ตอนที่ 638 อัญเชิญสังหารหมู่

พันธกานต์ปราณอัคคี

กำแพงถ่ายทอด มีอีกชื่อหนึ่งว่ากำแพงคันฉ่องวาสนา เป็นโลกแห่งจิตวิญญาณของผู้บำเพ็ญเพียรผู้มากความสามารถ เมื่อเข้าไปในกำแพงคันฉ่อง จะพบกับอะไร จะเป็นรูปแบบใดที่ต้องเรียนรู้ เรียนรู้แล้วอย่างไร ยามใดถึงจะออกมาได้ ทุกคนล้วนไม่เหมือนกัน ล้วนอาศัยเพียงคำว่าวาสนาคำเดียว

วิธีการเข้าสู่กำแพงถ่ายทอดนั้นง่ายดายมาก ขอแค่ใช้มือกดที่ไปกำแพง สัมผัสการมีอยู่ของกำแพงอย่างช้าๆ โคจรจิตวิญญาณให้สอดคล้องกับกำแพงถ่ายทอดก็พอแล้ว

เมื่อเห็นพวกซีอวิ๋นเจินจุนทยอยกันยื่นมือไปที่กำแพง เยี่ยเทียนหยวนก็จูงมือมั่วชิงเฉิน “ศิษย์น้องพวกเราเข้าไปด้วยกันเถิด”

มั่วชิงเฉินพยักหน้า

มือกดไปบนกำแพง ชั่วพริบตานั้น คาดไม่ถึงว่าจะมีกลิ่นอายเย็นเยียบส่งมา กลิ่นอายเย็นเยียบนี้ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าของแดนนี้ทิ้งไว้ แต่เหมือนกับผ่านมาเนิ่นนานแล้ว กำแพงจึงมีรัศมีวิญญาณของตนเอง ความเห็นอกเห็นใจ ความอบอุ่น ความมั่นคงดำรงอยู่ในนั้น หมื่นพันปีไม่เปลี่ยนแปลง

มั่วชิงเฉินค่อยๆ ไม่ได้ยินเสียงหัวใจตัวเอง ร่างทั้งร่างดูเหมือนว่าจะกลายเป็นประกายแสงวิญญาณ ไร้น้ำหนัก ค่อยๆ จมหายเข้าไปกำแพงคันฉ่อง

ปราณสังหารพลันพุ่งเข้ามาโจมตี ราวกับมือใหญ่ข้างหนึ่ง บีบไปที่คอหอยของมั่วชิงเฉินอย่างแรง ทำให้นางหายใจไม่ออก

“ศิษย์พี่!” มั่วชิงเฉินหันหน้าไปอย่างยากลำบาก มองหาเงาร่างของเยี่ยเทียนหยวน

เสียงแหวกอากาศดังขึ้น มือของคนที่มองเห็นใบหน้าไม่ชัดเจนถือกริชแทงมาที่นาง

มั่วชิงเฉินคิดจะหลบหลีก แต่กลับพบว่าถูกปราณสังหารไร้รูปร่างบีบคอเอาไว้ จึงแทบไม่อาจควบคุมร่างกายได้

เสียง ฉึก ดังขึ้น กริชพลิ้วไหวแทงเข้าไปที่ไหล่ของนาง จากนั้นก็ดึงออกมาอย่างไม่ปรานีเลยสักนิด ตามมาด้วยบุปผาโลหิตเป็นสายๆ

มั่วชิงเฉินร้อง โอ๊ย ออกมา จากนั้นก็ตกตะลึงค้าง

นางคิดไม่ถึงเลยว่า แค่ถูกกริชแทงก็จะร้องออกมา คาดไม่ถึงว่าแม้แต่ความเจ็บปวดแค่นี้ก็ทนไม่ไหว

ไม่รอให้นางได้สติกลับคืนมา กริชนั้นก็แทงมาอีกครั้ง ครั้งนี้ที่ไหล่ซ้ายของนาง จากนั้นก็เป็นแขน ขา หน้าท้อง เสียงร้องอย่างน่าเวทนาดังไม่หยุด

ไม่ถูก ไม่ควรจะเป็นเช่นนี้!

