ตอนที่ 511 - สนทนากับซางฮัน

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ【之全能大師 】

Ep.511 – สนทนากับซางฮัน 

 

 

 

 

 

“ในเมื่อทุกคนไม่คัดค้าน เช่นนั้นตอนนี้ ขอแสดงความยินดีกับฉินเฟิง ที่ได้รับโควต้าไปครอง!” 

 

 

 

 

 

ซางฮันเปล่งเสียงและปรบมือให้กับฉินเฟิง เมื่อซางฮันนำ ผู้ชมก็ตาม เริ่มปรบมือ แสดงความยินดีแก่ฉินเฟิง  

 

 

 

 

 

ทุกคนไม่ว่าใครต่างก็รู้สึกตื่นเต้น! เพราะท้ายที่สุดแล้ว เบื้องหน้าของพวกเขา คือรุ่นเยาว์เลเวล C  

 

 

 

 

 

หากส่งเจ้าตัวไปยังเมืองหลวงมังกร ต่อให้คู่ต่อสู้เป็นอัจฉริยะรุ่นเยาว์ที่น่าหวาดกลัวจากตระกูลวรยุทธโบราณ ก็ไม่อาจต่อกรกับฉินเฟิงได้! 

 

 

 

 

 

เพราะรุ่นเยาว์เหล่านั้น เกือบทั้งหมดเป็นแค่ผู้ใช้พลังเลเวล D เท่านั้น แต่ฉินเฟิงเป็นเลเวล C ! 

 

 

 

 

 

ช่วงเวลานี้ ทุกคนต่างส่งเสียงโห่ร้องยินดี มีกระทั่งบังเกิดความภาคภูมิ รู้สึกฮึกเหิมขึ้นในจิตใจ 

 

 

 

 

 

“ยังไม่จบเพียงเท่านี้ เมื่อพิจารณาจากผลงานอันยอดเยี่ยมของนักสู้ฮั่นจุนแล้ว ตัวเขาเองก็จะได้รับสิทธิ์ในโควต้าก้าวเข้าสู่สิบอันดับแรกโดยตรงเช่นกัน!” 

 

 

 

 

 

ณ จุดนี้ ผู้ชมเองก็รู้สึกว่ามีเหตุผล เพราะฮั่นจุนมีฝีมือมากทีเดียว เพียงแต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับฉินเฟิงในเลเวล C เขาเสียเปรียบเกินไป 

 

 

 

 

 

มิใช่ว่าฮั่นจุนจะไม่แข็งแกร่ง แต่เป็นฉินเฟิงต่างหากที่ผ่าเหล่าจากคนอื่นๆ 

 

 

 

 

 

“และเพื่อมอบโอกาสให้เหล่าอัจฉริยะ การปล่อยให้ทั้งสองคนได้รับสิทธิ์โดยตรง โดยไม่ต้องเข้าสู่การประลองในวันพรุ่งนี้ นักสู้ที่เหลือ จะยังคงสามารถต่อสู้ชิงแชมป์ได้ดังเดิม และสามารถเข้าสู่พื้นที่ฝึกยุทธทางตอนเหนือไปเช่นกัน จากนั้นค่อยคัดเลือก 10 คนที่แข็งแกร่งที่สุด เป็นตัวแทนภูมิภาคตอนเหนือ เข้าร่วมงานประลองในเมืองหลวงมังกร!” 

 

 

 

 

 

ฝูงชนเออออเห็นด้วย แต่สำหรับผู้ใช้พลังเลเวล B เมื่อได้ยินคำนี้ ต่างพากันยิ้มออกมาอย่างขมขื่น 

 

 

 

 

 

เพราะกรณีดังกล่าว แม้ฉินเฟิงจะได้ก้าวเข้าสู่โควต้าทั้ง 10 แต่เขาจะไม่มีวันได้แชมป์ไปครอง 

 

 

 

 

 

ซางฮันประกาศต่อ “เริ่มดำเนินการประลองต่อไปได้!” 

