บทที่ 605 : โศกนาฏกรรมตระกูลหลิง!

Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร

บทที่ 605 : โศกนาฏกรรมตระกูลหลิง!

“ที่แท้ซากไม้ตายที่เป็นมรดกตกทอดของตระกูลหลิงก็เป็นต้นหลิวนี่เอง..” หลิงหยุนพึมพำออกมาพร้อมกับมองเหล่ากุ่ยที่มีสีหน้าตกใจยิ้มๆ

หลิงหยุนอาศัยโอกาสที่สมุดจักรพรรดิปลดปล่อยพลังอมตะออกมา ประกอบกับมีต้นหลิวเทวะในมือฝึกวิชาพฤกษาขจี และทำให้เขาสามารถเข้าสู่ระดับสูงสุดของขั้นปรับร่างกาย-8 ได้ อีกทั้งจิตหยั่งรู้ของเขาก็ขยายขอบเขตไปได้ไกลถึงสามสิบห้าเมตร

วิชาพฤกษาขจีนี้เป็นวิชาที่หลิงหยุนเองก็ไม่เคยได้ฝึกฝนมาก่อน วิชานี้จะมีทั้งหมดสิบขั้นใหญ่ และแต่ละขั้นใหญ่นั้นมีเก้าระดับย่อย และเพียงแค่การฝึกครั้งแรก หลิงหยุนก็สามารถเข้าสู่ระดับเก้าของขั้นที่สี่ได้แล้ว

‘รวดเร็วถึงเพียงนี้เชียวรึ?! เพียงแค่ชั่วระยะเวลาสั้นๆ ข้าสามารถฝึกได้ถึงระดับสามสิบหกเชียวหรือนี่?’

ความลับอีกข้อของวิชาพฤกษาขจีนั้นก็คือสามารถใช้วิชานี้ในการเร่งหรือลดการเจริญเติบโตของพืชพันธุ์ได้

เหล่ากุ่ยที่กำลังยืนตกใจนั้นถึงกับร้องถามออกมาเสียงดัง “นายน้อย.. ท่านทำได้อย่างไร? เหตุใดห้องทั้งห้องจึงมีพลังสีทองที่แข็งแกร่งอยู่เต็มไปหมด?”

ตลอดระยะเวลาสิบแปดปีมานี้ ตระกูลหลิงเฝ้าใช้โลหิตรดต่างน้ำ และถ่ายเทพลังเสวียนหวงให้กับซากไม้ท่อนนี้ แต่กลับสามารถทำให้มันออกดอกตูมเล็กๆได้เพียงดอกเดียวเท่านั้น

แต่ตอนนี้.. เพียงแค่ซากไม้ได้อยู่ในมือของหลิงหยุนเพียงครู่เดียว มันกลับเปลี่ยนเป็นสีเขียวมรกต  และเริ่มแตกดอกออกใบ อีกทั้งยังปลดปล่อยพลังชีวิตออกมาเต็มไปหมด เหล่ากุ่ยสามารถสัมผัสถึงพลังเหล่านั้นได้ มีหรือที่เขาจะไม่ตกใจ?!

“พลังสีเหลืองทองนั้นเป็นพลังชี่ที่เกิดขึ้นเสมอในยามที่ข้าฝึก มันเป็นเรื่องปกติของข้า! เพียงแต่ข้าเองก็ไม่สามารถนำมันไปใช้ได้ดังเช่นพลังชี่ทั่วไป..”

หลิงหยุนโบกต้นหลิวเทวะในมือไปมาพร้อมกับหัวเราะเสียงดัง “นี่ก็ไม่ธรรมดาเลย.. ดูสิมันเปลี่ยนเป็นสีเขียวเปล่งประกายระยับระยับ!”

“เหล่ากุ่ย..  ท่านนั่งลงก่อน..”

หลิงหยุนนั่งลงที่เดิมพร้อมกับรินชาดื่ม แม้ว่าชาจะเย็นชืด แต่หลิงหยุนก็ไม่สนใจ

เหล่ากุ่ยกำลังจะนั่งลง แต่เมื่อเห็นผ้าแพรไหมดำถูกหลิงหยุนตัดขาด เขาก็ถึงกับทรุดลงกับพื้นทันที

“นี่นายน้อย.. ผ้าแพรไหมดำผืนนี้  ท่านใช้อะไรตัด?”

