ตอนที่ 506 - รังแกกันมากไป

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ【之全能大師 】

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.506 – รังแกกันมากไป 

 

 

 

 

 

อย่างไรก็ตาม โจวฮ่าวกลับไม่ค่อยมั่นใจ ค่อนข้างกังวล “แต่งานประลองที่นี่ไม่อนุญาตให้ใช้สัตว์พันธสัญญา ไม่อย่างนั้นฉันชนะแน่นอน” 

 

 

 

 

 

“จริงอยู่ว่าที่นี่ไม่อนุญาต แต่ถ้าเราไปถึงเมืองหลวงมังกรเมื่อไหร่ เรื่องนั้นไม่มีปัญหา” 

 

 

 

 

 

สำหรับผู้ใช้พลัง ไม่ว่าจะเป็นอาวุธเทวะ , เกราะสมบัติ , สัตว์ร้ายพันธสัญญา เหล่านี้ล้วนถือเป็นความแข็งแกร่งส่วนหนึ่งของผู้ใช้พลัง 

 

 

 

 

 

ในเมืองหลวงมังกร ไม่มีข้อจำกัดเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ และงานประลองที่นั่น จะไม่ใช่แค่งานประลองธรรมดาๆอีกต่อไป 

 

 

 

 

 

ทว่าในเมืองเป่ยหัว จุดประสงค์ของซางฮันคือต้องการคัดเลือกผู้ใช้พลังที่มีพรสวรรค์และเป็นอัจฉริยะจริงๆ มุ่งเน้นคนที่มีคุณสมบัติเหมาะสมแก่การให้คำแนะนำและฝึกฝน ก่อนจะส่งไปยังเมืองหลวงมังกร อีกทั้งในบรรดาคนเหล่านี้ ยังมีความเป็นไปได้ที่จะได้รับรางวัลจากซางฮัน 

 

 

 

 

 

ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมากมาย หากได้รับโควต้า รางวัลอย่างพวกชุดอุปกรณ์รูนสีเงินของเลเวล E หรือ D ย่อมตกถึงมือแน่ๆ 

 

 

 

 

 

อย่างไรก็ตาม สำหรับตัวแทนที่ถูกคัดเลือกโดยฉินเฟิงอย่างโจวฮ่าวและจิ่นเฟย ทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปถึงเลเวล D ฉินเฟิงจะนำวัสดุระดับจักรพรรดิสัตว์ร้ายมอบให้อยู่แล้ว ถึงเวลานั้น พวกเขาก็จะได้รับอุปกรณ์รูนสีทอง รางวัลจากซางฮันไม่มีความหมายใดๆ 

 

 

 

 

 

“จะยังไงก็ช่าง ขอให้ทุ่มพลังทั้งหมดที่มี ฉันหวังว่าพวกนายจะได้รับโควต้ากันทั้งสองคน” 

 

 

 

 

 

“รับทราบ!” 

 

 

 

 

 

โจวฮ่าวและจิ่นเฟ่ยพยักหน้าพร้อมกัน 

 

 

 

 

 

หลังจากนั้น ฉินเฟิงก็เริ่มชี้แนะแนวทางเกี่ยวกับกระบวนท่าวรยุทธโบราณแก่จิ่นเฟยและโจวฮ่าว เวลาไหลผ่านไปอย่างรวดเร็ว 

 

 

 

 

 

… 

 

 

 

 

 

เช้าวันรุ่งขึ้น เหล่าอัจฉริยะขึ้นไปนั่งบนพาหนะที่ทางเมืองเป่ยหัวจัดเตรียมเอาไว้ให้ มุ่งหน้าสู่สังเวียนประลองที่ใหญ่ที่สุดในของเมือง 

 

 

 

 

 

ช่วงเวลานี้ ที่นี่เต็มไปด้วยผู้คนมานั่งรอกันอยู่ก่อนแล้ว! 

 

 

 

 

 

แม้ในเมืองเป่ยหัวจะมีตัวตนทรงพลังอยู่มากมายราวกับขนวัว แต่ขณะเดียวกัน ประชากรที่เป็นผู้ใช้พลังระดับต่ำ ก็มีจำนวนมากเช่นกัน 

 

 

 

 

 

แต่ต่ำที่ว่า ทั้งหมดอยู่ในเลเวล E และ D ! 

 

 

 

 

 

บ้างก็ยังหนุ่ม บ้างก็มีอายุมากแล้ว ในขณะที่ผู้ใช้พลังที่ถูกเรียกว่าอัจฉริยะ คือคนที่สามารถฝึกฝนได้เร็วกว่าพวกเขา ครอบครองพลังยิ่งกว่าพวกเขา 

 

 

 

 

 

อัจฉริยะสามารถกระทำสิ่งต่างๆที่พวกเขามิอาจทำ ดั่งเช่นการออกล่านายพลสัตว์ร้ายในเลเวลเดียวกันเพียงลำพัง ในขณะที่ลูกรักของพระเจ้า กระทั่งราชันย์สัตว์ร้ายก็สามารถท้าทายได้! 

