บทที่ 59 ทดสอบ NewNovel
บทที่ 59
ทดสอบ
“แล้วท่านอยากจะพนันกับอะไรล่ะ?”
ต่อหน้าสาธารณชนที่กำลังจ้องมองมา ตงเหรินนั้นถอยไม่ได้อยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นตัวเขาเองก็คิดว่าเย่เย่แค่จะอวดเบ่งเสียด้วยซ้ำ ดังนั้นเขาจึงถามออกไปเช่นนั้นโดยไม่ลังเล
“พนันว่าของของใครมีค่ามากกว่ากัน! ใครแพ้ก็เสียของที่จะนำมาประมูลทั้งหมดให้แก่คนชนะ ท่านกล้าหรือเปล่า?”
เย่เย่เองก็ไม่ได้รู้ค่าของผงทองคำแท้นี่น้อยไปกว่าคนอื่นนักหรอก ดังนั้นเขาจึงเล็งเป้าหมายไปที่ผงทองที่ตงเหรินนำมาโดยตรง และดังหวัง ตงเหรินนั้นแสยะยิ้มอย่างเหยียดหยามจากนั้นเขาก็ตอบตกลงอย่างมั่นอกมั่นใจกับสิ่งที่เย่เย่เสนอ
“เอาสิ! ข้าจะพนันกับท่านสักครั้งหนึ่งก็ได้! ถึงแม้ว่าข้าอาจจะไม่ได้สิ่งตอบแทนที่สมน้ำสมเนื้อ แต่พอคิดว่าจะได้มอบบทเรียนให้แก่ท่านบ้างมันก็คุ้มค่าอยู่ หอการค้าหยูเย่ของท่านจะได้ไม่มาวุ่นวายกับหอการค้าของพวกเราอีก!”
บรรยากาศ ณ ตอนนี้เริ่มจะระอุขึ้นมาแล้วหลังทั้งสองตกลงที่จะเริ่มพนันกัน ทางด้านหอการค้าอื่นๆเองต่างก็ไม่เชื่อว่ามูลค่าของสิ่งที่เย่เย่นำมาประมูลนั้นจะมีค่ามากกว่าผงทองได้ เหตุผลเดียวที่เย่เย่พูดถึงขนาดนี้ก็เพราะว่ากลัวเสียหน้าเท่านั้นแหละ
กระนั้นแล้วพวกเขาก็ยังงุนงงอยู่ว่าทำไมคนเช่นเย่เย่นี้ถึงทำให้เสวี่ยหยูชื่นชอบลงได้
บนใบหน้าของเย่เย่นั้นมีรอยยิ้มจางๆปรากฏขึ้น เขานั้นไม่ได้สนใจสายตาคนรอบข้างที่มองมาเสียเท่าไหร่ ในเมื่อข้อตกลงเป็นอันเรียบร้อยแล้ว เขาจึงค่อยๆเปิดห่อวัสดุของเขาออกมาช้าๆ และสิ่งที่อยู่ภายในนั้นก็คือรองเท้าเรียบๆ 1 คู่เท่านั้น
“รองเท้าคู่นี้คือของที่ท่านนำมาประมูลงั้นเหรอ? ฮ่าๆๆๆ! ช่างยิ่งใหญ่เสียจริงๆนะ!”
ขณะที่เย่เย่กำลังเปิดห่อวัสดุช้าๆนั้น ตงเหรินก็แอบเครียดขึ้นมานิดหน่อย เขากลัวว่าสิ่งที่อยู่ในนั้นจะเป็นสิ่งที่สามารถโค่นผงทองคำของเขาได้จริงๆในตอนท้าย ทว่าเมื่อสิ่งที่อยู่ภายในห่อวัสดุนั้นเป็นเพียงรองเท้าคู่หนึ่ง ตงเหรินก็กลับมาหายใจได้ทั่วท้องอีกครั้งทันทีและไม่สามารถอดที่จะหัวเราะได้
“นี่ท่านคิดว่ารองเท้าคู่นี้จะมีค่ามากกว่าผงทองงั้นเหรอ? ช่างเขลานัก!”
