“อาณาเขตเซียน…เป็นอาณาเขตเซียน!” ซีอวิ๋นเจินจุนเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา “ศิษย์น้องช่านหราน พวกเราไป!”
มองเห็นซีอวิ๋นเจินจุนและช่านหรานเจินจุนจากไป เจินจุนอีกสองท่านก็ตามไปอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด
ฝนเจ็ดสีแฝงไปด้วยปราณวิญญาณเข้มข้น แม้ว่าจะไม่อาจเทียบกับปราณของเซียนวิญญาณได้ แต่กลับระดับสูงกว่าปราณวิญญาณธรรมดาๆ ไม่น้อย
ค่ายกลสังหารถูกฝนเจ็ดสีอาบย้อม ยามนั้นปราณสังหารก็อ่อนกำลังลง ค่ายกลมีท่าทีจะหยุดลงในทันที
โชคดีที่ผู้ที่รอดจนมาถึงยามนี้ล้วนเป็นผู้โดดเด่นไม่ธรรมดา จึงถือโอกาสที่หาได้ยากนี้ทะลวงผ่านค่ายกลออกไป ไล่ตามเจินจุนระดับถอดดวงจิตทั้งสี่คนไป
แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นผู้ที่มีปฏิกิริยาตอบสนองช้าหน่อย ในตอนที่บินขึ้นไปได้ก็ถูกปราณสังหารที่ค่ายกลสังหารสร้างขึ้นมาใหม่ทำการโจมตี จนดับสูญไปด้วยความโกรธแค้น
มั่วชิงเฉินและเยี่ยเทียนหยวนมองมังกรและหงส์บินเริงระบำอยู่โดยรอบ ประตูหยกขาวกลับปิดแน่นไม่เปิดออก ยามนั้นก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี
ยามที่กำลังคิดหาวิธีอยู่ ฉับพลันนั้นก็รู้สึกว่าพลังน่าตกตะลึงพุ่งมาอย่างรวดเร็วแล้วเข้าประชิดขึ้นเรื่อยๆ ทว่าผ่านไปชั่วครู่ ก็มีคนสี่คนยืนอยู่ตรงหน้าทั้งสองคนตามลำดับ
“ชิงเฉิน ลั่วหยาง เป็นพวกเจ้านี่เอง!” ซีอวิ๋นเจินจุนมองทั้งสองคน แววตาฉายแววยินดี
เขาเองเคยได้ยินว่าพวกมั่วชิงเฉินทั้งสองมาที่หุบเขาข่งเชวี่ย เพียงแต่หุบเขาข่งเชวี่ยกว้างใหญ่มากและยังตกอยู่ในอันตราย หลายปีที่ผ่านมาจึงไม่มีวาสนาได้พบกับ
ก่อนหน้านี้มองเห็นเงาร่างสีเขียวสองสายกลางเมฆหมอก ก็รู้สึกคุ้นตาเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าจะเป็นพวกเขาจริงๆ
มั่วชิงเฉินและเยี่ยเทียนหยวนคารวะพร้อมกัน “อนุชนคารวะเจินจุน”
จากนั้นกู่เยี่ยนเจินจุนก็ส่งเสียงออกมา “สหายอวิ๋นซี สหายน้อยสองท่านนี้คือ”
ซีอวิ๋นเจินจุนเอ่ยอย่างราบเรียบ “คือผู้บำเพ็ญเพียรจากนอกมหาสมุทร มีที่มาเดียวกันกับสำนักฉางซู่ของพวกเรา ทั้งสองท่านก็เห็นแล้ว อาณาเขตเซียนอยู่ที่สำนักฉางซู่ของข้าจริงๆ แม้จะกล่าวว่าอาณาเขตเซียนเดิมเป็นสถานที่ที่เซียนสันโดษของสำนักข้าในอดีตทิ้งเอาไว้ แต่ตามกฎของโลกผู้บำเพ็ญเพียรในยามนี้แล้ว ในเมื่อพวกเจ้ามาถึงแล้ว แน่นอนว่าย่อมไม่มีเหตุผลให้ปฏิเสธ”
กู่เยี่ยนเจินจุนจ้องเขม็งไปที่ซีอวิ๋นเจินจุน เห็นเขามีท่าทีไม่ใส่ใจ ก็ถอนหายใจยาวๆ ออกมา “หากสหายอวิ๋นซีเอ่ยเช่นนั้นให้ฟังก่อน ไหนเลยจะต้องสู้รบกันเอิกเกริก”
ช่านหรานเจินจุนหัวเราะอย่างเย็นชา “เอ่ยเช่นนั้นให้ฟังก่อนหรือ พวกเราไม่เคยเอ่ยแล้วหรือว่า แม้ว่าอาณาเขตเซียนจะปรากฏตัวขึ้น แต่สำนักของข้าก็ไม่มีกุญแจเปิดใช้ที่สมบูรณ์ เพียงแต่พวกเจ้าทำอย่างไรก็ไม่เชื่อต่างหาก!”
