ภาคที่ 4 ตอนที่ 52 ถามไม่ถามล้วนร้อนใจ

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

เที่ยงวันในห้องทำงานของหวงเฉิงครึกครื้นอยู่บ้าง 

 

 

ประตูถูกผลักเปิด มีขุนนางหลายคนรีบร้อนก้าวเข้ามา พาลมสดชื่อหอบหนึ่งมาทำลายบรรยากาศชะงักนิ่งในห้อง แล้วก็ทำให้หวงเฉิงที่คล้ายสะลึมสะลือหลับอยู่หน้าโต๊ะลืมตาขึ้นด้วย 

 

 

“ใต้เท้า หนังสือกราบทูลขอความชอบทางทหารของเฉิงกั๋วกงมาถึงแล้วขอรับ” พวกเขาเอ่ย 

 

 

หวงเฉิงห็นสาส์นหนาปึกหลายเล่มที่ส่งมาก็ยิ้ม 

 

 

“เฉิงกั๋วกงผู้นี้ตะกละไม่น้อยเลย เขียนฎีกากราบทูลมากปานนี้ นี่จะเอาความดีความชอบเท่าไรกัน” เขาเอ่ย 

 

 

“นี่เป็นเพียงส่วนเดียวเท่านั้นขอรับ” ขุนนางคนหนึ่งเอ่ย สีหน้าไม่พอใจเช่นกัน “กรมกลาโหมด้านนั้นยังมีอีก” 

 

 

หวงเฉิงยิ้มไม่พูดไม่จา ยื่นมือรับสาส์นไปพลิกอ่าน 

 

 

“กองทหารชิงซานนี่กลายเป็นทหารจริงๆ แล้วสินะ” เขามองดูสาส์นแล้วเอ่ยขึ้น 

 

 

“อาศัยอาวุธวิเศษอาวุธร้ายกาจเหล่านั้น เฉิงกั๋วกงย่อมไม่มีทางปล่อยมือ” ขุนนางคนหนึ่งเอ่ย “แทนที่จะเลี้ยงดูเป็นทหารส่วนตัว ไม่สู้รับเข้าสังกัดกองทัพ เช่นนั้นถึงขยายกำลังได้อย่างสง่างาม” 

 

 

เฉิงกั๋วกงขยายกำลัง สำหรับพวกเขาแล้วไม่ใช่เรื่องที่อยากเห็น 

 

 

“ใต้เท้า หนังสือร้องเรียนนี่จะส่งไปไหมขอรับ” ขุนนางอีกคนหนึ่งเอ่ยถามเสียงเบา 

 

 

หวงเฉิงยิ้ม โยนสาส์นในมือทิ้งลงบนโต๊ะ 

 

 

“ส่ง” เขาเอ่ย “พวกนี้ข้าก็ไม่ดูแล้ว เขาต้องการอะไรก็ถวายให้เขาไป ตอนอยู่ในที่ประชุมอ่านประกาศต่อหน้าทุกคน” 

 

 

ตอนประชุมใหญ่หรือ? 

 

 

หวงเฉิงคิดอะไรได้อีก พิงหมอนอิงยื่นมือชี้บนโต๊ะ 

 

 

“นี่ยังครึกครื้นไม่พอ พวกเจ้าก็เอาตามด้วย คนที่มาช่วยฝ่าบาท คนที่มาช่วยเหลือ คนที่เพราะชาวจินรุกเข้าดินแดนจึงเฝ้าระวัง ทุกคนล้วนมีความดีความชอบ ล้วนจะเอา ล้วนจะแย่ง” 

 

 

พูดพลางสะบัดแขนเสื้อหัวเราะหยัน 

 

 

“ให้ทุกคนล้วนเห็นว่าการทำสงครามนี้เงินทองมากมายจ่ายง่าย ความดีความชอบในการศึกทำให้ความตะกละของคนกลายเป็นมากมาย” 

 

 

คนทั้งหลายที่นั่งอยู่เข้าใจแล้ว ล้วนพยักหน้า 

 

 

“ไม่ผิด ให้ทุกคนได้เห็นว่าเฉิงกั๋วกงเขาเหิมเกริมมากปานใด” 

 

 

“อีกอย่าง นี่เรียกความดีความชอบอันใด ขัดพระบัญชาชัดๆ เสียทหารไปมากปานนั้นกว่าจะช่วยเขากลับมาได้ เขาภาคภูมิใจอะไร?” 