หลังจากที่พบว่าผ้าแพรไหมดำถูกตัดขาด เหล่ากุ่ยก็อดคิดไม่ได้ว่านายน้อยของเขานั้นเป็นเซียนหรืออย่างไร?!

“ข้าก็ใช้ของวิเศษที่บอกใครไม่ได้ตัดน่ะสิ..” หลิงหยุนไม่สามารถบอกความลับเรื่องพู่กันจักรพรรดิให้ใครล่วงรู้ได้อย่างแน่นอน

เหล่ากุ่ยถึงกับตกใจ  “นายน้อย.. ท่านช่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก! ข้าเกรงว่านายน้อยจะไม่สามารถตัดมันขาดได้ จึงได้เตรียมผงสำหรับใช้ตัดผ้าแพรไหมผืนนี้มาให้ท่านด้วย คิดไม่ถึงว่าท่านกลับมีของวิเศษที่ใช้ตัดได้..”

หลิงหยุนถามขึ้นอย่างงุนงง.. “ยา.. ยาอะไรกัน?”

จากนั้นเหล่ากุ่ยก็ได้อธิบบายวิธีการตัดผ้าแพรสีดำให้หลิงหยุนฟัง..

เมื่อได้ฟังคำบอกเล่าของเหล่ากุ่ย หลิงหยุนได้แต่แอบคิดว่าเหล่ากุ่ยน่าจะบอกเขาเร็วกว่านี้ ปล่อยให้เขายุ่งยากอยู่ได้ตั้งนาน

“อ่อ.. ที่แท้ก็มีวิธีตัดแบบนี้นี่เอง..” หลิงหยุนร้องอุทานออกมาพร้อมกับวางแก้วชาลบนโต๊ะ

เหล่ากุ่ยจ้องหน้าหลิงหยุนพร้อมกับพูดขึ้นว่า  “นายน้อย.. ท่านอย่าได้วางของพวกนี้ไว้ข้างนอกแบบนี้เลย รีบเก็บมันเข้าไปเถิด! ข้ารู้ว่าท่านมีพื้นที่บางอย่างไว้ใช้สำหรับเก็บของ..”

หลิงหยุนพยักหน้าและไม่คิดที่จะปิดบังเหล่ากุ่ย เขายกมือซ้ายขึ้น และจัดการเรียกของทั้งหมดที่เหล่ากุ่ยมอบให้เป็นของขวัญเข้าไปเก็บไว้ในแหวนพื้นที่ รวมทั้งต้นหลิวเทวะด้วย

“เหล่ากุ่ย.. ในเมื่อข้าเองก็รู้แล้วว่าข้าเป็นทายาทตระกูลหลิง  และข้าก็ยอมรับฐานะใหม่ของตนเอง ตอนนี้ท่านจะเล่าเรื่องทุกอย่างให้ข้าฟังได้หรือยัง?”

หลังจากที่หลิงหยุนจัดการกวาดของบนโต๊ะเก็บเข้าไปจนหมดแล้ว ในที่สุดเขาก็เงยหน้าขึ้นมองเหล่ากุ่ย และขอให้เล่ากุ่ยเล่าเรื่องทั้งหมดให้เขาฟัง

เหล่ากุ่ยนิ่งเงียบไม่พูดอะไร แต่กลับลุกขึ้นจัดการรินน้ำร้อนใส่กาน้ำชา แล้วนั่งลงพร้อมกับครุ่นคิดอยู่นานก่อนจะพูดขึ้นว่า

“นายน้อย.. เรื่องนี้ค่อนข้างซับซ้อน และน่าเศร้าใจนัก! ข้าคิดว่าควรรอให้ท่านกลับเข้าตระกูลเสียก่อน แล้วจึงให้นายผู้เฒ่าเป็นผู้เล่าเรื่องทั้งหมดให้ท่านฟังด้วยตนเองจะดีกว่า..”

