ระบำเปลื้องผ้า

 

 

เจียงมู่เฉินหลังจากออกจากซือกรุ๊ปก็นั่งรถตรงไปยังหลานเยี่ยทันที ในร้านมีแขกไม่กี่คนอยู่กระจัดกระจายกัน

 

 

เขาตรงขึ้นชั้นสองด้วยความชินทาง พุ่งตัวเข้าห้องรับรองที่ตัวเองไปประจำ แล้วเอนกายพิงโซฟา โทรศัพท์ให้คนขึ้นมาส่งเหล้า

 

 

เจียงมู่เฉินพุ่งตัวเข้าห้องน้ำไปอาบน้ำ ต่อจากนั้นก็สวมชุดคลุมอาบน้ำตัวหลวมโคร่งเดินออกมา เผยให้เห็นขาเรียวยาวแสนขาวผ่อง วับๆ แวมๆ ผ่านเนื้อผ้าออกมาตามจังหวะการเดิน

 

 

เหล้าที่สั่งมาส่งเรียบร้อย เขายื่นมือเปิดขวดเหล้าเทรินใส่แก้ว คนทั้งคนเอนหลังพิงโซฟา นั่งไขว้ขาเผยมัดกล้ามเนื้อออกมา

 

 

ยามนี้เจียงมู่เฉินดูน่าดึงดูดใจเป็นพิเศษ เรือนกายเผยให้เชยชมโดยไม่ทันระวังของเขาช่างมีเสน่ห์เย้ายวนใจสะดุดตาเหลือเกิน นิ้วมือเรียวยาวขาวผ่องประคองถือแก้วเบาๆ 

 

 

ท่าทีของเขาดูเลื่อนลอยอย่างบอกไม่ถูก ท่าทีเรียบๆ นิ่งๆ ดึงดูดสายตาคนโดยไม่ตั้งใจ ทำให้ละสายตาไปไม่ได้

 

 

เขามองออกไปนอกหน้าต่าง ดื่มเหล้าไปสองแก้วอย่างช้าๆ

 

 

มีคนเคาะประตูห้องจากข้างนอกเข้ามา เจียงมู่เฉินถือแก้วไว้ครึ่งใบ เอ่ยถามเสียงเรียบ “ใคร?”

 

 

“คุณชายเจียง ข้างมีคนต้องการพบคุณครับ”

 

 

“ใคร?”

 

 

“คุณซือเหยี่ยนครับ”

 

 

มือข้างที่ถือแก้วเหล้าของเจียงมู่เฉินชะงักไป เผยอมุมปากขึ้นอย่างตามใจ “ให้เขารอก่อน”

 

 

คนนอกประตูเงียบลงสักพัก อยากพูดอะไรสักอย่าง

 

 

“ถ้าซือเหยี่ยนไม่ยอมรอ เขาก็จะออกจากที่นี่ไปเอง” หลังจากเจียงมู่เฉินพูดประโยคนี้จบ ในห้องก็เงียบลงทันที

 

 

คนข้างนอกถึงได้เอ่ยตอบ “ได้ครับคุณชายเจียง”

 

 

รอจนเสียงฝีเท้าห่างไกลออกไป เจียงมู่เฉินถึงค่อยๆ วางแก้วเหล้าในมือลงแล้วลูบไปมา

 

 

คิดไม่ถึงว่าเขาจะรู้ว่าตัวเองอยู่ที่หลานเยี่ย แล้วยังเป็นฝ่ายมาหาเขาเองอีก

 

 

หนึ่งชั่วโมงกับอีกสามนาที

 

 

รวดเร็วไม่เบา เจียงมู่เฉินใคร่อยากรู้จริงๆ ว่าซือเหยี่ยนไปรับลูกสาวของอาจารย์เขามาได้ยังไง

 

 

‘เป็นเขาเจียงมู่เฉินที่พูดเพ้อเจ้อไปเอง หรือซือเหยี่ยนไปหยอดคำหวานใส่หลินเหวินฮุ่ยหลอกให้เธอกลับไป’