 

 

“เขาเป็นเช่นนี้ก็จะเอาปูนบำเหน็จ มณฑลซานซีซานตงเจ้อเจียงย่อมขอปูนบำเหน็จได้เหมือนกัน ให้ทุกคนดูเขาทำเช่นนี้ทำให้การปกครองกองทัพวุ่นวายเป็นสภาพอย่างไร” 

 

 

“ฝ่าบาททรงพระเมตตา แม้ชิงชังที่เขาทำลายชาติทำร้ายประชาชน แต่ยังคงดีพระทัยอย่างยิ่งที่เขารอดชีวิตกลับมา ไม่เสียดายพระราชทานรางวัลไม่อั้น นี่คือพระกรุณาธิคุณของฝ่าบาท ไม่ใช่สิ่งที่เขาเฉิงกั๋วกงสมควรได้รับ” 

 

 

“ให้เขา ให้เขาให้หมด ให้ประชาชนทั้งหลายเห็นว่าฝ่าบาทดีต่อขุนนางมากเพียงไร ให้ทุกคนเห็นว่าเฉิงกั๋วกงจองหองไร้มารยาทอย่างไร” 

 

 

ได้ยินบรรดาผู้ใต้บังคับบัญชาวิพากษ์วิจารณ์ หวงเฉิงก็หลับตาลงอีกครั้ง นิ้วมือเคาะผิวโต๊ะมุมปากยิ้มจางๆ 

 

 

วันนี้เจ้ายิ่งทำตัวรื่นเริง ยิ่งป่ายปีนขึ้นสูง วันหน้าล้มลงยิ่งอนาถ 

 

 

เฉิงกั๋วกง เข้าเมืองหลวงครั้งนี้จักให้เจ้ามาอย่างมีหน้ามีตา แล้วตายอย่างมีหน้ามีตา 

 

 

หวงเฉิงฉับพลันลืมตา แววตาไม่ขุ่นมัวสักนิด ฉายแววเย็นเยียบ ทำให้หลายคนที่วิพากษ์วิจารณ์อยู่ตัวสั่นเงียบเสียงลง 

 

 

“ลงมือเร็วหน่อย อย่าให้จูซานคนนี้อ้างการถกเถียงเรื่องความชอบทางทหารไม่เข้าเมืองหลวง” เขาเอ่ยเสียงเข้ม 

 

 

ขุนนางหลายคนรีบทำหน้าขึงขังขานรับ 

 

 

พร้อมกับที่ทูตชุดแรกนำราชโองการเรียกเฉิงกั๋วกงเข้าเมืองหลวงของฮ่องเต้ออกจากเมืองหลวง ข่าวเฉิงกั๋วกงกำลังจะกลับเมืองหลวงรับพระราชทางรางวัลก็แพร่กระจายประหนึ่งสายลมเช่นกัน 

 

 

เฉิงกั๋วกงไม่ได้กลับเมืองหลวงมาตั้งเกือบสิบปีแล้ว ครั้งนั้นองค์รัชทายาทสวรรคต เขาก็เพียงสวมชุดไว้ทุกข์คารวะส่งจากแดนไกลอยู่ที่แดนเหนือ 

 

 

ผนวกกับสงครามแดนเหนือครั้งนี้ หากเฉิงกั๋วกงตายปุบจะส่งผลกระทบกับประชาชนทั้งหลาย ทุกคนจึงล้วนกระตือรือร้นตื่นเต้นอยากเห็นเฉิงกั๋วกงผู้ชื่อเสียงเลื่องลือคนนี้ 

 

 

ทั้งเมืองหลวงคึกคักขึ้นมาและในเวลาเดียวกันนี้สาส์นและข่าวด่วนนานาชนิดก็ไปมาประหนึ่งบิน 

 

 

ตรงหน้าฟางเฉิงอวี่วางจดหมายและสมุดบัญชีไว้เต็มไปหมด คล้ายไม่ทันได้เก็บแลคร้านจะเก็บ ปล่อยให้เละเทะกองไว้ ยังมีบางส่วนร่วงกระจายอยู่ข้างเท้าอีก 

 

 

เวลานี้มือเขายังกำพู่กันอยากเขียนอะไรอยู่ มือหนึ่งก็รับจดหมายที่ผู้ดูแลใหญ่เกาเพิ่งแกะส่งมา 

 

 

“…นี่เพิ่งส่งมาจากติ้งโจวขอรับ หลังจากนี้น่าจะยังมีอีก…” ผู้ดูแลใหญ่เกาเอ่ยขึ้น 

 

 

เสียงยังไม่ทันจบก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้น มีคนเดินเข้ามา 

 

 