 

 

 

 

 

อันที่จริง ถึงเธอไม่พูดประโยคนี้ แต่งานประลองก็ยังคงดำเนินต่อไปอยู่ดี เนื่องจากนักสู้บนสังเวียนต่างถูกขังอยู่ในโล่พลังงาน ไม่ทราบเรื่องราวภายนอก มีเฉพาะนักสู้ที่จบการประลองแล้วเท่านั้น ที่ใบหน้ากลายเป็นตื่นตะลึง 

 

 

 

 

 

หน่วยพยาบาลก้าวเข้ามา และช่วยกันพาฮั่นจุนจากไปโดยตรง ฝั่งฉินเฟิงก็เริ่มเดินลงจากเวที 

 

 

 

 

 

ซางฮันเมื่อพบว่าสถานการณ์คลี่คลายแล้ว ก็ถอนหายใจโล่งอก แต่เรื่องนี้ถือว่าเล่นตุกติกไม่น้อย กระทั่งตัวเธอเองยังรู้สึกละอายใจ 

 

 

 

 

 

“สั่งการลงไปอีกที ว่าให้นำเงินเดิมพันทั้งหมดของเลเวล B ที่เพิ่งวางเมื่อครู่ คืนแก่เจ้าของทั้งหมด และฝากขอโทษที่สร้างปัญหาให้แก่พวกเขา” 

 

 

 

 

 

หยวนห่าวจ้องมองไปยังซางฮันด้วยความชื่นชม สมองของท่านจ้าวพรมแดน ช่างเลิศเลอ สามารถคิดแผนการรับมือได้อย่างรวดเร็ว เพียงประกาศออกไปไม่กี่คำ ก็ไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินเดิมพันมหาศาล แน่นอน ว่าเรื่องนี้หยวนห่าวยังไม่มีความสามารถมากพอ ดังนั้นส่งเลเวล B คนอื่นๆ ให้รับหน้าที่ถ่ายทอดคำสั่งของซางฮันลงไปแทน คนกลุ่มนี้จะได้ไม่ก่อความวุ่นวายจนมากเกินไป 

 

 

 

 

 

“ฉินเฟิง ช่วยขึ้นมาบนอัฒจันทร์ด้วย” ซางฮันนั่งลง และส่งคำเชิญไปยังฉินเฟิงโดยตรง 

 

 

 

 

 

“รับทราบแล้ว” 

 

 

 

 

 

ฉินเฟิงแม้ได้รับข้อความ แต่ก็ไม่แปลกใจแต่อย่างใด เขาออกจากสังเวียน และเข้าไปยังอัฒจันทร์ของโซนระดับสูง หยวนห่าวมายืนรอต้อนรับเขาหน้าทางเข้าเป็นการส่วนตัว จ้องมองผู้มาเยือน ในสมองขบคิด 

 

 

 

 

 

‘ฉินเฟิงผู้นี้ ลงมือแต่ละทีล้วนก่อให้เกิดผลกระทบครั้งใหญ่ ก่อนหน้านี้ก็เพิ่งสังหารกวงเว่ยไป ตอนนี้ดันมาเข้าร่วมงานประลองลูกรักของพระเจ้า’ 

 

 

 

 

 

‘แต่ฉินเฟิงน่ะแข็งแกร่ง เขาแกร่งมากจริงๆ ดังนั้นการเข้าร่วมประลองในครั้งนี้ เขามีเหตุผลอะไรกันแน่?’ 

