ตอนที่ 397 จบบริบูรณ์
ตอนที่ 397 จบบริบูรณ์
พี่สี่จ้าวได้เงินมาแล้ว ได้มาไม่น้อยเลยด้วย ความมั่นใจในตัวเองทำให้เขาใจกว้างมากยิ่งขึ้น กล่าวเคล้ารอยยิ้มว่า “นี่เป็นเสื้อผ้าที่ภรรยาของหมิงเป่ยเลือกให้ ฉันจะเลือกเองได้ยังไงล่ะ”
“พี่สี่ใส่ชุดแบบนี้ดูดีจริง ๆ ค่ะ” เย่ฉูฉู่กล่าวชม
“โอ้โห ในเมืองแห่งนี้เลี้ยงคนได้ด้วย ดูสิ เปลี่ยนรูปลักษณ์ไปเลย!” จ้าวเหวินเทาถอนหายใจด้วยอารมณ์
หลังจากพูดคุยกันอยู่ครู่หนึง่ เสี่ยวหม่าก็หยิบของขวัญที่จะมอบให้จ้าวเหวินเทาและเสี่ยวไป๋หยางออกมา จากนั้นก็ขอตัวกลับไปหาแม่ม่ายหม่าพี่สาวของเขา ส่วนพี่สี่จ้าวยังอยู่ที่นี่ สองพี่น้องนั่งกินข้าวและดื่มด้วยกัน ระหว่างนั้นก็คิดเงินที่ติดค้างกันไว้
“เจ้าหก ขอบใจนะ!” พี่สี่จ้าวพูดด้วยความจริงใจ
“พี่สี่ พี่ยังจะมาเกรงใจผมอีก! ไปเถอะ ผมจะพาพี่ไปที่ฟาร์มกระต่าย ไปหาพ่อกับแม่ พี่สะใภ้แล้วก็ลูกด้วย ไม่ได้เจอหน้ากันนานขนาดนี้ พวกเขาคิดถึงแทบแย่แล้ว” จ้าวเหวินเทาพูด
ทั้งคู่จึงเดินทางไปที่ฟาร์มกระต่าย ตอนที่พี่สะใภ้สี่จ้าวเห็นพี่สี่จ้าวกลับมา หล่อนก็ร้องไห้โฮไปยกใหญ่ ไม่ต้องพูดเลยว่าหล่อนเริ่มคิดมากขึ้นมาอีกครั้งแล้ว สามีหาเงินได้แล้ว แถมยังมีอนาคตกลายเป็นคนในเมืองไปแล้ว ถ้าไม่มีลูกชาย เขาก็คงจะหย่ากับหล่อนจริง ๆ!
ครอบครัวของเย่หมิงเป่ยมาที่นี่ในวันรุ่งขึ้น นอกจากคุณแม่เย่ คุณพ่อเย่ก็มาที่นี่ด้วย ครอบครัวใหญ่ขนาดนี้ รวมเข้ากับเด็กสองคนอย่างเสี่ยวไป๋หยางและเสี่ยวเยว่เยว่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลยว่าครึกครื้นขนาดไหน
“แม่บอกว่ามีธุระ ธุระอะไรเหรอคะ?” เย่ฉูฉู่ยังคงคิดถึงเรื่องนี้มาโดยตลอด
คุณแม่เย่พูดด้วยรอยยิ้ม “เป็นเรื่องดี!”
จ้าวเหวินเทารีบถาม “คุณแม่ เรื่องดีอะไรเหรอครับ?”
คุณแม่เย่เอ่ย “เรื่องนี้ถ้าให้พูดก็คงยาวเหยียดเลย”
เดิมทีคุณแม่เย่เป็นลูกสาวบุญธรรม นางเดินหลงทางอยู่ที่สถานีรถตอนอายุสิบขวบ จากนั้นก็ถูกคู่รักของตระกูลเย่มาเจอเข้าและพากลับมาเลี้ยงดูที่บ้านจนโต คิดไม่ถึงเลยว่าผ่านมานานหลายปีขนาดนี้ จะได้เจอกับพ่อแม่แท้ ๆ ของตัวเองที่เมืองหลวง!
“ต้องขอบคุณพี่สามของลูกนะที่หน้าตาคล้ายน้าของเขามาก!” คุณแม่เย่ถอนหายใจ “ไม่งั้นจะไปหาเจอได้ยังไง!”
เถ้าแก่คนนั้นที่คุณเฉิงเคยบอกเย่หมิงเป่ยว่าหน้าคล้ายกับเขามาก แม้ว่าจะไม่ได้เจอกันในงานประชุมประจำปี แต่ตอนที่อยู่ในงานแถลงข่าวฤดูใบไม้ผลิ เถ้าแก่ของคุณเฉิงเดินทางมาร่วมด้วย ตอนที่เห็นเย่หมิงเป่ย เขาก็ตกตะลึงยิ่งกว่า ภายหลังเมื่อได้พูดคุยกันก็มาเจอกับคุณแม่เย่ ก็ได้ความว่าคุณแม่เย่เดินหลงทางตอนอายุสิบขวบ นางจึงจำเรื่องราวได้ และรู้ว่าตนเองแซ่เฝิง ดังนั้นพวกเขาจึงจำกันได้
“พี่สาม น้าของพวกเรามีเงินมากขนาดนั้นจริง ๆ เหรอ?” จ้าวเหวินเทาถามเย่หมิงเป่ย
เย่หมิงเป่ยยิ้ม “มีเงินแต่ก็เป็นของเขานะ”
โจวหมิ่นยิ้ม “มีเงินสิ ตื่นเต้นใช่ไหม?”