คนที่เข้าออกห้องหนังสือของฟางเฉิงอวี่โดยไม่ต้องแจ้งได้ ตระกูลฟางแห่งนี้มีเพียงสองคน 

 

 

ผู้ดูแลใหญ่เกาไม่แม้แต่เงยหน้าขึ้น ค้อมกายคำนับทันที 

 

 

“นายหญิง” เขาเอ่ยเรียก 

 

 

กำไลหยกกระทบกันเบาๆ ชายกระโปรงปลิวพลิ้ว นายหญิงใหญ่ฟางเดินตรงผ่านข้างร่างเขาไป หยุดยืนหน้าโต๊ะของฟางเฉิงอวี่ 

 

 

“ท่านแม่…” ฟางเฉิงอวี่เงยศีรษะอมยิ้ม 

 

 

กำลังจะอ้าปาก นายหญิงใหญ่ฟางก็ยื่นมือดึงจดหมายในมือเขาไปแล้ว สีหน้าเย็นเยียบไม่พูดสักคำก้มหน้าอ่านจดหมาย 

 

 

ฟางเฉิงอวี่ก็ไม่รีบร้อน 

 

 

“ท่านแม่ นั่งลงอ่านเถอะขอรับ” เขาเอ่ย 

 

 

ผู้ดูแลใหญ่เกาด้านนี้ย้ายเก้าอี้กลมตัวหนึ่งมาแล้ว 

 

 

“นายหญิง” เขาเอ่ยเชิญ 

 

 

นายหญิงใหญ่ฟางยืนไม่ขยับและไม่สนใจ เพียงอ่านจดหมายในมือ 

 

 

ฟางเฉิงอวี่พยักหน้าให้ผู้ดูแลใหญ่เกา ผู้ดูแลใหญ่เกาถอยหลังนั่งลงใหม่อีกครั้ง ในห้องตกสู่ความเงียบพักหนึ่ง 

 

 

จนกระทั่งเสียงฟึบดังขึ้น นายหญิงใหญ่ฟางเก็บจดหมายในมือ ตบลงบนโต๊ะหนักหน่วงพลางมองฟางเฉิงอวี่ 

 

 

ฟางเฉิงอวี่มองนางแล้วหัวเราะคิกคัก 

 

 

“จำนำไข่มุกไปกี่เม็ดแล้วเล่า?” นายหญิงใหญ่ฟางเอ่ยพลางยื่นมือลูบปิ่นที่ปักอยู่บนศีรษะของเขา 

 

 

ฟางเฉิงอวี่ชอบไข่มุก ที่ใช้ทำเครื่องประดับล้วนเป็นไข่มุกชั้นดีหายากที่หนึ่งของที่หนึ่ง 

 

 

“ท่านแม่” ฟางเฉิงอวี่หัวเราะฮ่าฮ่า “ถึงขั้นต้องจำนำแบบนั้นเสียที่ไหนเล่า?” 

 

 

นายหญิงใหญ่ฟางรอยยิ้มสักนิดก็ไม่มี ขานอ้อทีหนึ่ง 

 

 

“ยังไม่ถึงรึ? ตอนนี้ข้าเพิ่งเห็นในบ้านโล่งไปครึ่งหนึ่งแล้ว เจ้าก็ยังไม่บอกข้า ข้ากับท่านย่าของเจ้ายังกินดื่มสำราญสวมทองสวมเงิน รอในบ้านไม่มีเงินสิ้นแล้ว ขนไปเกลี้ยงแล้ว เจ้าต้องบอกพวกเราด้วยล่ะ พวกเราจะได้เอาทองไปจำนำ ถอดแพรไหม เปลี่ยนเป็นเสื้อป่านขาดๆ ถือท่อนไม้ไผ่ชามแตกไปขอทานหากิน” นางเอ่ย 

 

 

ได้ฟังถ้อยคำแอบเสียดสีท่อนนี้ของนายหญิงใหญ่ฟาง ผู้ดูแลใหญ่เกาที่อยู่ด้านหลังก็ยิ่งก้มศีรษะต่ำ ตามหลักแล้วเมื่อครู่เขาควรถอยออกไปแล้ว 

 

 

ฟางเฉิงอวี่หัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว 

 

 

“ท่านแม่ ท่านดูละครไม่น้อยจริงๆ บทพูดนี่พูดได้ดีจริงๆ” เขาเอ่ย 

 

 

นายหญิงใหญ่ฟางสายตาเย็นชามองเขา 

 

 

“อย่ามาทำหน้าระรื่นกับข้า ข้าไม่ใช่เจ้า ผู้อื่นยิ้มทีเดียว เจ้าก็ล่มบ้านล่มเมืองได้” นางเอ่ย 

 

 

ฟางเฉิงอวี่หุบรอยยิ้ม สีหน้าจริงจังขานรับ 

 

 

“ข้าในฐานะลูกสะใภ้ตระกูลฟาง ถามสักหน่อยได้หรือไม่ว่าเงินตระกูลข้าที่แท้ใช้จ่ายไปที่ใดแล้ว?” นายหญิงใหญ่ฟางเอ่ยขึ้น ยื่นมือชี้จดหมายบนโต๊ะ “ดูท่าคุณหนูจวินจะจัดการเรื่องเสร็จแล้ว กำลังจะกลับมาแล้ว ข้าคนนี้ถามสักหน่อย คงไม่ทำให้นางเสียเวลาแล้วกระมัง?” 

 

 

ฟางเฉิงอวี่พยักหน้า 

 

 

“ท่านแม่”เขาเอ่ย “ที่แดนเหนือนางทำการค้าสองครั้ง ใช้เงินไปเล็กน้อย” 

 

 

“การค้ารึ?” นายหญิงใหญ่ฟางสีหน้าเย็นชาเอ่ยถาม “การค้าที่ใช้ทรัพย์สมบัติครึ่งตระกูลของตระกูลฟางเรา การค้าครั้งนี้คงไม่เล็ก ไม่ทราบว่าได้กำไรอย่างไร?” 

 

 

“มีกำไร มีกำไรขอรับ” ผู้ดูแลใหญ่เกาที่อยู่ด้านข้างรีบเงยศีรษะเอ่ย คว้าสมุดบัญชีเล่มหนึ่งจากสมุดบัญชีที่ร่วงกระจายอยู่บนพื้นออกมา “เงินเพิ่งมาถึง” 

 

 

นายหญิงใหญ่ฟางเหล่ตามองเขา 

 

 

“สี่สิบหมื่นตำลึงขอรับ” ผู้ดูแลใหญ่เกาเอ่ยขึ้น 

 

 

นายหญิงใหญ่ฟางร้องฮ่ะทีหนึ่ง 

 

 

“สี่สิบหมื่นตำลึง! เงินมากนักเชียว!” นางว่า 

 

 

คำพดนี้ฟังคล้ายตื่นเต้นยินดี แต่สีหน้านายหญิงใหญ่ฟางไม่ตื่นเต้นยินดีสักนิด 

 

 

นอกจากนี้สี่สิบหมื่นตำลึงสำหรับนายหญิงใหญ่ฟางแล้วไม่มีสิ่งใดให้ตกใจ 

 

 

ผู้ดูแลใหญ่เกาหัวเราะเฝื่อนๆ สองทีก้มศีรษะลง 

 

 

“ท่านแม่ ค่อยเป็นค่อยไปนะขอรับ ทำการค้าไหมเล่า อย่างไรก็…” ฟางเฉิงอวี่เอ่ย 

 

 

คำพูดของเขาเอ่ยไม่ทันจบก็ถูกนายหญิงใหญ่ฟางขัดแล้ว 

 

 

“ทำชุดเกราะ ซื้ออาวุธ ช่วยชาวบ้านผู้ลี้ภัยหลายสิบหมื่น เลี้ยงทหารส่วนตัว คุมทหารไปเขตชาวจินสังหารศัตรู” นางมองฟางเฉิงอวี่ กดเสียงลงเอ่ยทีละคำ “ฟางเฉิงอวี่ การค้านี่ของนางจะค้ำฟ้าหรือไง?”  

 

 

ค้ำฟ้านี่ เข้าใจว่าทำการค้าใหญ่มากจนแตะขอบฟ้าก็ได้ แล้วก็เข้าใจว่าฟ้านี่หมายถึงโอรสสวรรค์ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นค้ำคำนี้… 

 

 

“…นางจะแทนที่ฮ่องเต้…” นายหญิงใหญ่ฟางเอ่ยต่อ 

 

 

คำพูดนี้ยังเอ่ยไม่ทันจบ ผู้ดูแลใหญ่เกากับฟางเฉิงอวี่ล้วนทะลึ่งลุกขึ้นมา 

 

 

“ชู่ชู่ชู่ชู่” พวกเขาต่างปากเป็นเสียงเดียวสีหน้าตระหนกตะโกน ล้อมนายหญิงใหญ่ฟาง “คำนี้พูดไม่ได้ คำนี้พูดไม่ได้นะขอรับ”