ท่ามกลางความเลอะเลือน มั่วชิงเฉินมีความคิดนี้ผุดขึ้นมา ดูเหมือนว่าจะลืมเลือนเรื่องสำคัญไปเรื่องหนึ่ง

เมื่อลำคอของนางส่งเสียงแหบแห้งออกมา โลหิตในร่างกำลังจะไหลจนหมดตัว กริชเล่มนั้นก็พลิ้วไหวแทงเข้าไปที่หัวใจของนางเบาๆ

ใช่แล้ว เบามาก สะเปะสะปะมาก สะเปะสะปะจนเหมือนนางเป็นแค่มดตัวหนึ่ง ต่อให้ตายไปก็ไม่เสียดาย

มั่วชิงเฉินถลึงตา จ้องเขม็งไปที่กริชครึ่งเล่มที่โผล่ออกมาเขม็ง จากนั้นก็เห็นว่ากริชถูกผู้ที่มีใบหน้าเลือนรางตวัดฉับ ชั่วพริบตาหัวใจก็ถูกสับออกเป็นสองส่วน นางได้ยินแม้กระทั่งเสียงหัวใจแยกออกจากกันเบาๆ แต่หนักแน่น

“ไร้ประโยชน์ จิตสังหารเช่นนี้ก็ทำให้เจ้าตกใจแล้วหรือ กลายเป็นหุ่นไม้ที่ไม่ว่าผู้ใดฆ่าแกงจะฆ่าจะแกงก็ทำได้หมด เช่นนั้นก็ตายไปเสียเถิด อย่าสิ้นเปลืองแหล่งทรัพยากรใดๆ เลย!” น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยจิตสังหารดังขึ้น กริชที่อยู่ตรงทรวงอกของนางหมุนตัวเร็วขึ้น โลหิตสดๆ สาดกระจาย

“ตายหรือ” คำนี้ทำให้มั่วชิงเฉินสะดุ้งโหยง ห้วงสติสั่นคลอน คาดไม่ถึงว่าจะขยับมือได้แล้ว

นางคว้ากริชนั้นไว้อย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย

การเสียโลหิตมากเกินไปทำให้แขนของนางอ่อนแรง จึงไม่อาจต้านทานการทิ่มแทงของกริชได้ ดังนั้นกริชจึงฟันฝ่ามือของนางไม่หยุด หลังจากผ่านไปชั่วครู่ฝ่ามือขาวเนียนก็เป็นแผลเหวอะ โลหิตไหลออกมาไม่หยุด

“ไม่มีประโยชน์ เจ้าต้านทานไม่ไหว ปกติแล้วผู้ที่อ่อนแอล้วนไม่ควรมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ ฮ่าๆๆ ความรู้สึกได้สังหารช่างยอดเยี่ยเสียจริง!” คนผู้นั้นหัวเราะร่าออกมา

แต่กลับไม่รู้ว่าความเจ็บปวดจากการถูกฟันมือไม่หยุดนั่นทำให้มั่วชิงเฉินได้สติขึ้นมา จึงกัดริมฝีปากแล้วเอ่ยว่า “ข้าจะไม่ตาย ข้าเข้ามาก็เพื่อจะได้รับการถ่ายทอด ไม่มีทางถูกเจ้าฆ่าตายแน่!”

นางไม่เข้าใจอยู่เล็กน้อย ไม่ได้บอกว่ากำแพงถ่ายทอดเป็นความรู้ที่ผู้บำเพ็ญเพียรผู้มากความสามารถทิ้งเอาไว้ในสมัยโบราณหรอกหรือ ประสบการณ์การฝึกบำเพ็ญเพียรรวมถึงขั้นตอนการฝึกฝนต่างๆ ควรจะต้องให้อนุชนได้เรียนรู้รอบหนึ่ง เพื่อลดการเดินทางอ้อม เหตุใดเข้ามาแล้ว กลับพบสถานการณ์เช่นนี้

มั่วชิงเฉินรู้สึกฉงน และสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดอันยากจะรับไหว ฉับพลันนั้นก็หัวเราะออกมา

“เจ้าหัวเราะอะไร” คนผู้นั้นตกตะลึงไปเล็กน้อย

มั่วชิงเฉินกัดริมฝีปากอย่างยากลำบาก พยายามฉีกยิ้ม “ทั้งหมดนี่คือของปลอม ล้วนเป็นภาพมายา ใช่หรือไม่”