“ให้ตายเถอะ นี่คิดว่างานประมูลของพวกเราเป็นร้านขายของชำหรืออย่างไรน่ะ?”
“นายหญิงเสวี่ยหยู ท่านตงเหริน ข้าเห็นด้วยนะถ้าพวกท่านจะขับไล่ท่านเย่ออกไปและอย่าให้เขาได้ร่วมประมูลกับพวกเราอีก ขืนเป็นแบบนี้งานประมูลของพวกเราได้เสื่อมเสียชื่อเสียงกันพอดี!”
เพราะเย่เย่นั้นเพิ่งจะหาห่อวัสดุเพื่อมาห่อรองเท้าเทพวายุตอนที่เสวี่ยหยูไปหาเพื่อจะพาตัวมาที่นี่พอดี มันเลยกลายเป็นว่าเขาไม่ได้ใส่ใจกับสิ่งที่ห่อมันมามากนัก อนึ่งจะบอกว่าเขาไม่ได้ใส่ใจกับงานประมูลนี้มากนักก็ไม่เชิง แต่คนเหล่านี้น่ะไม่คิดหรอกว่ารองเท้าคู่นี้มีอะไรดีกว่าที่เห็นเยอะ
จากสิ่งที่เห็นด้วยตาในตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นห่อวัสดุที่เตรียมมา หรือแม้แต่ของที่ถูกห่อมานั้น ไม่ว่าอย่างไรมันก็ดูจะธรรมดาเสียยิ่งกว่าธรรมดาซะอีก ดังนั้นแล้วการที่ประธานหอการค้าแต่ละแห่งจะมองว่าเย่เย่นั้นมาหลอกพวกเขามันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร พวกเขามองเย่เย่เป็นศัตรูกันหมดจนอยากจะไล่ออกไปจากงานตั้งแต่ตอนนี้เลย
แม้แต่เสวี่ยหยูผู้ที่มั่นใจในตัวเย่เย่อยู่ตลอดเองก็ยังรู้สึกประหลาดใจ
นางเองก็ยังไม่เห็นว่ารองเท้าในมือเย่เย่นั้นจะมีอะไรแตกต่างจากรองเท้าคู่อื่นๆเช่นกัน แถมเย่เย่ยังไม่ได้พกยาวิเศษอย่างอื่นติดตัวมาอย่างที่นางคาดไว้อีกด้วย เพราะงั้นแล้วในตอนนี้สีหน้าของเสวี่ยหยูจึงดูจะแอบผิดหวังนิดๆหน่อยๆ
ทว่าเย่เย่นั้นไม่ได้พูดอะไรมาก เขามองไปยังความวุ่นวายโดยรอบก่อนจะพูดกับชายวัยกลางคนคนหนึ่งที่ดูจะมีวรยุทธ์มากกว่าคนอื่นๆนอกจากตัวเขา
“ข้าคิดว่าวรยุทธ์ของท่านน่าจะอยู่ในระดับจ้าววรยุทธ์แล้ว ดังนั้นท่านน่าจะสามารถดึงพลังบางส่วนของรองเท้าเทพวายุคู่นี้ออกมาได้ ถ้ายังไงข้าอยากให้ท่านได้ลองสวมมันและแสดงให้พวกเราได้เห็นทีว่ารองเท้าคู่นี้ต่างจากรองเท้าธรรมดาอย่างไร”
ชายวัยกลางคนผู้นี้มีนามว่า หลินเฉิง และเมื่อโดนเอ่ยขอเช่นนี้ตัวเขาก็ไม่ได้ปฏิเสธที่จะลิ้มลองของสิ่งนี้ด้วย
เขาเดินไปกลางห้องด้านหลังเวทีนั้นก่อนจะสวมรองเท้าเทพวายุลงไป
ทันทีทันใดที่ได้สวม สีหน้าของหลินเฉิงก็แสดงให้เห็นถึงความประหลาดใจเล็กน้อย คราวนี้เขาเริ่มเคลื่อนไหวดูบ้างและมันก็กลายเป็นว่าร่างของเขานั้นพุ่งตรงไปยังทิศทางที่เคลื่อนที่อย่างรวดเร็วจนปะทะเข้ากับเสาตรงหน้าอย่างจัง
“หลินเฉิง เกิดอะไรขึ้นน่ะ?”