 

 

 

 

 

‘ทรัพยากรที่เป็นรางวัลตอบแทน ก็ไม่มีอะไรผิดปกตินี่นา อีกอย่างทรัพยากรเหล่านั้น ก็ไม่น่าจะมีประโยชน์อะไรกับฉินเฟิง … ’ 

 

 

 

 

 

“นั่งลงสิ” เมื่อเห็นอีกฝ่ายมาถึง ซางฮันชี้ไปยังที่นั่งถัดจากตัวเอง 

 

 

 

 

 

ฉินเฟิงนั่งลง 

 

 

 

 

 

“ทำไมคุณถึงมาเข้าร่วมงานประลองลูกรักของพระเจ้า?” ซางฮันเปิดประเด็นถามโดยตรง 

 

 

 

 

 

“ก็ผมมาที่เป่ยหัว ในฐานะตัวแทนของผู้ร่วมประลอง” ฉินเฟิงตอบ นี่ทำเอาซางฮันเอ่ยไม่ออกไปชั่วขณะ 

 

 

 

 

 

จริงอยู่ที่ซางฮันเห็นแล้วว่าฉินเฟิงมายังเป่ยหัว แต่เธอคิดว่าอีกฝ่ายน่าจะมาฝึกฝนที่นี่ เพราะหลังจากฉินเฟิงสังหารกวงเว่ยแล้ว ซางฮันบังเกิดความสงสัยว่า ฉินเฟิงอาจวางแผนการเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว ว่าจะทำลายภัยคุกคามอย่างกวงเว่ยไปโดยสิ้นเชิง 

 

 

 

 

 

แต่สุดท้าย ผลลัพธ์กลับกลายเป็นว่าฉินเฟิงดันมาเข้าร่วมงานประลองอย่างกะทันหัน 

 

 

 

 

 

“คุณ … คุณเข้าร่วมงานประลองนี้ มันจะมีความหมายอะไร? มันอาจให้ผลตรงกันข้าม เพราะแม้นี่จะช่วยให้คุณสามารถเกาะลงบนกิ่งก้านของต้นไม้ใหญ่ได้ แต่ขณะเดียวกันก็กลายเป็นเป้าล่อให้ถูกยิงเช่นกัน” ซางฮันกล่าว 

 

 

 

 

 

ฉินเฟิงในตอนแรก แค่อยากแวะมาดูว่ามีต้นกล้าดีๆพอที่จะรับกลับไปเป็นพวกรึเปล่าก็เท่านั้นเอง  

 

 

 

 

 

เดิมเขาไม่ได้สนใจถึงสถานะของตนเอง ดังนั้นทำอะไรตามอำเภอใจ 

 

 

 

 

 

อย่างไรก็ตาม เมื่อได้ฟังคำของซางฮัน มันเลยทำให้ฉินเฟิงตระหนักได้ ว่าแท้จริงแล้วตนยังต้องการคว้าอันดับหนึ่งของงานประลองลูกรักพระเจ้า  

 

 

 

 

 

เพราะฉินเฟิงจำได้ ว่าการประลองลูกรักของพระเจ้าในเมืองหลวงมังกร มีโอกาสได้เข้าสู่เขตแดนลับ 

 

 

 

 

 

“การทำตัวเหลาะแหละก็ไม่ต่างไปจากการใช้ชีวิตเสียเปล่า ไม่คุ้มค่า บางทีผมอาจอยากสร้างชื่อเสียงให้ตัวเองก็ได้” ฉินเฟิงกล่าวติดตลก กึ่งจริงกึ่งหลอก 

 

 

 

 

 

ซางฮันไม่ถือว่าฉินเฟิงเป็นแค่เด็กอีกต่อไป เพราะความแข็งแกร่งของเขาในขณะนี้ ในอนาคตย่อมพัฒนาขึ้น และนั่นหมายความว่าตัวตนทรงอำนาจทางตอนเหนือจะเพิ่มขึ้นอีกคน 

 

 

 

 

 

“งั้นดูเหมือนว่าการประกาศของฉันในวันนี้ คงช่วยให้คุณสร้างชื่อเสียงให้ตัวเองเพิ่มขึ้นได้ไม่น้อยเลยสิใช่ไหม?” ซางฮันกล่าวประชดประชัน 

 

 

 

 

 

“เช่นนั้นผมต้องขอบคุณท่านจ้าวพรมแดนแล้ว” 

 

 

 

 

 

“ฉินเฟิง หยุดเล่นลิ้นสักที คุณจะทำอะไรก็ได้ แต่อย่าลากฉันเดือดร้อนไปด้วย รู้รึเปล่า ว่าตัวตนของคุณ ไม่ใช่ความลับอะไรในหมู่เลเวล B พวกเขาวางเดิมพันฝั่งคุณเป็นเงินนับ 10 ล้านล้าน!” 

 

 

 

 

 

เมื่อได้ยินประโยคนี้ ฉินเฟิงถึงค่อยเข้าใจในที่สุด 

 

 

 

 

 

“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้!” 

 

 

 

 

 

ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมซางฮันถึงลุกขึ้นประกาศ และปล่อยให้เขาได้รับสิทธิ์โดยตรง ที่แท้ก็ไม่อยากให้เขาร่วมประลองอีกแล้วนี่เอง 

 

 

 

 

 

มิฉะนั้น หากมีคนวางเดิมพันมากกว่านี้ หรือฉินเฟิงชนะจริงๆ ซึ่งชนะแน่ๆ เธอคงเสียเงินจำนวนมหาศาลชนิดไม่สามารถจ่ายได้ 

 

 

 

 

 

“คนพวกนี้ ช่างไร้ปราณี ทำให้จ้าวพรมแดนต้องเดือดร้อน สูญเสียเม็ดเงินก้อนใหญ่ได้ยังไงกัน!” 

 

 

 

 

 

เมื่อได้ยินตัวปัญหาโยนความผิดให้คนอื่น ซางฮันโกรธจนทำอะไรไม่ถูก 

 

 

 

 

 

“ถ้าคุณไม่เข้าร่วมงานประลอง ฉันก็ไม่ต้องทำให้เรื่องราวมันใหญ่โตแบบนี้ แต่พอคุณมานั่นแหละ ฉันเลยเดือดร้อน!” 

 

 

 

 

 

อัจฉริยะคนนี้ ไม่ง่ายเลยที่จะพูดคุยกับเขา 

 

 

 

 

 

ฉินเฟิงเผยรอยยิ้มบาง และกล่าว “ผมสร้างแต่ปัญหาซะที่ไหนกัน เป็นผมไม่ใช่หรือที่ช่วยท่านจ้าวพรมแดนเก็บกวาดหุบเหวตอนเหนือ น่ากลัวว่าผลงานของผมคนเดียว จะเทียบเท่ากับผลงานของเลเวล B นับหลายร้อยหรือหลายพันคน!” 

 

 

 

 

 

สำหรับข้อนี้ ต้องยอมรับว่ามันเป็นเรื่องจริง 

 

 

 

 

 

สีหน้าของซางฮันถึงค่อยคลายลง 

 

 

 

 

 

ด้วยความแข็งแกร่งของฉินเฟิง สำหรับซางฮันในตอนนี้ ถือว่าเป็นตัวช่วยชั้นดี 

 

 

 

 

 

“พรุ่งนี้ไม่ต้องมางานประลองอีกแล้ว แต่ขอให้ไปสำรวจป่าหยวนกับฉัน ที่นั่นกำลังเกิดกองทัพสัตว์ร้ายในไม่ช้า” ซางฮันกล่าว 

 

 

 

 

 

“ไม่มีปัญหา” ฉินเฟิงรับคำสั่ง 

 

 

 

 

 

ป่าหยวนเป็นสถานที่อันตรายมาก หากปล่อยให้ผู้ใช้พลังที่ไม่แกร่งพอเข้าไปสำรวจ คงไม่ต่างอะไรจากการยื่นเนื้อเข้าปากเสือ มีโอกาสเป็นไปได้สูงที่จะส่งพวกเขาไปตาย 

 

 

 

 

 

ดังนั้นเป็นประจำทุกปี ซางฮันเลยต้องเข้าไปตรวจสอบมันด้วยตนเอง! 

