ราชันสวรรค์แย้มสรวลถอนพระทัยตรัสว่า “เทพซิงจวินลงไปเวียนว่ายมาร้อยชาติ สิ่งที่ประสบมาย่อมมากกว่าคนธรรมดาทั่วไปหลายเท่า วันนั้นตอนส่งเสวียนจีลงไปรับโทษ อยู่ๆ ไป๋ตี้ก็เอ่ยถึงเทพซิงจวิน เทพซิงจวินมีใจผูกพันลึกซึ้งกับเทพธิดาทอผ้า ทุกชาติภพจะต้องมองหาสตรีที่รูปโฉมดังเทพธิดาทอผ้าจึงจะยินยอมแต่งงานกับนาง ดังนั้นแต่ละชาติภพจึงต้องโดดเดี่ยว ไป๋ตี้กล่าวว่า ชาตินี้เจ้าสองคนราวกับมีวาสนาได้พบกันโดยบังเอิญ พบแล้วก็ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร ผู้ใดจะคิดว่าวาจานี้กลับเป็นจริง เจ้าทั้งสองคนได้พบกันก็ตามติดพันผูก แยกๆ จากๆ ในที่สุดชาตินี้เทพซิงจวินก็ได้สมหวังแล้ว”
อวี่ซือเฟิ่งท่าทางเก้อเขิน เทพธิดาทอผ้าก็ดี เทพซิงจวินก็ดี เขาจำอะไรไม่ได้สักอย่าง แต่วันแรกที่ได้เห็นเสวียนจีก็รู้สึกถูกชะตา ต่อมาพอได้อยู่ร่วมกันวันคืน ใจก็ยิ่งจมลึกจนไม่อาจระงับ คิดแล้วก็คงเป็นวาสนากำหนดไว้แล้ว เทพซิงจวินนั่นดูท่าคงลุ่มหลง แต่เขาย่อมหลงรักเพียงความงามของเทพธิดาทอผ้าเพียงผู้เดียว ขอเพียงหน้าตารูปโฉมเหมือนก็พอ หากว่าเขาไม่ลุ่มหลง ไยจึงได้อยู่ตัวคนเดียวโดดเดี่ยวมาทุกภพชาติ เรื่องความรักนี้ ช่างวุ่นวายยุ่งเหยิงสิ้นดี ยากอธิบายแท้
ราชันสวรรค์กล่าวอีกว่า “เทพซิงจวินชาตินี้เป็นปีศาจ ความผิดที่บุกรุกเขาคุนหลุนหนักหนากว่ามนุษย์ธรรมดา มีโทษถึงประหาร เราจึงได้นำเจ้าออกไปก่อน หนึ่ง เพื่อปกป้อง สอง เราเองต้องการดูว่าเทพซิงจวินชาตินี้มีนิสัยเช่นไร เราให้เทพซิงจวินได้เห็นภาพอดีตก็เพื่อต้องการชี้ทางเรื่องนี้ หรือเทพซิงจวินลืมวันที่เสวียนจีมาแดนปรภพวันนั้น วันที่เทพซิงจวินได้พานพบ วันนั้นยากลืมเลือน เทพซิงจวินเวียนว่ายครบกำหนดกำลังจะได้กลับแดนสวรรค์ แต่เพราะวันนั้นได้เจอกันในแดนปรภพ แม้แต่แดนสวรรค์ก็ไม่อยากกลับแล้ว ยังให้คำมั่นสัญญาต่อหน้ามหาเทพโฮ่วถู่ กล่าวคำมั่นสัญญาดังก้องกังวาน ตอนนี้เทพซิงจวินได้สมดังใจหวัง แต่กลับลืมเรื่องก่อนหน้าแล้ว?”
อวี่ซือเฟิ่งท่าทางเก้อเขินงุนงง ได้แต่ทิ้งมือแนบกายกล่าวว่า “จำไม่ได้แล้วจริงๆ ไม่รู้วันนั้นข้าให้คำมั่นสัญญาไว้อย่างไร”
ที่แท้ให้เขาได้ไปเห็นจิตวิญญาณชาติก่อนของเสวียนจีในแดนปรภพ ไม่ใช่ให้เขาเข้าใจเรื่องราวแท้จริงที่เกิด แต่เพื่อให้เขาจำว่าตอนนั้นที่ได้พบนาง ใจเขาตื่นเต้นหวั่นไหวเช่นไร จากนั้นไม่รู้ให้คำมั่นสัญญาอย่างไร จึงได้ขอให้ส่งเขาไปเกิดอีกได้ ครั้งนี้เรื่องราวถูกเปิดเผยต่อหน้าทุกคน ช่างเสียหน้ายิ่ง แม้อวี่ซือเฟิ่งแต่ไรมาเป็นคนไม่แสดงออกทางสีหน้า แต่ครั้งนี้สีหน้าเริ่มแดงก่ำขึ้นมาแล้ว ติดอ่างอึกอัก ไม่รู้ควรทำอย่างไรดี
ราชันสวรรค์แย้มสรวลตรัสว่า “วันนั้นเทพซิงจวินให้คำมั่นสัญญาต่อหน้ามหาเทพโฮ่วถู่และเราว่าจะเป็นมนุษย์อีกสิบชาติ แต่ละชาติจะแต่งเสวียนจีเป็นภรรยา ดังนั้นมหาเทพโฮ่วถู่จึงแกล้งถามเทพซิงจวิน กล่าววาจาไร้หลักฐาน ไยข้าต้องผูกวาสนาคู่ครองนี้ให้เจ้า และยังเล่าเรื่องชาติอดีตของเสวียนจีให้เจ้าฟัง เทพซิงจวินตอนนั้นให้คำมั่นสัญญา หากไม่ได้แต่งเสวียนจีเป็นภรรยา ยอมตกนรกขุมสิบแปดพร้อมนาง ไม่กลับแดนสวรรค์อีก เรากับมหาเทพโฮ่วถู่ซาบซึ้งใจในความจริงใจของเทพซิงจวิน จึงให้เจ้าทั้งสองคนไปเกิดแดนมนุษย์เป็นผู้บำเพ็ญเซียนเหมือนกัน เรื่องแต่งนางเป็นภรรยาล้วนขึ้นกับวาสนา ไม่อาจบังคับได้ บัดนี้เทพซิงจวินมีวาสนาผูกพันกับเสวียนจี ใช่ว่าร้อยชาติเฝ้าปรารถนาได้สมดังหวังหรือ”
อวี่ซือเฟิ่งหันไปมองเสวียนจี นางดูเหมือนจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม สีหน้าท่าทางนี้ทำเอาคนมองแล้วได้แต่ลุ่มหลง พอเห็นเขาจ้องมองนาง ดวงตากลมโตของเสวียนจีก็หลุบลง แอบใช้นิ้วลากผ่านใบหน้าสองที ทำปากพะงาบบอกเขา ความหมายน่าจะว่าที่แท้เขาก็เป็นปีศาจบ้ากามมานานหลายปี แอบหลงใหลนารี แม้แต่อนาคตก็ไม่เอา
อวี่ซือเฟิ่งทั้งโมโหทั้งขัน คิดถึงเรื่องของตนเองชาติก่อนพวกนี้ จริงๆ แล้วไม่ได้เกี่ยวข้องอันใดกับชาติกำเนิดเสวียนจี แต่เกิดเหตุไม่ตั้งใจ ถึงกับเอาเขามาใช้ประโยชน์ในเรื่องนี้ คำว่า ‘ปีศาจบ้ากาม’ คำนี้ คิดแล้วก็คงติดตามตัวเขาไปตลอดชาติ ไม่มีทางแก้ตัวได้อีกแล้ว
ราชันสวรรค์ยังตรัสเรื่องชาติก่อนอวี่ซือเฟิ่งอีกหลายเรื่อง เดิมทำความผิดกิเลสชายหญิงไม่ถึงกับต้องโทษลงไปผ่านเคราะห์ร้อยชาติ แต่เทพซิงจวินก็น่าแปลกตรงที่ถึงตายก็ไม่รับผิด รู้สึกว่าการที่ชายหนุ่มหลงใหลในความงามและสองฝ่ายมีใจให้กันเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ ลืมนึกไปว่าเขากับเทพธิดาทอผ้าไม่ใช่มนุษย์ หากเป็นเทพ คำว่าเรื่องธรรมดาของมนุษย์จะใช้กับพวกเขาได้อย่างไร ตอนเขาเผชิญกับคำตำหนิจากบรรดาเทพรอบกาย สีหน้ากลับไม่แปรเปลี่ยนแม้แต่น้อย คนผู้นี้ดื้อดึงยิ่ง เหมือนกับเสวียนจี
ในเมื่อไม่ยอมรับผิดก็ย่อมต้องเพิ่มโทษหนัก ดังนั้นเขาจึงถูกลงโทษลงไปเกิดร้อยชาติ เริ่มจากเดรัจฉานมา เทพธิดาทอผ้าที่กลายเป็นก้อนหินริมแม่น้ำสวรรค์ไม่เข้าใจในรัก ตอนนั้นที่ถูกเทพซิงจวินแปลงเป็นหนุ่มน้อยมาหยอกเย้านาง นางเองก็ถือเป็นแค่เรื่องแก้เหงา ต่อมาพอเกิดเรื่องเทพซิงจวินถูกลงโทษ น่าจะทำให้นางตกใจ จากนั้นก็ยิ่งเงียบงันพูดจาน้อยลง สุดท้ายเงียบไปตลอดกาล กลายร่างเป็นก้อนหินริมแม่น้ำแดนสวรรค์
เทพซิงจวินลงไปเกิดหลายภพ พอตายลงจิตวิญญาณก็ถูกดึงลงไปแดนปรภพ พอทราบข่าวว่าเทพธิดาทอผ้ากลายเป็นก้อนหิน ทุกคนคิดว่าเขาจะอาละวาดใหญ่ หรือไม่ก็เจ็บปวดร้องไห้ไม่อาจระงับ ผู้ใดจะรู้ว่าเขาเพียงแค่ถอนหายใจยาวกล่าวว่า “ตายแล้วก็ดี เป็นเทพเซียน ผู้ใดจะรู้ว่าความตายแท้จริงรสชาติเป็นเช่นไร สุดท้ายนางโชคดีกว่าข้าอยู่สักหน่อย”
มาจนวันนี้ ทุกคนในแดนปรภพและแดนสวรรค์ล้วนไม่เข้าใจว่าเทพซิงจวินแท้จริงแล้วมีความรักอย่างไรให้กับเทพธิดาทอผ้า เป็นหนึ่งในหัวข้อสนทนาของบรรดาเทพสวรรค์หลังอาหารและยามว่าง ทุกคนพากันวิพากษ์วิจารณ์ ไม่อาจตัดสินถูกหรือผิด
เสวียนจีมองอวี่ซือเฟิ่งกับราชันสวรรค์คุยกันอย่างออกรสออกชาติ ตนเองไม่มีโอกาสแทรกตัวเข้าไปได้ ได้แต่ยืนอึ้ง ไม่ทันระวังอยู่ๆ แขนถูกคนแตะเบาๆ เสียงมกรดังอยู่เหนือศีรษะนางว่า “ไหนเจ้าว่ามีเรื่องคุยกับข้าไม่ใช่หรือ ตอนนี้ว่างแล้ว ว่ามา”
เสวียนจีเห็นท่าทางนิ่งสงบของเขาไม่เหมือนปกติอย่างมาก ในใจก็เริ่มลังเลเล็กน้อย มกรมีความผูกพันกับไป๋ตี้นั้น นางพอรู้มาบ้าง อย่างไรระหว่างนางและเขา หนึ่งเป็นสัตว์ภูต อีกหนึ่งเป็นเจ้านาย อยู่ร่วมกันนานมา ไม่มีอะไรไม่คุยกัน ยามมกรพูดคุย หากไม่ใช่เรื่องอาหารเลิศรสก็จะเป็นเรื่องแดนสวรรค์
พูดถึงแดนสวรรค์ ไป๋ตี้ก็ย่อมเป็นชื่อที่ได้ยินมากที่สุดจากปากมกร ไป๋ตี้เป็นแสงสว่างอันงดงาม ทรงปัญญาและนิ่งสุขุม เป็นหมดทุกอย่าง อะไรก็ไม่ยากเกินความสามารถของเขา เขาเป็นลูกน้องที่ซุกซน มักจะแอบหนีออกมาเที่ยว จงใจฝืนคำสั่งไป๋ตี้ ในเรื่องเล่าเหล่านี้ อย่างน้อยก็ต้องมีน้ำเสียงออดอ้อนเหมือนเด็กน้อยซุกซนที่หวังจะได้รับการใส่ใจจากบิดา ไป๋ตี้ก็ไม่มีเคยทำให้เขาผิดหวัง ไป๋ตี้มักลงโทษเขา ตำหนิดุว่าเขา หากแต่ไรมาไม่เคยโมโหเขาจริงๆ เสียที ทุกคนล้วนว่าไป๋ตี้ลำเอียง ก็เป็นจริงดังว่า
เทพสูงส่งเหนือผู้คนเช่นนี้ แต่ไรมาไม่เคยทำผิดพลาด แต่จริงๆ แล้วได้ทำความผิดพลาดมหันต์ที่สุด แอบซ่อนความลับน่ากลัวที่สุดในใต้หล้าเอาไว้ เรื่องนี้บอกมกรไป เขาจะยอมรับได้หรือไม่
เสวียนจีลังเลไปมา เสียเวลาไปราวสองก้านธูป สุดท้ายจึงได้เล่าเหตุต้นผลกรรมของเรื่องทั้งหมดคร่าวๆ ออกมารอบหนึ่ง กล่าวจบก็เงยหน้าลอบมองมกร เหนือคาด สีหน้าเขาปกติมาก เพียงแค่ซีดลงเล็กน้อย ไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบสนองรุนแรงอะไร
“…แค่นี้?” เขาถามเบาๆ
เสวียนจีพยักหน้า “เรื่องเป็นเช่นนี้ เพราะไป๋ตี้ทำเรื่องเกินเลยกับหลัวโหวจี้ตู ดังนั้นถูกหลัวโหวในโถผลึกแก้วหลิวหลีแก้แค้น สองคนถูกไฟอสูรเผาเป็นเถ้าธุลี”
มกรพยักหน้าตาม กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ข้าเข้าใจแล้ว ดังคาด เป็นไป๋ตี้…ทำผิด ผิดจนแทบไม่น่าเชื่อ…” พอกล่าวจบน้ำตาก็ไหลพราก เขาใช้มือปิดหน้าไว้แน่น สองไหล่สั่นเทิ้มเบาๆ
เสวียนจีอดคิดเข้าไปตบไหล่ปลอบใจเขาสักคำสองคำไม่ได้ แต่พอคิดถึงสถานะตนเอง นางก็เคยคิดสังหารไป๋ตี้ ฉับพลันก็ไม่อาจสรรหาคำปลอบใจอันใดออกมาได้ ได้แต่ถอนหายใจยาว
ไหล่มกรถูกนางแตะโดนก็หดหนี เขากระโดดหลบมือเสวียนจีออกไปไกล
เสวียนจีรู้สึกเก้กังและเสียใจ มองเขาอย่างเสียไม่ได้ มกรถลกแขนเสื้อขึ้นเช็ดหน้าอย่างไม่สนใจภาพลักษณ์ กว่าจะเช็ดน้ำตาหมดก็นาน ขนตายังคงเปื้อนหยดน้ำตา กล่าวน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “ข้าจะอยู่ต่อ พวกเจ้าไปเถอะ”
เสวียนจีตัดใจไม่ลง กล่าวเบาๆ ว่า “เจ้าไม่อยากเจอพวกเราอีกแล้วหรือ จากกันตลอดไปเช่นนี้หรือ”
มกรส่ายหน้า งุนงงเล็กน้อย “ข้าไม่รู้ แต่ตอนนี้ข้าไม่คิดเจอเจ้า”
กล่าวจบ เขาไม่สนใจว่าราชันสวรรค์ยังสนทนากับอวี่ซือเฟิ่งอยู่อีกทาง บินออกนอกตำหนักไปทันที พริบตาก็หายไปท่ามกลางกองซากปรักหักพังทั่วพื้นโดยรอบ เสวียนจีอดคิดจะตามไปไม่ได้ ราชันสวรรค์กลับถอนใจกล่าวว่า “ปล่อยเขาไปเถอะ หลักการใดๆ มีแต่ตนเองที่จะคิดได้เอง คนอื่นพูดมากเพียงใด จริงๆ แล้วล้วนไร้ประโยชน์”
อวี่ซือเฟิ่งประสานมือกล่าวว่า “ราชันสวรรค์ พวกกระหม่อมบุกรุกเขาคุนหลุน…”
เขาเองก็ไม่คิดอยู่ที่นี่ต่อ ที่กล่าวกันว่าหากปล่อยเนิ่นนานไปจะมีเหตุเปลี่ยนแปลงได้ อย่างไรไป๋ตี้ก็ จุติแล้ว แดนสวรรค์ถูกเผาแล้ว ราชันสวรรค์ไม่เอาเรื่องก็เถอะ แต่คนอื่นในแดนสวรรค์กลับมองพวกเขาอย่างโกรธแค้นฝังลึก ชักช้าต่อไปก็คงไม่ได้การ
ราชันสวรรค์ยังไม่ทันรอให้เขากล่าวจบก็ตรัสว่า “เอาเถอะ พวกเจ้ากลับลงไปได้ เรื่องนี้มีอันใดมีโทษ มีอันใดมีความผิด ล้วนเป็นเหตุต้นผลกรรมในวันวาน แดนสวรรค์ทำเองก็ต้องรับเอง”
อวี่ซือเฟิ่งรอประโยคนี้จากปากเขา ยามนี้จึงได้ประสานมือถวายคำนับ ก่อนหันกายคิดจากไป หันกลับไปก็เห็นเสวียนจีอึ้งอยู่กับที่ เขาพลันนึกได้ เข้าใจทันทีว่าอู๋จือฉียังไม่กลับมา การจากกันครานี้ ชาตินี้คงไม่ได้เจอกันอีก ได้แต่รอให้ตายลงไปเจอกันในแดนปรภพ ไปพบปะกันชั่วคราวที่นั่น
ราชันสวรรค์กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “เสวียนจี เป็นมนุษย์เป็นเช่นไร”
เสวียนจีแอบตะลึงไป ตามมาด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย ได้เกิดเป็นมนุษย์อีกครั้ง สิบแปดปีมานี้ขมหวานทุกข์สุขราวกับกะพริบตาแล้วก็ผ่านไป หากว่าทุกข์ย่อมทุกข์ที่สุด มนุษย์อยู่ร่วมกับมนุษย์ก็มักต้องประสบทุกข์ขื่นขม ก็เพราะมีความทุกข์มากมาย ดังเช่นว่าลังเลตัดสินไม่ได้ หรือโดดเดี่ยวเดียวดาย หรือถูกความรู้สึกต่างๆ โหมกระหน่ำจนไม่อาจปล่อยวางได้ ดังนั้นความรู้สึกหวานล้ำในการเป็นมนุษย์จึงเป็นความรู้สึกที่ดื่มด่ำลึกล้ำอย่างที่สุด
เป็นมนุษย์มีเรื่องที่ต้องทุกข์ในแบบมนุษย์ เป็นเทพก็มีความทุกข์ในแบบเทพ วิถีฟ้ากำหนดไว้ว่าสิ่งที่ขาดหายย่อมมีสิ่งที่ทดแทน เรื่องที่สมบูรณ์ไร้ที่ติแต่ไรมาไม่เคยมีอยู่จริง แต่อย่างน้อยจากนี้ไปนางก็ไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไปแล้ว
นางพยักหน้า ยิ้มกล่าวว่า “เป็นมนุษย์ดีมาก ดีอย่างที่ไม่เคยได้รับรู้มาก่อน”
ราชันสวรรค์จึงสบายพระทัยตรัสว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นก็ไปเถอะ”
เสวียนจีเดิมคิดรออู๋จือฉีกลับมาค่อยกล่าวอำลา แต่ยามนี้ดูท่ารอไม่ไหวแล้ว นางกับอวี่ซือเฟิ่งได้แต่ประสานมือคำนับราชันสวรรค์ เทพแดนสวรรค์ต่างพากันมองอย่างโมโห พวกนางออกจากเขาคุนหลุนไปท่ามกลางซากปรักหักพังทั่วบริเวณ