ไม่รอให้ได้คำตอบ ก็เอ่ยกับตนเองว่า “เป็นเพราะความจริงแล้วนี่เหมือนจริงมาก ไม่ปิดบังเจ้า ข้ามีชีวิตมาสามร้อยกว่าปี ผ่านประสบการณ์มานับไม่ถ้วน ความเจ็บปวดแค่นี้ไม่รู้สึกอะไรหรอก เหตุใดจะต้องเจ็บปวดถึงกระดูกด้วย นี่มันดูเหมือนจะเลยเถิดเกินไปแล้ว…”

ยามที่เอ่ยคำนี้ จิตสังหารที่พันธนาการนางก็ผ่อนลง ผู้ที่มีใบหน้าลางเรือนผู้นั้นฉีกยิ้ม “ข้าเกลียดเวลาที่มีคนนอกเข้ามารบกวนความสงบสุขของพวกเราจริงๆ เลย ทว่าในเมื่อเจ้าเข้ามาได้แล้ว และยังทนความเจ็บปวดได้ เช่นนั้นก็รับการถ่ายทอดจากข้าเถิด”

ขณะเอ่ย ก็ยัดกริชใส่ในมือของมั่วชิงเฉิน

“เซียนจวิน?” มั่วชิงเฉินมองกริชในมือ แล้วมองผู้ที่มีใบหน้าไม่ชัดเจนจนถึงยามนี้

“สังหารหมู่ มรรคาของข้าก็คือการสังหารหมู่!” คนผู้นั้นเอ่ยพลางสะบัดแขนเสื้อ บรรยากาศรอบตัวของมั่วชิงเฉินพลันเปลี่ยนไป อยู่ในเมืองแห่งหนึ่ง

ผู้คนสัญจรบนถนนไปมา คึกคักราวกับว่าอยู่ในเมืองหลวงของโลกมนุษย์

ข้างหูมีเสียงดังขึ้น “ไปเถิด รอเจ้าสังหารคนในเมืองหมด ก็สามารถเรียนรู้การถ่ายทอดของข้าอย่างเป็นทางการแล้ว”

มั่วชิงเฉินยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน

“อะไรนะ”

มั่วชิงเฉินเอ่ยอย่างราบเรียบ “เซียนจวิน มรรคาของอนุชนมิใช่การสังหารหมู่ ดังนั้น การถ่ายทอดของท่านอนุชนไร้วาสนาจะสืบทอด”

“ฮ่าๆๆๆ ไม่ใช่การสังหารหมู่หรือ เจ้าผิดแล้ว มหามรรคาทั้งสามพัน ผู้บำเพ็ญเพียรทุกคนล้วนมีมรรคาของตนเอง ความจริงแล้วมรรคาเหล่านั้นล้วนมีรากมาจากการสังหาร”

เห็นมั่วชิงเฉินยืนตัวตรงแน่ว เงียบขรึมไม่พูดจา น้ำเสียงก็ยิ่งเยาะเย้ยมากยิ่งขึ้น “ทำไม ไม่เชื่อหรือ เช่นนั้นก็ลองดูก็แล้วกัน ขอแค่เจ้าใช้กริชสังหารคนคนหนึ่ง ก็สามารถเรียนรู้ความสุขจากการสังหารได้แล้ว…”

เสียงหัวเราะนั่นดังมากจากจุดที่ไกลออกไป มั่วชิงเฉินก้มหน้าลงมองกริชในมือ

หากเอ่ยเช่นนั้น ก็แสดงว่าไม่อาจสังหารได้แม้แต่คนเดียวแล้วอย่างนั้น

นางกำลังขบคิด ก็สัมผัสได้ว่ารอบด้านเปลี่ยนแปลงไป ความรู้สึกคุ้นเคยที่ทำให้นางหายใจได้อย่างอิสระ

หากกล่าวว่าเมื่อครู่นางแค่เป็นผู้รับชมในโลกแห่งนี้ ยามนี้ก็กลายเป็นสมาชิกหนึ่งในนั้นแล้ว

บุรุษหลายคนเข้ามาล้อมอย่างช้าๆ

ภาพลวงตา ภาพลวงตา พวกเขาเป็นแค่ระลอกคลื่นจิตสัมผัสที่ไร้รูปร่างไม่มีอยู่จริง!

มั่วชิงเฉินเก็บกริชเข้าไปในแขนเสื้อ หลับตาลงร่ายคาถาเงียบๆ

สองมือใหญ่ กดไปที่ทรวงอกของนางอย่างไม่เกรงใจเลยสักนิด เสียงหัวเราะน่าสมเพชดังขึ้น “เหล่าพี่น้องเอ๋ย เหล่าแม่นางน้อยนี้ช่างซื่อสัตย์เสียจริง ในเมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเราพี่น้องก็จะไม่เกรงใจแล้ว!”

ชั่วพริบตานั้นมั่วชิงเฉินก็ขยับขา ยกเท้าขึ้นถีบไปที่ศีรษะของคนผู้นั้นออก แล้วกดเอาไว้แน่น

นางรู้ว่า นี่คือการทดสอบของเซียนสันโดษผู้นั้น หากนางควบคุมตัวเองไม่ไหวสังหารคนเข้า เกรงว่าจะสูญเสียมรรคาของตนเอง แล้วเข้าสู่มรรคาแห่งการสังหาร

ร่ายคาถาชำระจิตใจในใจเงียบๆ รอบแล้วรอบเล่า มั่วชิงเฉินหลับตาลงอยู่ตลอด แต่ความรู้สึกที่มือยักษ์ทำร้ายทรวงอกของนางนั้นเป็นของจริง จริงเสียจนทำให้นางอยากอาเจียน อยากจะสับแขนทั้งสองข้างนั้น

ทันใดนั้นอยู่ๆ ก็ถูกคนอุ้มขึ้นบ่า “เหล่าพี่น้อง ไป พวกเราไปสนุกกันสักหน่อย!”

วันเวลาดูเหมือนจะถูกดึงให้ผ่านไปเร็วขึ้น หลังจากผ่านไปชั่วครู่มั่วชิงเฉินก็ถูกวางลงบนพื้นหญ้า บุรุษที่มีหนวดเคราเต็มหน้ายิ้มอย่างโหดเหี้ยมพลางถอดเข็มขัด กระโจนเข้ามาแล้วเริ่มกระชากเสื้อผ้าของนาง

ทั้งๆ ที่รู้ว่าทุกอย่างเป็นของปลอม มั่วชิงเฉินก็ยังทนไม่ไหว นางคิดไม่ถึงว่าการทดสอบนี้จะจับจุดตายของนางได้

ต่อให้เป็นภาพลวงตา นางจะยอมรับการดูถูกเช่นนี้ได้อย่างไร!

ห้ามสังหารผู้อื่น หรือว่าจะหนีไม่พ้น

มั่วชิงเฉินได้สติขึ้นมา ยกเท้าขึ้นหมายจะถีบ

ข้อเท้าพลันถูกอีกฝ่ายคว้าเอาไว้ เสียงหัวเราะเยาะเย้ยดังขึ้น “หึๆ เหล่าแม่นางน้อยเจ้าอารมณ์ไม่น้อย ทว่าเช่นนี้ยิ่งได้อารมณ์ ให้เหล่าพี่ชายสัมผัสเจ้าดีๆ เถิด!”

มั่วชิงเฉินหน้าซีด คาดไม่ถึงว่า เท้าขวาของนางจะอ่อนยวบไม่มีเรี่ยวแรง!

สัมผัสได้ถึงน้ำหนักที่กดทับร่าง มั่วชิงเฉินพยายามดิ้นรนสุดชีวิต ยามที่กำลังดิ้นรนก็เข้าใจขึ้นมาเรื่องหนึ่ง คาดไม่ถึงว่านางจะไม่ต่างอะไรกับสตรีธรรมดาๆ คนหนึ่ง!