 

 

 

 

 

หลังจากนัดหมายกันแล้ว ซางฮันก็จากไป ส่วนฉินเฟิงกลับลงสู่สังเวียนประลอง เพราะงานประลองยังไม่จบลง ฉินเฟิงจึงไม่ได้ไปหุบเหวตอนเหนือ แต่อยู่ที่นี่แทน 

 

 

 

 

 

หลังจากการประลองสิ้นสุดลง เมื่อไม่นับฉินเฟิงกับฮั่นจุน ก็จะเหลือตำแหน่งผู้ประลองอีก 18 คน สำหรับตัวแทนจากรัฐทะเลเหนือ นอกจากจิ่นเฟยกับโจวฮ่าว ทุกคนล้วนถูกกำจัดออกจนสิ้น 

 

 

 

 

 

สำหรับจิ่นเฟยและโจวฮ่าวที่สามารถเหยียบตัวแทนจากสิบรัฐอันดับต้นขึ้นมาได้ ส่งผลให้รัฐทะเลเหนือในวันนี้ กลายเป็นม้ามืดอย่างแท้จริง 

 

 

 

 

 

ฉินเฟิงดูข้อมูลของ 16 คนที่เหลือ หากโชคดี ไม่เผชิญหน้ากับอีก 2 เลเวล D ที่เหลือ จิ่นเฟยกับโจวฮ่าว มีโอกาสเป็นไปได้สูงที่จะได้รับโควต้าไปครอง 

 

 

 

 

 

วันถัดมา ฉินเฟิงไม่ได้ไปดูงานประลอง แต่มุ่งไปยังสถานที่ที่นัดหมายกับซางฮันเอาไว้ 

 

 

 

 

 

บนรถศึกล่องเวหา ฉินเฟิงเอ่ยปาก “ถ้าซางฮันรู้สึกผิดปกติจนสังเกตได้เกี่ยวกับตัวเธอ ฉันจะเป็นคนเฉลยเองว่าเธอเป็นใคร และถ้าซางฮันคิดทำร้ายเธอ พวกเราจะหลบหนีออกไปทันที” 

 

 

 

 

 

“ทำแบบนั้น มันจะดีจริงๆหรอ?” เป็นครั้งแรกที่ไป๋หลีเผยถึงสีหน้าลังเล เพราะฉินเฟิงพยายามอย่างหนักเพื่อกลับมายังพันธมิตรมนุษย์ ถ้าต้องออกไปอีกครั้ง ไป๋หลีรู้สึกว่าความสำเร็จทั้งหมดก่อนหน้านี้ รวมถึงปัจจุบัน ทั้งหมดคงหายไป 

 

 

 

 

 

“ไม่มีอะไรหรอก ทั้งหมดเอาไว้รอดูทัศนคติของซางฮัน ที่เหลือค่อยว่ากัน” 

 

 

 

 

 

ไป๋หลีพยักหน้า “ก็ได้ แต่ถ้าเธอทำตัวไม่ดี พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องสุภาพเหมือนกัน แม้ฉันจะเป็นสัตว์ร้าย แต่ก็เป็นสัตว์ร้ายที่ดี!” 

 

 

 

 

 

เผ่าพันธุ์สัตว์ร้ายมีมากมายนับไม่ถ้วน กระทั่งระหว่างเผ่าพันธุ์ ยังมีความสัมพันธ์กันแบบห่วงโซ่อาหาร 

 

 

 

 

 

ดังนั้น การที่ไป๋หลีโปรดปรานฉินเฟิง มันไม่ใช่เรื่องไร้เหตุผล เพราะท้ายที่สุดแล้ว สัตว์ร้ายประเภทมิติ มันมีจำนวนน้อยเกินไป และส่วนใหญ่เป็นพวกขวางโลก ไม่ฟังใคร 

 

 

 

 

 

ไป๋หลีสนใจแค่เฉพาะฉินเฟิงคนเดียวเท่านั้น ทัศนคติของคนหรือสัตว์ร้ายตัวอื่นๆ ไม่เกี่ยวข้องหรือสำคัญอะไรกับเธอ ไม่จำเป็นต้องไว้หน้าใครทั้งนั้น!