 

 

 

 

 

และยังสามารถกลายเป็นตัวตนคงกระพันในระดับเดียวกัน ยามเผชิญหน้ากับศัตรูที่มีเลเวลเท่าเทียม เพียงหนึ่งจักสามารถรับมือได้นับร้อย กระทั่งสามารถต่อกรกับศัตรูในเลเวลที่สูงกว่า! 

 

 

 

 

 

บุคคลดังที่กล่าวมานี้เอง คือสิ่งที่เรียกกันว่าอัจฉริยะ! 

 

 

 

 

 

ด้วยเหตุนี้ เหล่าผู้ใช้พลังระดับต่ำจึงรู้สึกว่า มันคุ้มค่าที่จะมาสังเกตการณ์ เฝ้ามองอัจฉริยะที่แข็งแกร่ง และนำมาดัดแปลง ต่อยอดต่อไป 

 

 

 

 

 

ส่งผลให้บนอัฒจันทร์ ทุกที่นั่งถูกจับจอง เต็มไปด้วยผู้คน! 

 

 

 

 

 

และในบรรดาผู้ใช้พลังเหล่านี้ หากจ้องมองเข้าไปในดวงตาของพวกเขา จะพบว่ามันกำลังลุกโชนไปด้วยความร้อนแรง! เพราะท้ายที่สุดแล้ว พลังสมาธิและการรับรู้ของพวกเขา มันไม่เลวร้ายเลย ทั้งหมดสัมผัสได้ถึงการมาเยือนของผู้เข้าประลองแล้ว! 

 

 

 

 

 

ผู้คนในเมืองเป่ยหัว ทั้งหมดเริ่มตื่นเต้น 

 

 

 

 

 

งานประลองในวันแรก จะมีพิธีเปิดการแข่งขัน ตัวแทนจากแต่ละรัฐ ทยอยกันเดินขบวนออกมา พร้อมคำแนะนำจากพิธีกร ก้าวเดินเข้ามาจากประตูทางเข้า มุ่งตรงไปยังใจกลางเวทีแห่งเกียรติยศ 

 

 

 

 

 

“ขบวนแรกที่เข้าสู่สังเวียน –ขบวนจากรัฐฮั่นชวน!” 

 

 

 

 

 

สิ้นเสียง ผู้ใช้พลังเลเวล C เป็นหัวหอกก้าวนำออกมา ในมือเขาถือธงขนาดใหญ่ บนผืนผ้าที่กำลังโบกสะบัด สลักไว้เพียงสองตัวอักษรอันน่ายำเกรง ‘ฮั่นชวน’ 

 

 

 

 

 

นอกจากนี้ พิธีกรยังกล่าวแนะนำตัวฮั่นจุนเป็นพิเศษ 

 

 

 

 

 

“ในบรรดาอัจฉริยะของรัฐฮั่นชวน ดาวรุ่งพุ่งแรงที่สุด มิใช่ใครอื่น – เป็นฮั่นจุน! แม้จะอายุยังไม่ถึง 20 ปี แต่ความแข็งแกร่งของเขาได้มาถึงเลเวล D เป็นที่เรียบร้อยแล้ว!” 

 

 

 

 

 

ฝูงชนเกิดเสียงฮือฮา พากันสูดหายใจลึก 

 

 

 

 

 

“ช่างอัจฉริยะ! เขาคนนี้ต้องคว้าโควต้าสู่เมืองหลวงมังกรได้อย่างแน่นอน” 

 

 

 

 

 

“ต้องได้อยู่แล้ว เพราะเลเวล D คือเลเวลที่สูงที่สุดในงานประลองครั้งนี้” 

 

 

 

 

 

“ใช่ ช่างน่าอิจฉาซะจริงๆ” 

 

 

 

 

 

จากนั้น พิธีกรก็เริ่มแนะนำทีมต่างๆที่เดินขบวนเข้ามา ปรากฏว่าทีมก่อนหน้า รวมไปถึงฮั่นจุน มีผู้ใช้พลังเลเวล D อยู่ทั้งหมด 3 คน 

 

 

 

 

 

อีกสอง ได้แก่เต๋อหวอจากรัฐซิงหมัง และลิหวังเซิ่นจากรัฐชงหยวน 

 

 

 

 

 

เมื่อมาถึงตาขบวนของสี่เมืองทะเลเหนือ พิธีกรได้แนะนำตัวพวกเขาว่าเป็นรัฐทะเลเหนือ (เป่ยไห่) เพียงอย่างเดียว เนื่องจากมีการก่อสร้างเมืองเฟิงหลีขึ้นใหม่แล้ว ดังนั้นในรัฐนี้ จึงไม่ใช่ ‘สี่เมือง’ อีกต่อไป 