เพราะเสื้อผ้าถูกกระชากออก ชั่วขณะนั้นผิวพลันเย็นวาบ ปลายนิ้วของมั่วชิงเฉินสัมผัสกับกริชที่แขนเสื้อ ชั่วขณะนั้นก็ระงับจิตสังหารไม่ไหว ราวกับเป็นความปรารถนาในส่วนลึกของจิตใจที่ส่งมาจากกริช

นางเข้าใจแล้ว กริชเล่มนี้สามารถจบทุกอย่างได้ ขอแค่ ขอแค่นางกำกริชแทงออกไป

ลำแสงเป็นระลอกเปล่งประกายบนผิวน้ำ สำเภาน้อยลำหนึ่งเข้ามา สำเภาน้อยมีรูปทรงธรรมดาๆ ไม่วิจิตรงดงาม ราวกับสร้างขึ้นจากต้นไม้ใหญ่ๆ ต้นหนึ่งเท่านั้น

บนสำเภามีคนสามคน เป็นบุรุษสองสตรีหนึ่ง

สตรีนั่งดีดพิณอยู่ตรงหัวเรือ ด้านข้างมีบุรุษสวมชุดสีขาวเปิดไหล่ มุมปากเผยรอยยิ้ม กำลังชงชาอย่างสบายอารมณ์ หางเรือมีบุรุษสวมชุดสีม่วงสวมรัดเกล้าคนหนึ่ง คิ้วดุจดาบหน้าตาเย็นชา ไม่โกรธเกรี้ยวผู้ใด แขนเรียวขาวดุจหยกถือขลุ่ยสีเขียวมรกตเอาไว้เลาหนึ่ง เอามาแตะริมฝีปากแล้วเป่าอย่างนุ่มนวล

เสียงขลุ่ยนุ่มนวลดังขึ้น ความอ่อนโยนนับหมื่นพันสามารถห้อมล้อมหัวใจของผู้ฟังได้อย่างแน่นหนา และยิ่งทำให้เสียงพิณเปลี่ยนเป็นมีชีวิตชีวาขึ้น

สตรีที่กำลังดีดพิณหยุดลง

“หนิงรุ่ย เหตุใดเจ้าถึงไม่ดีดแล้วล่ะ” บุรุษสวมชุดสีขาวเอ่ยถามอย่างอ่อนโยน

หญิงสาวที่ถูกเรียกว่าหนิงรุ่ยฉีกยิ้มอย่างเกียจคร้านเอ่ยว่า “มีอะไรน่าดีดกัน พวกเราสามคนล้วนเป็นแค่จิตวิญญาณ เป็นเพียงแค่การดีดเพลงของพวกเขาซ้ำซากไปมา หมากรุกก็เคยเล่นแล้ว ชาก็เคยดื่มแล้ว ทำตามพวกเขาทุกอย่างซ้ำไปซ้ำมา น่าเบื่อนัก”

เอ่ยมาถึงตรงนี้ก็หัวเราะอีกครั้ง ยืนขึ้นบนหัวสำเภา สลัดแขนเสื้อกว้างปักรูปดอกเหมยสีเหลืองอ่อน ชั่วขณะนั้นผิวน้ำพลันมีกำแพงแสงปรากฏขึ้น หากมองผ่านๆ ก็จะเห็นเงาร่างคนได้อย่างรวดเร็ว แม้กระทั่งมีเสียงส่งมา

กำแพงแสงนี้ยาวหลายจั้ง เมื่อพิจารณาอย่างละเอียด ถึงได้รู้สึกว่าเงาด้านในดูเหมือนจะแยกเป็นส่วนๆ ระหว่างทั้งสองล้วนมีไอสีขาวกั้นอยู่

กำแพงแสงแบ่งออกเป็นหกส่วน ทุกส่วนมีคนอยู่ ทิวทัศน์ไม่เหมือนกัน คนมากน้อยก็ไม่เหมือนกัน นักแสดงนำคือพวกซีอวิ๋นเจินจุนที่เข้ามาในกำแพงถ่ายทอดทั้งหกคน!

บุรุษสองคนและสตรีหนึ่งคนที่อยู่บนสำเภาดูเหมือนว่าจะมองกำแพงแสงอยู่อย่างไรอย่างนั้น มองสิ่งที่ทั้งหกประสบอย่างเย็นชา

เมื่อมองเห็นบุรุษที่ใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเครากดร่างของมั่วชิงเฉินเอาไว้ นางพยายามดิ้นรนกลับดิ้นไม่หลุด มือสัมผัสกับกริชและลังเลไม่หยุด หญิงสาวก็รู้สึกสนใจขึ้นมาเล็กน้อย มองทั้งสองด้วยรอยยิ้มพริ้มพราย “หนิงเหอ เซียวหย่วน เจ้าว่าแม่นางผู้นั้นจะทนได้ถึงเมื่อไหร่กัน”