“ทำไมเจ้าถึงได้วิ่งได้เร็วเช่นนี้? นี่ไม่ใช่ความเร็วระดับจ้าววรยุทธ์แล้วนี่?”
“หลินเฉิง อย่าเพิ่งแกล้งตาย ตื่นขึ้นมาแล้วอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ก่อน!!”
ท่ามกลางความตกใจและความร้อนใจที่เกิดขึ้น ในที่สุดหลินเฉิงก็ค่อยๆลุกขึ้นมาจากพื้น ทว่าแววตาของเขานั้นเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและเหลือบลงไปมองรองเท้าเทพวายุด้วยความโลภ
อย่างไรก็ตาม เพราะการมีตัวตนของเย่เย่ที่อยู่ในระดับเทพยุทธ์นั้นทำให้ต่อให้หลินเฉิงมีความกล้าและไม่กลัวอันตรายขนาดไหน เขาก็รู้ดีว่ายังไงก็หนีเย่เย่ไม่พ้นอย่างแน่นอน ดังนั้นเขาจึงได้แต่ถอนหายใจด้วยความเศร้าและส่งรองเท้าคู่นี้คืนเจ้าของไปก่อนจะประกาศให้ทุกคนได้รู้ถึงความรู้สึกของตนเอง “ถ้าข้าคาดการณ์ไม่ผิด รองเท้าคู่นี้คือสมบัติสุดวิเศษของเทพยุทธ์สินะ? เมื่อข้าได้สวมใส่มัน ข้าจึงสามารถวิ่งได้เร็วกว่าปกติถึง 2 เท่าเลย!”
สิ้นเสียงหลินเฉิง บรรยากาศที่หลังเวทีนั้นก็วุ่นวายขึ้นมาอีกทันที ทุกๆคนที่เห็นนั้นต่างไม่เชื่อในคำพูด ตงเหรินที่ดูจะไม่เชื่อสุดๆนั้นถึงกับตั้งคำถามกับหลินเฉิงไปตรงๆ “หลิงเฉิง เจ้าไม่ได้สมรู้ร่วมคิดกับเย่เย่เพื่อที่จะหวังฮุ้บผงทองของข้าอยู่ใช่หรือเปล่า?”
“ท่านตง หามิได้ขอรับ! ข้าเพียงแค่พูดความจริง หากท่านไม่เชื่อ ทางจะให้คนอื่นลองแทนข้าก็ได้!”
ถึงแม้ว่าวรยุทธ์ของหลินเฉิงนั้นจะสูงกว่าตงเหรินอยู่บ้าง ทว่าเขาก็ไม่ได้อยากจะเป็นศัตรูกับตงเหรินตอนนี้หรอก ดังนั้นเมื่อได้ยินว่าอีกฝ่ายสงสัย เขาจึงรีบยิ้มแล้วอธิบาย
ตงเหรินหันกลับไปมองเย่เย่ผู้ที่กำลังยิ้มและพยักหน้าให้เขาเพื่อแสดงความยินยอมหากเขาอยากจะทดสอบพลังของรองเท้าเทพวายุ
“ได้! ถ้าเช่นนั้นข้าจะทดลองมันด้วยตนเอง จะได้รู้กันไปเลยว่ารองเท้านี่มันวิเศษเหมือนดั่งที่หลินเฉิงพูดหรือเปล่า”
ในแววตาของตงเหรินนั้นมีร่องรอยของความชั่วร้ายแอบแฝงอยู่ ไม่ว่ารองเท้าคู่นี้จะสามารถมอบความเร็วระดับเทพยุทธ์ให้ได้จริงหรือไม่ แต่เขาก็จะทำให้มันไม่มีผลอะไรให้ได้
ทว่ารองเท้าจ้าววายุนั้นถือเป็นของที่เหมาะสมสำหรับเทพยุทธ์เท่านั้น มันจึงเป็นสิ่งที่เหล่าจ้าววรยุทธ์ควบคุมได้ยากมากๆ แล้วยิ่งตงเหรินนั้นไม่ได้แข็งแกร่งเท่ากับหลิงเฉิงและการควบคุมคลื่นพลังในตัวก็อยู่ในระดับต่ำ ดังนั้นแล้วทันทีที่เขาสวมรองเท้าเทพวายุลงไป เขาก็พุ่งเข้าใส่กำแพงตรงหน้าอย่างจัง
*ตู้ม!*
ด้วยความที่เขายังคุมความแข็งแกร่งของตนเองไม่ได้ แรงปะทะที่เกิดขึ้นจึงทำให้กำแพงผู้เคราะห์ร้ายนั้นเป็นรูทะลุรูปมนุษย์เลย ภาพนี้ทำให้เกือบจะทุกคนในที่แห่งนี้ต่างพากันตกตะลึง พวกเขาหมดความสงสัยในคำพูดหลินเฉิงกันหมดแล้ว
สีหน้าของพวกเขาเหล่านี้เปลี่ยนเป็นตื่นเต้นและโลภในรองเท้าคู่ที่อยู่ที่เท้าของตงเหรินแทน นอกจากนี้ข้อสงสัยเรื่องมูลค่าของรองเท้าคู่นี้กับผงทองของตงเหรินก็ถูกขจัดหมดไปแล้วด้วย
“ช่างเป็นสมบัติที่เลอค่ายิ่งนัก! มันต้องเป็นของที่ปรมาจารย์ศาสตราวุธสร้างมันเอาไว้แน่ๆ!”
“ท่านเย่ช่างโชคดีจริงๆที่ได้สมบัติล้ำค่าเช่นนี้มา!”
“บางทีมันอาจจะถูกประมูลไปไม่ต่ำกว่า 500,000 เหรียญทองก็ได้นะ!”
“แค่ครึ่งล้านเองเหรอ? ขี้เหนียว ข้าน่ะคิดว่าขั้นต่ำมันต้อง 600,000 เหรียญทองแล้ว!”
หลังจากที่พวกเขาถกเถียงกันเสร็จแล้ว ตงเหรินก็ค่อยๆเดินออกมาจากในกำแพงนั้น ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร แต่ก็นับว่าเสียหน้ามากอยู่ เขายื่นรองเท้าเทพวายุคืนให้แก่เย่เย่โดยไม่ได้พูดอะไร นอกจากนั้นเขายังส่งต่อขวดที่บรรจุผงทองของเขาให้แก่เย่เย่อีกด้วย
“รับของเดิมพันไป ข้ายอมรับในความพ่ายแพ้ครั้งนี้! แต่จำไว้เลยว่าเจ้าก็แค่โชคดี!”
