บทที่ 408 พ่อตาและบุตรเขยปรึกษาหารืองานราชการ

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 408 พ่อตาและบุตรเขยปรึกษาหารืองานราชการ
หนานกงเย่กล่าวอย่างราบเรียบ:“พระชายาตวน”

“พระชายาตวน?” ฉีเฟยอวิ๋นไม่ได้แปลกใจมากนัก ถึงอย่างไรอวิ๋นหลัวฉวนเกินในตระกูลนักรบ และนางก็เป็นคนของจวนกั๋วกง ไม่เพียงแต่เป็นหลานสาวที่กั๋วกงอาวุโสรักมากที่สุดเท่านั้น แต่ยังเป็นผู้ที่อุปถัมภ์ค้ำชูจวนกั๋วกงด้วย ไม่น่าแปลกใจเลยที่เป็นนาง

แต่เมื่อนึกถึงอวิ๋นหลัวฉวนขึ้นมา ฉีเฟยอวิ๋นก็ยังคงส่ายหัวอย่างรู้สึกไม่สบายใจ

“ท่านอ๋องทรงไม่ได้ล้อเล่นใช่หรือไม่เพคะ?” ฉีเฟยอวิ๋นขึ้นไปบนเตียง หนานกงเย่ลุกขึ้นไปหยิบองุ่นหนึ่งลูกให้นางกิน ในช่วงเวลานี้หากดื่มน้ำมากเกินไปจะไม่ดีต่อร่างกายของนาง หนานกงเย่จึงไม่กล้าที่จะให้ฉีเฟยอวิ๋นดื่มน้ำมากเกินไป แต่ดูเหมือนว่านางจะกระหายน้ำ ดังนั้นจึงทำได้เพียงให้นางกินองุ่นหนึ่งลูกเพื่อให้ลำคอชุ่มชื้น

ฉีเฟยอวิ๋นอ้าปากและหนานกงเย่ก็ใส่องุ่นเข้าไปในปากของนาง จากนั้นก็ขึ้นไปนั่งลงบนเตียงและกอดกัน

“ดูเหมือนข้าล้อเล่นงั้นหรือ ในเมืองหลวง ตระกูลไหนกันที่มีคนวัยหนุ่มสาวที่มีความสามารถในการสู้รบ คนที่ข้านึกได้ก็มีเพียงแค่นาง แม้ว่านางจะยังอายุน้อย แต่นางเป็นคนใช้กำลังทหารได้ยอดเยี่ยมมากจริง ๆ อย่าดูถูกจวิ้นจู่น้อยของตระกูลอวิ๋นเชียวนะ นางเป็นผู้ที่เหมาะสมที่สุดในสายตาของข้า แต่หากนางไปเป็นผู้นำทัพเพียงลำพัง เกรงว่าจะมีคนที่ไม่ยอมรับ ถึงอย่างไรนางก็ยังอายุน้อยและด้อยประสบการณ์ อีกอย่างนางก็เป็นจวิ้นจู่ที่ตระกูลอวิ๋นห่วยใยมากที่สุด

แต่ก่อนข้าอยากจะให้นางออกไปฝึกเป็นเวลาหนึ่งปี แต่แค่สามเดือนก็เพียงพอแล้ว และปล่อยให้นางได้เข้าร่วมสงคราม ตามความเข้าใจของข้า พระชายาตวนจะต้องมีความดีความชอบในการรบอย่างแน่นอน ในตอนนั้นข้าพูดเพียงแค่ประโยคเดียวว่านางสามารถไปเป็นผู้นำทัพได้หรือไม่

แต่ไม่คิดว่าพระมเหสีหวาจะเตรียมการไว้นานแล้ว”

“ท่านอ๋อง หรือว่านางเป็นผู้ที่ได้เลือกให้มาเป็นพระชายารองของพระองค์?หม่อมฉันจำได้ พระองค์ยังแสร้งทำเป็นจำไม่ได้อีก”

“ไม่ใช่ว่าข้าจำไม่ได้ ข้าจำได้ แต่หากอวิ๋นอวิ๋นจะพูดถึงใครสักคนที่มีความสามารถในตระกูลอวิ๋น และหากพูดว่าใครที่มีความสามารถมากพอที่จะทำหน้าที่แทนกั๋วกงอาวุโสได้ ข้าจึงนึกถึงนาง”

“เช่นนั้นหมายความว่ามีคนพูดถึงนางกับท่านอ๋อง ท่านอ๋องทรงเต็มใจ?”