 

 

 

 

 

และคนที่เดินถือธงด้านหน้า มิใช่ใครอื่น เป็นไป๋หลี 

 

 

 

 

 

รูปลักษณ์ของเธอช่างเยาว์วัย หากมิใช่เพราะมีตราเลเวล C ติดตรงอกเธอ ผู้ชมอาจคิดว่าเธอเป็นหนึ่งในผู้เข้าประลอง 

 

 

 

 

 

และประเด็นเธอคือ เธอช่างทรงเสน่ห์ น่าอัศจรรย์ใจ งดงามปานล่มเมือง ผู้คนเฝ้ามองจนลืมหายใจ เวลานี้ บนสังเวียนบังเกิดความเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง 

 

 

 

 

 

และต่อมา ก็เกิดเสียงฮือฮา โห่ร้องดังขึ้น 

 

 

 

 

 

“ธะ .. เธอคนนี้เป็นใครกัน? เธอสวยจนฉันไม่รู้ว่าจะบรรยายอย่างไรดี” 

 

 

 

 

 

“เทพธิดา! ทั้งยังเป็นเลเวล C ถือธงนำขบวนแบบนี้ หมายความว่าเธอเป็นคนของรัฐทะเลเหนือใช่ไหม? ได้ยินมาว่าความแข็งแกร่งของรัฐนี้ จัดอยู่ในระดับสอง พวกเขามีตัวตนอย่างเธอปรากฏขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” 

 

 

 

 

 

“อา! หลังจบงานนี้ ฉันต้องหาโอกาสแวะไปเที่ยวรัฐทะเลเหนือให้จงได้!” 

 

 

 

 

 

ผู้คนมากมาย ต่างติดตรึงอยู่กับการปรากฏตัวของไป๋หลี เอ่ยปากอยากแวะเวียนมายังรัฐทะเลเหนือ 

 

 

 

 

 

หูของฉินเฟิงย่อมสามารถได้ยินคำพูดทั้งหมดของผู้คนโดยรอบ สีหน้าของเขาคล้ำลงเล็กน้อย ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้ เขาคงไม่ให้ไป๋หลีเป็นคนถือธง! 

 

 

 

 

 

อย่างไรก็ตาม ในครั้งนี้พวกเขามากันเพียงแค่ 11 คน หากไม่ให้ไป๋หลีถือ ก็ไม่มีคนอื่นอีกแล้ว 

 

 

 

 

 

ขณะเดียวกัน บนอัฒจันทร์ ผู้ใช้พลังเลเวล B บางคนหันมามองหน้ากันและกันด้วยความตกตะลึง 

 

 

 

 

 

“เอ่อ .. สาวน้อยคนนั้นดูคุ้นๆนะว่าไหม” 

 

 

 

 

 

“จะไม่คุ้นได้ยังไง? นี่นายลืมไปแล้วหรอ เธอคือแฟนของฉินเฟิง คนที่สามารถล่าสัตว์ร้ายทางตอนเหนือได้มากถึง 100,000 แต้มในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาไง!” 

 

 

 

 

 

มุมปากของใครบางคนกระตุกวูบ ใช้เวลาอยู่นานกว่ามันจะสงบลง จึงค่อยเอ่ยออกมา “ลองดูในขบวนของรัฐทะเลเหนือดีๆสิ คนที่เดินอยู่ตรงกลาง นั่นมันฉินเฟิงไม่ใช่หรอ?” 

 

 

 

 

 

ผู้ใช้พลังเลเวล B เบนสายตาไป และพวกเขาก็ค้นพบฉินเฟิงจริงๆ! 

 

 

 

 

 

เป็นเพราะไป๋หลีน่าดึงดูดเกินไป ก่อนหน้านี้พวกเขาเลยไม่ทันสังเกต  

 

 

 

 

 

แต่ตอนนี้ เมื่อเหล่าเลเวล B เห็นฉินเฟิง ทั้งหมดอ้าปากค้างด้วยความตกใจ 

 

 

 

 

 

บนอกของฉินเฟิงไม่ได้ติดตราผู้ใช้พลัง แต่ในวันก่อนๆที่ลงหุบเหวตอนเหนือ หากไม่นับวันแรกแล้ว เขาก็ไม่เคยติดมันเลยเช่นกัน ดังนั้นคนอื่นๆเลยพอจะรู้นิสัยอย่างหนึ่งของฉินเฟิง 

 

 

 

 

 

ก่อนหน้านี้ คนเหล่านี้พากันคิดว่า การที่ฉินเฟิงไม่ติดตราผู้ใช้พลัง มันเป็นเพราะตราเลเวล C ไม่คู่ควรกับความแข็งแกร่งของเขา 

 

 

 

 

 

แต่ปัจจุบันดูเหมือนว่า … เด็กคนนี้กำลังคิดแสร้งเล่นบทหมูกินเสือ 

 

 

 

 

 

“ขะ .. เขาสามารถสังหารผู้ใช้พลังเลเวล B ได้ แล้วทำไมถึงมาร่วมงานประลองลูกรักของพระเจ้ากัน?” 