หลิงหยุนเพียงแค่ยิ้มเล็กน้อย และพยักหน้าอย่างเข้าใจ แต่ก็ตอบเหล่ากุ่ยกลับไปว่า

“เหล่ากุ่ย..  หลายวันที่เราสองคนได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกัน ท่านเองก็รักใคร่เอ็นดูข้าไม่ต่างจากลูกหลานคนหนึ่ง ตอนนี้ข้าเองก็ได้รู้ฐานะที่แท้จริงของตนเองแล้ว สมควรอย่างยิ่งที่ข้าควรต้องรู้เรื่องราวภายในตระกูลของตนเอง ใครจะเป็นคนเล่าก็คงไม่สำคัญนักไม่ใช่หรือ?”

เหล่ากุ่ยยังคงมีท่าทางอึดอัดพร้อมกับถอนหายใจออกมา “นายน้อย.. ความจิรงที่ข้ากังวลและไม่กล้าบอกกับท่านในเวลานี้ เพราะเกรงว่าจะส่งกระทบต่อการสอบเอนทรานซ์ของท่าน และอาจส่งผลกระทบต่อการฝึกฝนของตัวท่านเองด้วย หากเป็นเช่นนั้น.. ไม่เท่ากับว่าชายแก่อย่างข้าได้ทำเรื่องผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงรึ?!”

หลิงหยุนยิ้มอย่างมั่นใจ  “เหล่ากุ่ย.. ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสอบเอนทรานซ์หรือการฝึกฝนของข้า ล้วนไม่มีเรื่องอะไรที่ทำให้ข้าสั่นคลอนได้! ข้าแค่ต้องการรู้ความจริงก่อนที่จะต้องไปเผชิญหน้ากับทุกคน..”

เหล่ากุ่ยไม่มีทางเลือก จึงได้แต่พูดขึ้นว่า “นายน้อย..  ท่านอยากรู้จริงๆหรือ?”

หลิงหยุนพยักหน้าจริงจัง..

เหล่ากุ่ยกัดฟันพร้อมกับพยักหน้าอย่างแรง “ได้! ในเมื่อนายน้อยอยากจะรู้  ข้าก็จะเล่าให้ท่านฟัง ให้ท่านได้รู้เรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับตระกูลหลิง ส่วนรายละเอียดลึกๆ ไว้กลับไปเมืองหลวงเมื่อไหร่ ท่านก็ค่อยไปสอบถามจากนายผู้เฒ่าอีกครั้ง!”

“ตกลง..!” หลิงหยุนพยักหน้าเห็นด้วย

“ความจริงแล้ว.. ตอนนี้ตระกูลหลิงของเราถูกซุ่มโจมตีจากแทบทุกด้าน และกำลังตกอยู่ในอันตรายอย่างมาก”

“แม้คำว่า ‘เจ็ดตระกูลใหญ่อันดับหนึ่ง’ จะฟังดูน่าเกรงขาม แต่ความจริงแล้วตระกูลหลิงของเรานั้น.. หากพูดถึงความแข็งแกร่ง ไม่เพียงอยู่ในอันดับท้าย แต่ไม่แน่ว่าตระกูลอันดับสองหรืออันดับสามอาจจะเหนือกว่าตระกูลหลิงก็เป็นได้..”

หลิงหยุนได้ฟังถึงกับแอบคิดอยู่ในใจเงียบๆ ‘ตระกูลหลิงอยู่ในจุดที่น่าสังเวชถึงเพียงนี้เชียวรึ?’

“เงินจำนวนห้าร้อยล้านดอลล่าที่ข้านำมามอบให้กับท่านนั้น ความจริงแล้วจะเรียกว่าเป็นเงินก้อนสุดท้ายของตระกูลหลิงก็ย่อมได้! เพราะนอกเหนือจากเงินก้อนนี้แล้ว ธุรกิจที่ทำรายได้ให้กับตระกูลหลิงรวมทั้งเงินสดในธนาคาร รวมๆกันแล้วก็ไม่เกินสองร้อยล้านดอลล่า!”

หลิงหยุนได้ฟังถึงกับตกใจ ‘อะไรกัน? ตระกูลหลิงเป็นถึงหนึ่งในเจ็ดตระกูลใหญ่ของเมืองหลวง แต่กลับมีทรัพย์สินและเงินสดรวมกันเพียงแค่สองร้อยล้านดอลล่า หากคิดเป็นเงินหยวนก็ยังไม่ถึงสองพันล้าน นี่ยังมีไม่ถึงครึ่งของตระกูลเฉิงด้วยซ้ำ!?”

“เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?!”  หลิงหยุนถามออกมาอย่างตกใจ

เหล่ากุ่ยยิ้มอึดอัดก่อนจะเล่าต่อว่า  “ตลอดระยะเวลาสิบแปดปีมานี้  ตระกูลหลิงแทบไม่มีรายได้เข้ามาเลย ธุรกิจต่างๆ ที่เคยอยู่ในการดูแลของตระกูลหลิง ก็ถูกตระกูลอันดับหนึ่งตระกูลอื่นแย่งชิงไป และแม้แต่ตระกูลอันดับสองยังมาแก่งแย่งกับตระกูลหลิง.. เรียกได้ว่าตลอดเวลามานี้ตระกูลหลิงอาศัยเงินเก่ามาตลอด..”

“หากไม่ใช่เพราะตระกูลหลิงยังเหลือยอดฝีมือขั้นเซียงเทียนอยู่ถึงสามคน ตอนนี้ตระกูลหลิงก็คงต้องตกต่ำยิ่งกว่าตระกูลอันดับสามเสียอีก และคงร่วงจากเจ็ดตระกูลอันดับหนึ่งไปนานแล้ว!”

หลิงหยุนได้ฟังจึงได้แต่ถามขึ้นว่า “เช่นนั้นแล้ว เหตุใดท่านปู่จึงให้เงินข้าถึงห้าร้อยล้านดอลล่า  ข้าไม่ได้ต้องการเงิน ท่านปู่ควรจะเก็บไว้ใช้?”

“นายน้อย.. แม้ว่าตระกูลหลิงเวลานี้จะมีเงินเพียงไม่กี่ร้อยล้าน แต่ก็ยังนับว่าดีกว่าคนธรรมดาเป็นร้อยเป็นพันเท่า..เพียงแต่..”

“แต่อะไร..?!”

จู่ๆ เหล่ากุ่ยก็นึกถึงเรื่องที่หลิงเสี่ยวและหลิงเย่วหายตัวไป เขาจึงได้แต่คำรามออกมาอย่างคับแค้นใจ..

“เมื่อเดือนที่แล้ว.. จู่ๆท่านพ่อและลุงสองของท่านก็หายตัวไป จนถึงตอนนนี้ก็ยังไม่ได้ข่าวคราว และไม่รู้ว่าอยู่ที่ใหนกันแน่?”

“อะไรนะ?!”

หลิงหยุนตกใจจนผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ทันที!

เหล่ากุยเองก็ลุกขึ้นยืนตาม เขาจับบ่าหลิงหยุนไว้ทั้งสองข้างพร้อมกับพูดออกมาอย่างเจ็บปวด

“นายน้อย.. ท่านอย่าได้ร้อนใจไป! ตอนนี้คนก็ยังหาไม่พบ กังวลใจไปก็ไร้ประโยชน์ ท่านควรฟังข้าพูดให้จบก่อน”

“เมื่อครู่ท่านเพิ่งถามข้าว่า..เหตุใดท่านปู่ ท่านพ่อ และท่านแม่ของท่านจึงไม่มาด้วยตัวเอง?”

“ความจริงแล้ว..  ก่อนหน้านี้หนึ่งเดือน ข้าเองได้ส่งข่าวคราวของนายน้อยให้นายผู้เฒ่าทราบ นายผู้เฒ่าดีใจจนนอนไม่หลับถึงสองวันสามคืน แม้รู้ว่ามีอันตรายก็ยังดึงดันจะมาพบท่านที่นี่ด้วยตัวเอง!”

“อันตราย?  อันตรายเรื่องอะไรกัน?” หลิงหยุนร้องถามขึ้นมาด้วยความสงสัย

เหล่ากุ่ยรีบโบกมือแล้วบอกว่า “เรื่องนี้ข้าจะเล่าให้ท่านฟังทีหลัง..”