แต่เดิมแล้วตงเหรินวางแผนไว้ว่าจะใช้ผงทองคำแท้นี้เข้าร่วมประมูลเพื่อให้เกิดเสียงฮือฮา แต่ไม่คาดคิดเลยว่าเขาจะต้องมาเสียสมบัติสุดภาคภูมิใจตั้งแต่การประมูลยังไม่เริ่มแบบนี้
ตอนนี้ผงทองถูกส่งต่อไปยังมือเย่เย่แล้วสำหรับการประมูลที่กำลังจะเริ่ม ดังนั้นแล้วตงเหรินในตอนนี้จึงทำอะไรไม่ได้นอกจากร้องไห้เป็นสายเลือดอยู่ในใจเท่านั้น
“ฮ่าๆๆ ท่านตงนี่คำไหนคำนั้นจริงๆ ข้าขอชื่นชม”
เย่เย่เหมือนได้รับลาภชิ้นใหญ่เลย เอาจริงๆเขาก็ไม่ได้คิดมากอยู่แล้วหากตงเหรินจะไม่ทำตามสัญญา หลังจากที่ได้ผงทองคำแท้มาแล้ว เขาก็เก็บรองเท้าเทพวายุกลับเข้าไปในผ้าห่อดังเดิมจากนั้นก็หันไปพูดคุยพร้อมกับหัวเราะกับเสวี่ยหยูราวกับเมื่อครู่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เสวี่ยหยูนั้นเป็นพยานให้กับเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างเย่เย่และตงเหรินด้วยตาของนางเอง และนี่ก็ยิ่งทำให้นางสนใจในตัวเย่เย่มากขึ้นไปกว่าเดิมอีก
ถึงแม้ว่าคนอื่นๆ ณ ที่แห่งนั้นจะไม่รู้ แต่ตัวเสวี่ยหยูนั้นรู้ดีว่าตัวเย่เย่นั้นมียาวิเศษมากมายขนาดไหนอยู่ในมือ กระนั้นครั้งนี้มันกลับผิดคาดที่เย่เย่ไม่พกยาวิเศษมาเลย ไม่แม้แต่จะเป็นสิ่งของที่เกี่ยวข้องอีกด้วย กระนั้นก็ยังสามารถแก้ปัญหาที่เกิดจากตงเหรินและคนอื่นๆได้ สิ่งนี้มันทำให้เสวี่ยหยูตกใจจริงๆ
“ท่านต้องระวัง ตงเหรินน่ะเป็นพวกไม่รามือง่ายๆ ในเมื่อท่านชนะเขาในครั้งนี้แล้ว เขาไม่ยอมท่านแน่ๆ”
นางเดินเข้ามากระซิบกระซาบข้างๆเย่เย่โดยหวังว่าอนาคตนั้นนางจะมีโอกาสพัฒนาความสัมพันธ์ของทั้งตัวนางเองและเย่เย่ให้มากไปกว่านี้ ซึ่งแม้มองจากสถานการณ์ของหอการค้าหยูเย่ ณ ปัจจุบันจะดูไม่สู้ดี แต่นางก็เชื่อใจในตัวเย่เย่ว่าเขาจะต้องจัดการเรื่องนี้ได้อย่างแน่นอน ราวกับว่าไม่มีอะไรที่เป็นเรื่องยุ่งยากสำหรับเขา
“ไ่ม่ต้องเป็นห่วงไป เขาทำอะไรข้าไม่ได้หรอก”
เย่เย่พยักหน้ารับและขอบคุณในความหวังดีของนาง อย่างไรก็ตามเย่เย่นั้นไม่เคยมองตงเหรินเป็นศัตรูอยู่แล้ว นอกจากนั้นเขายังผ่อนคลายมากๆแม้สถานการณ์จะเป็นเช่นนี้อีกด้วย ซึ่งในขณะเดียวกัน ตงเหรินที่หันมาเห็นเสวี่ยหยูดูสนิทแนบชิดกับเย่เย่ขนาดนี้ มันก็ยิ่งทำให้เขาหนักใจขึ้นมาอีก
อย่างไรก็ตาม ตงเหรินนั้นเป็นคนดำเนินงานการประมูลร่วมครั้งนี้ นอกจากนั้นเขาก็เตรียมทุกอย่างเพื่องานนี้อยู่แล้วด้วยจุดประสงค์บางอย่าง ดังนั้นเมื่อเห็นว่าอีกไม่นานงานประมูลก็จะเริ่มแล้ว เขาจึงไม่เสียเวลาและรีบเรียกรวมทุกคนทันที
“สถานการณ์ของหอการค้าพวกเราที่ไม่สู้ดีนั้น ถ้ายิ่งปล่อยให้มันหนักขึ้น มันก็จะยิ่งสร้างความกดดันให้พวกเรามากขึ้นเรื่อยๆ หากพวกเราอยู่เฉยๆโดยที่ไม่ทำอะไร สักวันหนึ่งเราก็จะค่อยๆแตกสลายกันไปทีละแห่งๆ ดังนั้น ตอนนี้มันถึงเวลาที่เราจะต้องรวมกันเป็นหนึ่งจริงๆแล้ว!”
เมื่อทุกคนมารวมตัวกันที่ตงเหรินแล้ว เขาก็สลัดสีหน้าเศร้าสร้อยที่เสียผลประโยชน์จากการพนันเมื่อครู่ไปและเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นพร้อมกับพูดอย่างหนักแน่นกับทุกๆคนทันที
“ท่านตงพูดถูกแล้ว!”
“พวกหอการค้าขนาดใหญ่พวกนั้นทิ้งห่างเราไปไกลแล้ว พวกเขาไม่คิดจะเห็นหัวพวกเราบ้างเลย!”
“ท่านตง อยากจะพูดอะไรก็พูดมาได้เลยครับ พวกเขาจะฟังท่านเอง!”
หลังจากที่ได้ยินคำพูดของตงเหรินที่ทำให้ตื่นเต้นและปลุกใจแล้ว เหล่าหอการค้าที่มารวมตัวกันในวันนี้ต่างก็กระปรี้กระเปร่าอยากจะสู้กับพวกหอการค้าขนาดใหญ่ขึ้นมาทันที
อย่างไรก็ตาม มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ไม่ได้พูดอะไร นั่นเพราะพวกเขาเหมือนจะพอเดาได้ว่าตงเหรินจะพูดอะไรต่อจากนี้
และใช่ เมื่อตงเหรินเห็นว่าหลายๆคนตอบรับเขา สีหน้าของเขาก็ดูจะตื่นเต้นมากกว่าเดิมเสียอีก
ตงเหรินอ้าแขนกว้างก่อนจะพูดขึ้นกับทุกคน “พวกเราไม่ควรดำเนินกิจการต่อด้วยความเงียบ ดังนั้นข้าจะแนะนำให้พวกท่านรวมตัวกันเป็นหอการค้าขนาดกลาง ซึ่งแบบนี้ต่อให้พวกเราจะเทียบเท่าหอการค้าขนาดใหญ่ได้ก็จริง แต่อย่างน้อยๆเราก็มีเกราะไว้คุ้มกันความมั่นคงของตัวเองกันบ้าง”
“รวมกันเป็นหอการค้าขนาดกลางหรือ?”
“นี่…ทำได้จริงๆงั้นเหรอ?”
“หลังจากที่รวมกันเป็นหอการค้าขนาดกลางแล้ว พวกเรายังมีสิทธิ์ครอบครองอะไรได้หรือเปล่า? ถ้าหากไม่ สู้เราปล่อยให้หอการค้าขนาดใหญ่มาผนวกไปไม่ดีกว่าเหรอ!”
เมื่อได้ยินคำแนะนำของตงเหริน ภาพตรงหน้าก็หยุดชะงักลงราวกับเวลาหยุดเดิน ถึงแม้ว่าเหล่าประธานหอการค้าขนาดเล็กแต่ละแห่งในที่แห่งนี้จะอยากร่วมมือกันเพื่อฟันฝ่าอุปสรรคขนาดไหน แต่พวกเขาก็รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากทำตามที่ตงเหรินพูด เพราะงั้นแล้วพวกเขาจึงหยุดพูดกันไปในทันที