 

 

เจียงมู่เฉินยกยิ้มมุมปาก ต่อสายโทรศัพท์หาเฉิงฉี

 

 

“คืนนี้ช่วยฉันจัดโชว์หน่อยนะ”

 

 

“มันเรื่องอะไรกัน?” เฉิงฉีตกใจจนฉี่เกือบราด

 

 

“ไม่มีอะไร อารมณ์ดี เรียกแขกให้นายฟรีๆ ไม่หักเปอร์เซ็นต์นายด้วย”

 

 

หลังเฉิงฉีฟังจบก็ถามต่อ “เต้นอะไร?”

 

 

เจียงมู่เฉินยกมุมปาก “ระบำเปลื้องผ้า”

 

 

“เปลื้องผ้า…แค่กแค่กแค่ก…ระบำเปลื้องผ้า” เฉิงฉีเกือบจะกัดลิ้นตัวเองแล้ว “นายไม่ได้พูดผิดหรอกใช่ไหม”

 

 

เจียงมู่เฉินวางแก้วประทับแนบริมฝีปากเบาๆ เขาจิบเหล้าเข้าไปคำหนึ่ง ก่อนเอ่ย “ฉันมีลิมิตของตัวเองอยู่”

 

 

เขาพูดจบก็ตัดสายทิ้งไป

 

 

เจียงมู่เฉินยันกายขึ้นมานั่ง เดินเท้าเปล่าไปยังฝั่งหน้าต่าง เขาเป่าลมใส่กระจกแล้วเขียนลงไปสองคำ เขามองตัวอักษรบนกระจกใสแล้วยิ้มหัวเราะเบาๆ

 

 

‘ซือเหยี่ยน จะสู้กับฉัน มันยังห่างชั้นกันไกล’

 

 

เขาเจียงมู่เฉินต่อให้ชอบคนอื่นเข้าแล้ว ก็จะไม่มีทางลดชั้นตัวเองลง

 

 

เชิดมุมปาก แก้สายชุดคลุมอาบน้ำออกสบายๆ ปล่อยให้ชุดคลุมอาบน้ำที่ไม่ได้ผูกสายไว้ เลื่อนหล่นไปตามเรือนร่างจนตกลงพื้น

 

 

เจียงมู่เฉินนอนลงบนเตียงสีเทาเข้มหลังใหญ่ หลับตาลงเบาๆ

 

 

กว่าจะหนึ่งทุ่ม ยังเหลืออีกห้าชั่วโมง เขาจะได้นอนชดเชยพอดี

 

 

 

 

ที่ชั้นล่างซือเหยี่ยนนั่งอยู่บนเก้าอี้หนัง ผู้จัดการที่ขึ้นไปแจ้งเรื่องเมื่อครู่ยืนอยู่หน้าเขา รายงานคำสั่ง “คุณชายเจียงบอกว่าให้คุณรอก่อนครับ”

 

 

ซือเหยี่ยนผู้นั่งในมุมมืด มองสีหน้าอารมณ์ไม่ได้ชัดเจนนัก

 

 

เขาคิดไปคิดมา ก่อนจะเสริมต่ออีกประโยค “คุณชายเจียงบอกว่า ถ้าคุณไม่ยอมรอ ก็กลับไปก่อนได้ครับ

 

 

ผู้จัดการไนต์คลับในใจอดจะกังวลไม่ได้ ทั้งซือเหยี่ยนและคุณชายเจียงรับมือยากด้วยกันทั้งคู่ ใครจะรู้ว่าวันนี้ลมอะไรหอบสองเซียนใหญ่มาเจอกันได้

 

 

“อืม รู้แล้ว” ซือเหยี่ยนนั่งบนเก้าอี้ เอ่ยเสียงเรียบ

 

 

ผู้จัดการไนต์คลับตกใจจนสะดุ้ง ‘รู้แล้ว’ คืออารมณ์ไหนกัน นี่คือโกรธหรือไม่โกรธ อยากไปหรือไม่ไป