 

 

 

 

 

นี่ — ทำแบบนี้มันมิใช่เป็นการรังแกผู้คนหรอกหรือ? 

 

 

 

 

 

“เรื่องนั้นช่างมันก่อนเถอะ ประเด็นก็คือ จริงๆแล้วเขายังอายุไม่ถึง 20 ปี?” 

 

 

 

 

 

ทันใดนั้น ฝูงชนพลันเงียบเป็นเป่าสาก 

 

 

 

 

 

แม้พวกเขามีความสามารถในการรับรู้ถึงอายุของผู้คน และรูปลักษณ์ของฉินเฟิง ก็ดูไม่เหมือนผู้ใหญ่จริงๆ แต่เขามีร่างสูงโปร่ง สีหน้ามั่นคงเด็ดเดี่ยว ฉะนั้นหากเอ่ยปากบอกว่าฉินเฟิงอายุแค่ 17 ปี ยังไงก็ไม่มีใครเชื่อ 

 

 

 

 

 

แต่ตอนนี้ … ความเป็นจริงได้ถูกเปิดเผยต่อหน้าพวกเขาแล้ว 

 

 

 

 

 

น่ากลัว … ชายคนนี้น่าหวาดกลัวเกินไป! 

 

 

 

 

 

ในเวลาเดียวกัน บนอัฒจันทร์ ไม่ว่าจะเป็นมู่จินหรือหลิวเยว่ ทั้งสองคนที่เคยเห็นฝีมือของฉินเฟิงมาก่อน ในสมองรู้สึกราวกับถูกทิ้งระเบิดลง มันอื้ออึงไม่อยากจะเชื่อ 

 

 

 

 

 

“ประธานฉิน เขา เขาเข้าร่วมงานประลองของรุ่นเยาว์ได้อย่างไร เป็นไปได้ไหมว่า … เขายังอายุไม่ถึง 20 ปีจริงๆ? โอ้สวรรค์!” มู่จินย้อนนึกไปถึงฉากในตอนที่ฉินเฟิงปลดปล่อยดอกไม้แห่งการทำลายล้าง สังหารผู้ใช้อบิลิตี้เลเวล B ก็อดเย็นสันหลังวาบไม่ได้ 

 

 

 

 

 

“อึก!” ชุ่ยหยางกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก เอ่ยปาก “ลุงหลิว ขอบคุณที่เตือนผม ให้เลิกยุ่งกับฉินเฟิง เจ้าหมอนี่ ไม่ใช่คนธรรมดาจริงๆ” 

 

 

 

 

 

แม้ในตอนนี้เขาอาจยังไม่มีอะไร แต่อาศัยความเร็วในการยกระดับอันน่าเหลือเชื่อ ขอเวลาอีกแค่หนึ่งหรือสองปี ฉินเฟิงอาจก้าวไปถึงเลเวล A เลยก็ได้ 

 

 

 

 

 

เมื่อถึงเวลานั้น ชุ่ยหยางที่เคยทำให้ฉินเฟิงต้องขุ่นเคือง คงได้แต่กลัวหัวหด ไม่กล้าออกไปไหน 

 

 

 

 

 

“ผมคงได้แต่หวังว่า เขาจะไม่เก็บความขุ่นเคืองเล็กๆน้อยๆมาใส่ใจ ขอให้ทำเหมือนกับผมเป็นแค่ตัวผายลม ลืมเลือนมันไป!” ชุ่ยหยางอธิษฐานอย่างลับๆ 

 

 

 

 

 

หลิวเยว่พยักหน้าเห็นด้วย 

 

 

 

 

 

ขณะเดียวกัน ฉินเฟิงไม่ทราบความคิดของคนเหล่านี้ แต่เขาตระหนักได้ ว่าในโซนห้องVIP บนอัฒจันทร์ มีหลายสายตากำลังจ้องมองมา 

 

 

 

 

 

ฉินเฟิงกวาดตามองขึ้นไปยังห้อง VIP 

 

 

 

 

 

และพบว่าสายตาเหล่านั้น ถอนจากตนอย่างรวดเร็ว 

 

 

 

 

 

ฉินเฟิงไม่ใส่ใจ เขานำคนจากรัฐทะเลเหนือ ไปยังพื้นที่พักผ่อน …