จากนั้นเขาก็พูดต่อว่า “ตอนนั้นท่านเองก็ยังไม่ออกเดินทางไปทะเล และเครื่องบินจากปักกิ่งมาที่นี่ก็ไม่กี่ชั่วโมง การเดินทางมาพบท่านจึงไม่ใช่เรื่องยากอะไร แต่ระหว่างที่จะออกเดินทางนั้น กลับเกิดเรื่องขึ้นเสียก่อน!”

“ท่านพ่อของท่านกับลุงสองหายตัวไปพร้อมกันทั้งคู่ ท่านผู้เฒ่าเองก็กระวนกระวายใจอยู่ตลอดทั้งคืน และจำเป็นต้องยกเลิกการเดินทางที่จะมาจิงฉูทันที แล้วเรียกตัวข้ากลับไป..”

“เวลานั้นข้าเองก็รีบร้อนมาก จึงไม่มีเวลาได้ร่ำลานายน้อย..”

หลิงหยุนค่อยๆนั่งลง เขาขมวดคิ้วพร้อมกับกัดฟันพูดออกมา “ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง..”

‘จู่ๆลูกชายทั้งสองคนก็หายตัวไปพร้อมๆกัน ท่านปู่คงจะร้อนใจมาก อีกทั้งไม่รู้จะเรียกใช้ใครในตระกูลได้ จึงได้แต่ตามเหล่าเหล่ากุ่ยกลับไปพบ’

“ว่าแต่อันตรายที่ท่านพูดถึงเมื่อครู่มันคืออะไร?”  หลิงหยุนยังคงถามย้ำในสิ่งที่ค้างคาใจ

เหล่ากุ่ยไม่คิดจะปิดบังอีก เขาตอบกลับด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย “เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับโศกนาฏกรรมเมื่อสิบแปดปีที่แล้ว..”

“เมื่อสิบแปดปีที่แล้ว พ่อของท่านตกหลุมรักหญิงสาวที่ไม่ควรจะรักคนหนึ่ง..  และหญิงสาวผู้นั้นก็คือแม่ที่ให้กำเนิดท่าน นางไม่เพียงมีรูปร่างหน้าตาที่งดงามหาใครเทียบได้ยาก แต่ยังมีวรยุทธที่ล้ำเลิศอย่างน่าตกใจ หากจะพูดว่านางเป็นหญิงที่งดงามที่สุดในบรรดาผู้ฝึกวรยุทธ ก็คงจะไม่เกินจริงนัก! ส่วนพ่อของท่านไม่เพียงเป็นผู้มีพรสวรรค์ แต่ยังนับว่าเป็นเลิศในบรรดาผู้ฝึกฝนบ่มเพาะพลัง ทั้งคู่จึงนับว่าเหมาะสมกันราวกับกิ่งทองใบหยก แต่หายนะต่างๆก็เกิดขึ้นหลังจากที่ฐานะของนางถูกเปิดเผย..”

“นายน้อย.. มารดาแท้ๆของท่านก็คือธิดาพรรคมารคนก่อนหน้านี้!”

‘ที่แท้แม่ของข้าก็คือธิดาพรรคมารหรือนี่?!’ หลิงหยุนตกใจราวกับถูกสายฟ้าฟาดลงกลางศรีษะ  เขาคิดไม่ถึงว่าแม่ผู้ให้กำเนิดเขานั้นจะเป็นคนของพรรคมาร

เหล่ากุ่ยยังคงจดจำเรื่องราวเมื่อสิบแปดปีที่แล้วได้ดี น้ำตาของเขาไหลเอ่อออกมาอีกครั้ง  ดวงตาของเหล่ากุ่ยแดงก่ำจนช้ำ และถึงกับแอบสะอึกสะอื้นเบาๆอยู่หลายครั้ง

“พ่อแม่ของท่านนั้นต่างก็รักกันมาก แม้รู้ดีว่าจะต้องได้ถูกกีดกันจากคนอื่นๆ แต่ทั้งคู่ก็ไม่สนใจ และได้แต่ปกปิดเรื่องนี้ไว้”

“แต่เมื่อท่านแม่ของนายน้อยตั้งท้องท่านได้แปดเดือน ข่าวนี้ก็ได้แพร่สะพรัดออกไปเข้าหูนิกายลับ และสำนักต่างๆ!”

หลิงหยุนกัดฟันแน่นระหว่างรอฟังว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป!