้ต่างให้ลูกเขยอีก จะไม่ให้เศร้าเสียใจได้ยังไง ?

หลายปีมานี้ สิงหาก็ดูจะแย่ลงขึ้นทุกวัน……

……

บรรยากาศในรถก็ดูจะยิ่งอุดอู้ ไม่มีใครพูดอะไร ซารางหันซ้าย แล้วหันขวา รู้สึกเพียงอึดอัดมาก

ทำไมหม่ามี๊กับคุณอานิสัยไม่ดีถึงไม่คุยกันเลย ?

“หม่ามี๊ ทำไมไม่คุยกับคุณอาเลย ? ”

เมื่อได้ยินดังนั้น ออกัสก็หันมา แล้วมองไปยังเชอร์รีน จ้องเธอเขม็ง

เชอร์รีนราวกับไม่ได้สังเกตเห็นการมองมาของเขา หยิบนมเปรี้ยวในกระเป๋าออกมาขวดหนึ่ง จากนั้นก็หยิบหลอดออกมาแล้วเสียบลงไป ยื่นให้ซาราง“เพราะหม่ามี๊ไม่มีอะไรจะคุยกับคุณอาเขา”

กัดหลอดดูด ซารางก็พยักหน้าให้เหมือนคิดอะไรอยู่“ถ้าอย่างนั้นหนูรู้แล้ว หม่ามี๊ต้องเกลียดคุณอาแน่ๆ !”

“เพราะอะไร ? ” คนที่ทักท้วงขึ้นมาคือออกัส

“เพราะเวลาที่หม่ามี๊อยู่กับคุณอาองค์ชาย และคุณอาสุดหล่อไม่เคยเป็นแบบนี้เลย ทั้งพูดคุย และหัวเราะกัน แต่ตอนอยู่กับคุณอา ไม่พูดเลยสักคำ ต้องเกลียดคุณอาแน่ๆ !”

เธอพยักหน้า และหาข้อสรุปด้วยตัวเอง อืม เธอเองก็ไม่ค่อยชอบคุณอาใจร้ายคนนี้สักเท่าไร เหมือนหม่ามี๊เลย!

เวลาเขาโกรธ ก็มักจะเสียงดังใส่เธอ เธอเองก็รู้สึกกลัวคุณอาใจร้ายคนนี้อยู่บ้างเล็กน้อย หม่ามี๊ คุณอาองค์ชาย คุณอาสุดหล่อ ไม่เคยเสียงดังใส่เธอเลย!

ใบหน้าของออกัสแข็งทื่อ พอดีกับ มาถึงยังที่หมาย รถหยุดลง เสียงคนขับดังขึ้นจากที่นั่งด้านหน้า“ ท่านประธานครับ ถึงแล้วครับ”

“นี่คิดว่าฉันไม่มีตา จนมองไม่เห็นหรือไง ?”เขาเอาความโกรธทั้งหมดไปลงกับคนขับที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่อะไร

เมื่อได้ยินดังนั้น คนขับก็เงียบเสียงในทันที และไม่ได้พูดอะไร

มือใหญ่เปิดประตูรถออก ออกัสลงจากรถด้วยความโกรธที่อธิบายไม่ถูก ได้ยินแค่เสียงปัง เสียงปิดกระแทกของประตู

ร่างเล็กของซารางอดไม่ได้ที่จะหดตัวลงในอ้อมแขนของเชอร์รีน“ หม่ามี๊ คุณอาดุจังเลย !”

หากไม่อยากมา เขาไม่จำเป็นต้องมาก็ได้ ไม่มีใครบังคับเขา ไม่ใช่เหรอ ?

ดังนั้น ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องมาบ้าอยู่ที่นี่ !

เธอขมวดคิ้ว แล้วอุ้มซาราง ลงจากรถตามไป นึกว่าเขาไปแล้ว พอเงยหน้าขึ้น ก็เห็นเขาทำหน้าบึ้งตึงอยู่ ยืนอยู่ไม่ไกล ราวกับว่า……กำลังรอเธอกับซารางอยู่……

“หม่ามี๊ หอมจังเลย ที่นี่ที่ไหนคะ ?” ซารางเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น ดวงตากลมโตมองไปรอบๆบริเวณ

“หม่ามี๊ก็ไม่เคยมา เข้าไปแล้ว หนูก็รู้เอง ช่างเป็นเด็กที่ขี้สงสัยจริงๆ!”เธอเคาะไปที่จมูกเล็กๆของเด็กน้อย

เมื่อเธอเดินเข้ามาใกล้ และทั้งสองก็อยู่ขนาบข้างๆกันขาเรียวยาวของออกัส ก็ถึงได้ก้าวเดิน

เดินผ่านประตูไป มองดูวิวอันน่าทึ่งที่อยู่ตรงหน้า ซารางก็ร้องว้าวออกมาเสียงดัง ดวงตาเป็นประกายราวกับจะเรืองแสงได้ ร่างทั้งร่างก็กระโดดโลดเต้นไปมาด้วยความตื่นเต้น“หม่ามี๊!มีองุ่นเต็มไปหมดเลย !”

เชอร์รีนก็อึ้งไปด้วยเล็กน้อย ไม่คิดว่า สถานที่ที่เขาพามาจะเป็นไร่องุ่น

ทอดสายตามองไป โครงไม้เลื้อยที่เป็นระเบียบขององุ่น ใบองุ่นแผ่ปกคลุมไปทั่วทุกสารทิศ สุดลูกหูลูกตา

ใบองุ่นมีสีเขียวขจี ภายใต้แสงแดด ก็ดูจะยิ่งสีเข้มมากขึ้น มีลมเย็นพัดผ่าน ใบไม้ก็ปลิวไสว พวงองุ่นย้อยลงมาอยู่กลางอากาศ ฉ่ำน้ำและแวววาว

ลมที่พัดผ่านก็มีกลิ่นองุ่นลอยตลบอวบอวลไปด้วย บวกกับกลิ่นของหญ้าอ่อนๆ หอมหวนรัญจวนมาก

เมื่อหันไปดู เธอก็เห็นร่างโปร่งของชายหนุ่มเดินไปยังเพิงข้างๆ ที่ตรงนั้นมีชายวัยกลางคนนั่งอยู่

เขาหยิบเงินในกระเป๋าออกมาห้าสิบหยวนแล้วยื่นให้ชายวัยกลางคนคนนั้น มือใหญ่ก็หยิบตะกร้าจากทางด้านข้างมาสามใบ ตะกร้าใบใหญ่สองใบและใบเล็กอีกหนึ่งใบ

ซารางไม่สามารถกักเก็บความตื่นเต้นดีใจได้อีกต่อไป ร่างเล็กๆดิ้นขลุกขลักไปมาในอ้อมแขนของเธอ อยากที่จะลงพื้น

เชอร์รีนโน้มตัวลง แล้ววางเธอลงบนพื้น มองดูป้ายโฆษณา ตั๋วผู้ใหญ่ยี่สิบหยวน และตั๋วเด็กครึ่งราคา

หากจะกินองุ่นด้วย เรียกเก็บอีกต่างหาก และหากเอาองุ่นกลับ คิดตามน้ำหนัก องุ่นเล็กหกหยวนต่อกิโล และองุ่นใหญ่สิบสองหยวนต่อกิโล

ค่าใช้จ่ายค่อนข้างสมเหตุสมผล นอกจากนี้ องุ่นที่นี่ก็สดมาก อีกอย่าง ยังให้เด็กได้สัมผัสกับประสบการณ์จริงและความสุขในการเก็บผลองุ่นอีกด้วย โชคสามต่อ ก็ถือว่าไม่เลวเหมือนกัน

ซารางวิ่งไปแล้ว หยิบตะกร้าสีชมพูใบเล็กจากมือของออกัส ใบหน้าที่ยิ้มแย้มยังคงสดใสยิ้มไม่หุบ“คุณอาสุดยอด!”

เมื่อได้ยินดังนี้ ใบหน้าที่มืดมนของออกัสก็เบาบางลง เดินเข้าไป แล้วยื่นตะกร้าอีกใบให้เชอร์รีน

ไม่มองหน้าเขา สายตาเธอมองไปยังด้านข้าง แล้วรับตะกร้านั้นมา