“อวิ๋นอวิ๋น เจ้าอยากจะโต้เถียงกับข้างั้นหรือ?”

“เป็นเช่นนั้นหรือไม่เพคะ?”

สีหน้าของฉีเฟยอวิ๋นดูเคร่งขรึม หนานกงเย่ส่ายหัว:“ข้าไม่เคยคิดเลย เพียงแต่เมื่อมองไปในเมือง ไม่มีใครที่เหมาะสมที่สุดให้ข้าเลือก แม่ทัพผู้นี้ถูกจัดสรรให้ดีที่สุด และข้ามองว่าแม่ทัพในเมืองหลวงนั้นมีไม่มาก และผู้ที่จะเห็นหน้าที่สำคัญนั้นมีเพียงไม่กี่คน ส่วนคนนั้น?”

หนานกงเย่ลังเล ฉีเฟยอวิ๋นจึงถามว่า:“ใครกันเพคะ?”

“จงชินอ๋อง”

“เขา?”

ฉีเฟยอวิ๋นไม่เข้าใจ หนานกงเย่ยิ้มเยาะ:“จงชินอ๋องเป็นผู้ที่เก่งทั้งบุ๋นทั้งบู๊ หากเขาสามารถจงรักภักดีต่อฝ่าบาทได้อย่างแท้จริงก็คงจะเป็นเรื่องดี และเขาสามารถช่วยเป็นแม่ทัพใหญ่ได้ แต่น่าเสียดายที่เขาเป็นราชนิกุล และสิ่งที่ข้าคิดก็กลายเป็นเรื่องไร้สาระ”

“ดูเหมือนว่าเรื่องนี้ท่านพ่อของหม่อมฉันคงต้องไป ท่านอ๋องตวนคงจะไม่ยอมให้พระชายาตวนไป”

“อวิ๋นอวิ๋น ข้ายังไม่ได้ตัดสินใจ เรื่องนี้……ไม่รีบ……”

“ไฟลนก้นแล้วยังไม่รีบอีกหรือเพคะ คนยี่สิบคนได้กลับมาได้เพียงไม่กี่คน หากยังไม่รีบแล้วมาถึงเมืองหลวง หม่อมฉันจะคอยดูว่าพระองค์จะทำอย่างไร?”

ฉีเฟยอวิ๋นเหลือบมองไปที่หนานกงเย่และนอนลง และหนานกงเย่ก็นอนลงเช่นกัน เพียงแต่นอนไม่หลับ

เช้าวันรุ่งขึ้น ฉีเฟยอวิ๋นไปที่จวนแม่ทัพ และเข้าไปหาแม่ทัพฉี

แม่ทัพฉีกำลังฝึกวิทยายุทธ์อยู่ในห้องฝึกซ้อม ฉีเฟยอวิ๋นไม่ได้รบกวนและยืนรออยู่ที่หน้าประตูสักพัก เมื่อแม่ทัพฉีฝึกเสร็จแล้ว นางจึงเดินเข้าไป

“มาแต่เช้า ไม่ใช่ว่าระยะนี้รู้สึกไม่สบายตัวเลยขี้เกียจหรือ?” แม่ทัพฉีมักจะได้ยินมา แม้ว่าเขาจะไม่ได้ไปที่จวนอ๋องเย่ แต่ก็มักจะให้คนไปถามว่าฉีเฟยอวิ๋นสบายดีหรือไม่

เพียงแค่รู้ว่าฉีเฟยอวิ๋นสบายดี เขาก็สบายใจ

เมื่อเห็นว่าบุตรสาวของเขามาแต่เช้าตรู่ แม่ทัพฉีก็รู้สึกไม่สบายใจนิดหน่อย

“มีอะไรทำก็ให้คนมาเรียกพ่อก็ได้ เหตุใดต้องมาที่นี่ด้วยตนเอง ร่างกายของเจ้าเป็นเช่นนี้ เดินไปมาพ่อไม่ค่อยวางใจ และในเมืองหลวงก็ไม่สงบมากนัก พวกคนไม่มีตาเหล่านั้นอยู่ทุกหนทุกแห่ง” หากพบเจอเข้าล่ะ?” แม่ทัพฉีช่วยพยุงฉีเฟยอวิ๋นนั่งลง สองพ่อลูกพูดคุยกัน

“คงจะไม่เจอง่ายเช่นนั้น ยิ่งไม่กว่านั้นคนดีผีคุ้มเจ้าค่ะ และคงจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น ท่านพ่อต้องเชื่อว่าลูกเป็นคนที่มีบุญวาสนา”

“เจ้ามันปากดี พูดอะไรก็ล้วนเป็นเจ้า” แม่ทัพฉีหัวเราะเยาะและยิ้มไม่หุบ

ฉีเฟยอวิ๋นไม่ลังเลและกล่าวว่า:“ท่านพ่อ ข้ามีเรื่องจะพูดกับท่าน”

“เรื่องอะไร?”

ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า:“เกิดเรื่องที่ชายแดนเจ้าค่ะ”

แม่ทัพฉีมองไปที่บุตรสาวและรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็หายไป เขาเป็นแม่ทัพ ไม่มีอะไรที่เขาสนใจมากไปกว่าเรื่องสงครามที่ชายแดน แน่นอนว่าแม่ทัพฉีจริงจังขึ้นมาในทันที

“ก่อนหน้านี้หมอเว่ยไปที่ชายแดน แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีข่าวคราวใด ๆ จากนั้นบุตรเขยก็ไปที่ชายแดนด้วย เหตุใดถึงยังจัดการไม่เสร็จสิ้น?” แม่ทัพฉีไม่ได้ยินการรายงานในท้องพระโรงเลย เรื่องที่รายงานให้ท้องพระโรงก็ถูกบุตรเขยตรวจสอบหมดแล้ว แต่เรื่องที่ชายแดนไม่อาจรายงานได้ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดความวุ่นวาย

พวกเขาไม่ต่อสู้และกลับมา เหล่าราษฎรคงต้องหวาดผวาเป็นแน่

ฉีเฟยอวิ๋นส่ายหัว:“เขาบอกว่ายังเจ้าค่ะ เดิมทีลูกก็คิดว่าเขาจัดการเรียบร้อยแล้ว แต่เมื่อคืนมีคนกลับมายี่สิบคน แต่รอดชีวิตเพียงไม่กี่คน พวกเขามุ่งหน้ามาเพื่อบอกท่านอ๋องว่าการสงครามที่ชายแดนได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว

เมื่อคืนก่อนศัตรูโจมตีเข้ามาในค่ายของเรา แม่ทัพจวินเจิ้งตงได้รับบาดเจ็บสาหัส และค่ายของเราก็ย่อยยับ”

แม่ทัพฉีลุกขึ้นยืน เขาเอามือไพล่หลังและเดินไปรอบ ๆ ห้องฝึกซ้อม สีหน้าของเขาดูเคร่งขรึมและแววตาเป็นประกาย

“อวิ๋นอวิ๋น ท่านอ๋องทรงว่าอย่างไรบ้าง และทรงคิดอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้?” แม่ทัพฉีหันกลับมาถาม

ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า:“ในตอนนี้ไม่มีใครให้เลือก เขาบอกว่าท่านพ่อเป็นเพียงตัวเลือกเดียว แต่เขาไม่สามารถให้ท่านพ่อไปนำทัพออกศึกได้ และกังวลว่าท่านกับข้าจะแยกจากกัน ฉันทำให้ และข้าก็เป็นห่วงเป็นใยท่านพ่อด้วยเจ้าค่ะ”

แม่ทัพฉีมองบุตรสาวอย่างมีความหมายลึกซึ้ง:“อวิ๋นอวิ๋น เจ้ายอมให้พ่อไปหรือไม่?”

“ท่านพ่อ แน่นอนว่าลูกไม่ยอม ท่านอ๋องทรงพิจารณาถึงสิ่งที่ลูกเป็นกังวล แต่ก็ไม่มีใครที่มีความสามารถ และมันก็ใกล้เข้ามาแล้ว

เมื่อชายแดนถูกตีแตก ต้าเหลียงของเราก็สูญเสียคูเมือง เหล่าราษฎรต้องประสบกับภัยสงคราม ความปลอดภัยของข้าเพียงคนเดียว เทียบไม่ได้กับความปลอดภัยของเหล่าราษฎร ”

แม่ทัพฉีพยักหน้า:“อวิ๋นอวิ๋นโตแล้ว เพียงแต่นี่ยังไม่หมดเท่านี้ พ่อกังวลว่าจะมีเรื่องอื่นอีก”

“ท่านพ่อหมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ?”

“อีกเดี๋ยวบุตรเขยมาแล้วค่อยว่ากัน เรื่องการสู้รบ ด้วยวัยของพ่อนั้นดีมาก การที่พ่อฝึกในห้องฝึกซ้อมทุกวัน ไม่ใช่เพื่อปกป้องต้าเหลียงหรือ?หากชายแดนถูกตีแตก เช่นนั้นอวิ๋นอวิ๋นก็จะตกอยู่ในอันตราย พ่อต้องปกป้องต้าเหลียงก่อน จึงจะสามารถปกป้องอวิ๋นอวิ๋นได้”

“ท่านพ่อ……”

ฉีเฟยอวิ๋นขยับตัวและอยากจะร้องไห้ แม่ทัพฉีเหลือบมองฉีเฟยอวิ๋นอย่างไม่อารมณ์:“จะเป็นแม่คนแล้ว อะไรนิดอะไรหน่อยก็จะร้องไห้ และไม่กลัวที่จะส่งผลกระทบต่อหลาน ๆ ของพ่อ”

“ท่านพ่อพูดถูกเจ้าค่ะ”

ฉีเฟยอวิ๋นเช็ดน้ำตา แม่ทัพฉีถอนหายใจ แล้วผลักประตูให้เปิดออก จากนั้นก็สั่งให้คนไปเชิญหนานกงเย่ โดยบอกว่าเขาต้องการจะดื่มเหล้า และอยากให้บุตรเขยมาดื่มเป็นเพื่อน”

คนใช้ในจวนรีบไปเชิญหนานกงเย่

หลังจากนั้นก็สั่งให้คนเตรียมอาหารและเครื่องดื่ม และรอให้หนานกงเย่มา

ไม่นานหนานกงเย่นำเหล้าหนึ่งขวดไปที่จวนแม่ทัพ เมื่อแม่ทัพฉีเห็นขวดเหล้าก็พอใจมาก เขาหัวเราะและเรียกให้คนมาดื่ม

หนานกงเย่นั่งลงและรินเหล้าหนึ่งจอกให้แม่ทัพฉีด้วยความเคารพ:“จอกนี้บุตรเขยเคารพท่านพ่อตา”

แม่ทัพฉีรับจอกเหล้าแล้วดื่ม จากนั้นก็พยักหน้า:“เหล้าดี!”

แม่ทัพฉีวางจอกเหล้าลง เขาถอยออกไปและกล่าวว่า:“ทรงคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องที่จวินเจิ้งตงได้รับบาดเจ็บสาหัสอยู่ที่ชายแดนพ่ะย่ะค่ะ?”

ฉีเฟยอวิ๋นประหลาดใจและครุ่นคิด ก่อนที่จะเข้าใจว่าท่านพ่อของนางหมายความว่าอย่างไร