ซีอวิ๋นเจินจุนส่งสายตาปลุกปลอบให้ช่านหรานเจินจุน “ศิษย์น้องช่านหราน เรื่องมาถึงยามนี้พูดมากไปก็ไร้ประโยชน์ มาปรึกษาเรื่องสำคัญกันเถิด คราวนี้ทั้งสองก็น่าจะรู้แล้วว่าก่อนหน้าสำนักฉางซู่ข้าไม่มีกุญแจเปิดเขตแดนที่สมบูรณ์ และยามนี้ที่ประตูเซียนถือกำเนิด ก็ต้องขอบคุณพวกเขาทั้งสองคน”
เอ่ยไปพลางมองพวกมั่วชิงเฉินทั้งสองแวบหนึ่ง
เห็นเจินจุนระดับถอดดวงจิตทั้งสี่มองมา มั่วชิงเฉินรู้สึกขนลุกขนพอง ขบคิดในใจว่าซีอวิ๋นเจินจุนผลักนางและศิษย์พี่ออกมา ไม่รู้ว่ามีความคิดอย่างไร
“สหายน้อยทั้งสองนี้หรือ” หลิงเฮ่อเจินจุนพิจารณาทั้งสองอย่างละเอียด
“ไม่ผิด กุญแจเปิดประตูเซียนแบ่งออกเป็นสองส่วน หนึ่งในนั้นคือน้ำตาไข่มุก อยู่ที่ข้า อีกส่วนหนึ่งอยู่ที่ผู้บำเพ็ญเพียรนอกมหาสมุทรที่มีที่มาที่ไปเกี่ยวข้องกับสำนักฉางซู่ของข้า ก่อนหน้านี้ข้าได้ส่งลูกศิษย์ออกไปขอมาจากนอกมหาสมุทรตั้งนานแล้ว กว่าสหายทั้งสองจะมานั้นไม่ง่ายเลย คิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะเกือบต้องมาตายภายใต้สงครามอันต่ำช้า หากเป็นเช่นนี้ ต่อให้สำนักฉางซู่รอดมาได้แต่ก็ไปรับผิดกับประมุขพรรคของพวกเขาได้ยากแล้ว!” ซีอวิ๋นเจินจุนเอ่ย
วาจามีทั้งความจริงและคำโกหก พวกหลิงเฮ่อเจินจุนทั้งสองได้ยินพลันมีสีหน้าแตกต่างกันไป ขบคิดในใจว่าสำนักฉางซู่คู่ควรกับที่เป็นสำนักที่สืบทอดกันมาตั้งแต่ในอดีตกาลจริงๆ เบื้องหลังไม่รู้ว่ามีความลับและอำนาจเท่าไหร่กัน ดูแล้วสงครามครั้งนี้ เลินเล่อไปแล้วจริงๆ!
เป็นที่พักอาศัยของเซียนสันโดษในอดีตกาลอย่างแท้จริง ความเย้ายวนมากมายนัก และเป็นสิ่งที่เจินจุนระดับถอดดวงจิตอย่างพวกเขาเองก็ต้านทานได้ยาก
“หากเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะเป็นตัวแทนของผู้บำเพ็ญเพียรฝั่งข้าขออภัยสหายทั้งสองแล้ว” กู่เยี่ยนเจินจุนเอ่ย
“มิกล้ารับ” เยี่ยเทียนหยวนเอ่ยอย่างราบเรียบ
ดูจากท่าทางนี้ของเขา พวกกู่เยี่ยนเจินจุนทั้งสองก็ยิ่งเชื่อในคำพูดของซีอวิ๋นเจินจุน สายตาที่มองมายังพวกเยี่ยเทียนหยวนทั้งสองก็ให้ความสำคัญมากขึ้นหลายส่วน
ซีอวิ๋นเจินจุนเห็นเช่นนี้ก็เข้าสู่บทสนทนาสำคัญ “พวกเขาใช้กุญแจส่วนหนึ่งทำให้ประตูเซียนถือกำเนิด จากท่าทางของมังกรและหงส์ รอจนข้าเอาน้ำตาไข่มุกออกมา ประตูเซียนก็จะเปิดได้ เช่นนั้น พวกเราก็ต้องตั้งกฎ”
“สหายอวิ๋นซีเชิญเอ่ยได้เลย” กู่เยี่ยนเจินจุนเอ่ยออกมาพร้อมกัน
“อาณาเขตเซียนเป็นสถานที่ที่ผู้บำเพ็ญเพียรบรรพกาลของสำนักข้าทิ้งไว้ กุญแจที่ใช้เปิดอยู่ที่สำนักของข้าและสหายตัวน้อยทั้งสองคนละครึ่ง หากเป็นเช่นนั้น หลังจากเข้าไปในอาณาเขตเซียนแล้ว ข้าและศิษย์น้องช่านหรานก็ต้องมีสิทธิ์เลือกสมบัติคนละชิ้น พวกเขาสองคนก็มีสิทธิ์เลือกคนละชิ้น ที่เหลือ พวกเราหกคนก็จะแบ่งกันตามฝีมือความสามารถ ไม่ทราบว่าสหายทั้งสองคิดเห็นอย่างไร”
กู่เยี่ยนเจินจุนและหลิงเฮ่อเจินจุนมองสบตากันแวบหนึ่ง ส่งสายตาให้กันอย่างรวดเร็ว พยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “ตามที่สหายอวิ๋นซีกล่าว”
มั่วชิงเฉินกลับรู้สึกตกตะลึง
คำพูดก่อนหน้าของซีอวิ๋นเจินจุน แม้ว่าจะปกป้องพวกนาง แต่หลังจากที่ได้สมบัติและออกจากอาณาเขตเซียนนั้น เจินจุนระดับถอดดวงจิตทั้งสองจะละโมบหมายสังหารนางและศิษย์พี่หรือไม่เล่า
ซีอวิ๋นเจินจุนไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนี้ และไม่ได้สนใจความเป็นตายของพวกนาง หรือว่า…
เมื่อนึกถึงความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่ง มั่วชิงเฉินก็ใจหาย แต่กลับรู้สึกว่าหากเขาทำเช่นนั้นจริงๆ ก็หน้าด้านมาก
ไม่ว่าจะอย่างไร นางและศิษย์พี่ก็ยังต้องพึ่งตนเอง คิดดูแล้วใช้กระสวยผสมปราณคงไม่มีปัญหาอะไร
เมื่อตั้งกฎแล้ว ซีอวิ๋นเจินจุนก็ไม่เสียเวลาอีก เพียงมือขยับไข่มุกขนาดเท่ากำปั้นก็ปรากฏขึ้น เปล่งแสงกระจ่างใสออกมาพลางบินขึ้นไปกลางอากาศ
ซีอวิ๋นเจินจุนร่ายคาถาอย่างเงียบๆ ปลายนิ้วรวบรวมลำแสงวิญญาณขึ้นมา จากนั้นก็โจมตีไปที่ไข่มุกกลางอากาศ
ฉับพลันนั้นไข่มุกขนาดใหญ่ก็แผ่กลิ่นหอมประหลาดออกมา
มังกรสี่ตัวและหงส์สี่ตัวที่กำลังเริงระบำอยู่เหนือเมฆหมอกก็ร่อนลงมา ประสานกันวนล้อมรอบไข่มุกแล้วเปล่งเสียงร้อง
ครู่ต่อมามังกรทั้งสี่และหงส์ทั้งสี่พลันตัวเล็กลงเรื่อยๆ สุดท้ายก็กลายเป็นลายมังกรและหงส์ปรากฏขึ้นบนไข่มุก
ไข่มุกในยามนี้เปล่งแสงสดใส เป็นประกาย ราวกับน้ำตาเม็ดโตหยดหนึ่ง
“น้ำตาไข่มุก ศิษย์น้องหญิง สมบัติชิ้นนี้น่าจะสร้างขึ้นมาคู่กัน” เยี่ยเทียนหยวนเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา
“น่าจะกระมัง” มั่วชิงเฉินเม้มปาก
ไข่มุกหมุนวนชั่วครู่ ก็บินไปทางประตูใหญ่ จมหายเข้าไปในประตูหยกสีขาวทั้งสองบาน ลำแสงพลันปรากฏขึ้น ส่งเสียงหนักอึ้งออกมา
ทั้งหกคนจ้องเขม็งไปที่ประตูใหญ่ รอจนประตูใหญ่เปิดเสร็จ ซีอวิ๋นเจินจุนก็เดินออกมา
ฉับพลันนั้นช่านหรานเจินจุนก็หันกลับไปมองจุดที่ไกลออกไปแล้วเอ่ยว่า “ศิษย์พี่เจ้าสำนัก ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดเหล่านั้นมากันแล้ว”
“ปล่อยพวกเขาเถิด ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดนับพันคนเหลือเพียงไม่กี่สิบคน ก็คงเป็นวาสนาของพวกเขาแล้ว หนีไม่พ้น” ซีอวิ๋นเจินจุนก้าวเข้าไปโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมา ขยับแขนเสื้อโดยไม่สนใจจะตรวจสอบเลยสักนิด
ที่เหลือทั้งห้าคนเองก็ก้าวเข้าไป ผู้ใดก็ไม่รู้สึกว่าซีอวิ๋นเจินจุนทิ้งตัวอักษรเอาไว้สองสามคำที่ประตูใหญ่ว่า ‘อย่าละโมบ รีบจากไป’