“ก็ใช่น่ะสิ ตื่นเต้นสุด ๆ เลย!” จ้าวเหวินเทาพูดจบก็หัวเราะร่า
เย่หมิงเป่ยทั้งเคืองทั้งขำ
คุณพ่อจ้าวพูด “มีหรือไม่มีเงินก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพวกเราอยู่ดี”
คุณแม่จ้าวตอบ “อย่าพูดแบบนี้สิ มีญาติรวย ๆ พวกเธอจะทำอะไรก็สะดวกแล้ว น้าของเธอบอกว่าจะสนับสนุนพวกเธอด้วยนะ!”
“จริงเหรอครับคุณแม่ คุณน้าดีมากเลย!” จ้าวเหวินเทาแสดงท่าทางเหมือนกับคนที่หลงไหลในความมั่งคั่ง
เย่ฉูฉู่ทนดูไม่ไหวแล้ว “คุณพอได้แล้ว”
คุณแม่เย่กลับไม่ใส่ใจ “ไม่เป็นไรหรอก ครั้งนี้ที่กลับมาก็เพราะอยากคุยกับพวกเธอเรื่องนี้นี่แหละ น้าของเธอก็จะกลับมาเร็ว ๆ นี้ เพื่อมาทำความรู้จักกับพวกเธอ”
“งั้นก็ยินดีต้อนรับเลยครับ!” จ้าวเหวินเทาพูดด้วยความดีใจ
“เอาล่ะ ไม่มีเรื่องอื่นแล้ว พวกเรามาสับไส้ห่อเกี๊ยวฉลองกันเถอะ!” คุณแม่เย่พูดจบก็ลุกขึ้นยืน
เย่ฉูฉู่บอกให้โจวหมิ่นช่วยดูลูกให้ ส่วนตนเองจะไปลงมือทำอาหาร ระหว่างนั้นก็พูดคุยกับคุณแม่ไปด้วย
“เธอก็ไปทำธุระเถอะ เดี๋ยวพ่อดูเด็ก ๆ ให้เอง!” คุณพ่อเย่เอ็นดูหลานชายและหลานสาวตัวน้อยของเขาเข้าแล้ว
โจวหมิ่นหันมาคุยกับจ้าวเหวินเทา “ขอไปดูฟาร์มกระต่ายเธอหน่อยสิ”
“ได้ครับ! ไปกัน!”
จ้าวเหวินเทาขึ้นรถและพาพวกเขาไปที่ฟาร์มกระต่าย
ตอนนี้ฟาร์มกระต่ายไม่เหมือนกับปีก่อนแล้ว สองข้างทางมีต้นไม้เขียวขจีที่ให้ร่มเงาได้แล้ว ในฤดูกาลนี้ เป็นช่วงที่ดอกไม้ที่อยู่ทั่วป่าและภูเขาเบ่งบานสะพรั่งบนเนินเขาเขียวขจีที่อยู่ห่างออกไปดูคล้ายกับเปียกชุ่มด้วยน้ำ ดูแพรวพราวสะอาดสะอ้าน
เหล่านกนานาพันธุ์บินโฉบวนกิ่งไม้ ส่งเสียงร้องหลากหลายรูปแบบ กระต่ายสีขาวหิมะ สีเทาและสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังกระโดดดึ๋ง ๆ อยู่บนพื้นหญ้า บนเนินเขามีแพะและวัวกำลังเล็มหญ้า นอกจากนี้ยังมีหมูที่กำลังเล่นอยู่ในโคลน โรงเต้าหู้ขอพี่สามจ้าวเต็มไปด้วยควัน กระท่อมมุงจากพลิ้วไปตามแรงลม เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา
“สวยเกินไปแล้ว!” โจวหมิ่นชื่นชม
จ้าวเหวินเทาพูด “สวยใช่ไหม ตอนนี้พี่รู้แล้วใช่ไหมว่าทำไมผมถึงเหมาที่นี่?”
“รู้แล้ว วิวทิวทัศน์สวยขนาดนี้ ถ้าเป็นฉัน ฉันก็คงอยากเหมาเหมือนกัน” โจวหมิ่นตอบ
เย่หมิงเป่ยกลับถามคำถามที่เป็นความจริง “เงินของนายมีพอไหม?”
“ผมคิดไว้ว่าจะไปกู้น่ะ” จ้าวเหวินเทาตอบ “ที่นี่ไม่เพียงแค่ทิวทัศน์สวยนะ บนภูเขานี้มีขุมทรัพย์อยู่ทุกหนทุกแห่ง ทั้งผักป่า เห็ด เห็ดหูหนู นกและสัตว์ป่า เรียกว่าเป็นภูเขาทองคำลูกหนึ่งก็ไม่ใช่เรื่องเกินจริง”
“นายคงไม่ได้ทำสัญญาเพื่อกำไรใช่ไหม?” โจวหมิ่นถาม
“ไม่ใช่อยู่แล้ว!” จ้าวเหวินเทาตอบ “ในทางกลับกัน ผมกลัวว่าคนอื่นจะเห็นผลประโยชน์ของที่นี่แล้วมาเหมาไป ผมอยากรักษาทุกอย่างที่อยู่ที่นี่ มีแค่วิธีนี้ที่ผมจะทำให้มันพัฒนาไปได้ไกลและนาน”
โจวหมิ่นมองจ้าวเหวินเทาด้วยความชื่นชม “ฉันต้องยอมรับเลยว่านายเป็นคนมองการณ์ไกลมากจริง ๆ!”
ถ้าไม่ใช่เพราะหล่อนเป็นคนที่เคยผ่านเรื่องพวกนี้มาก่อน หล่อนคงมองได้ไม่ไกลขนาดนี้ ตอนนี้ไม่มีใครตระหนักถึงความสำคัญของสิ่งแวดล้อม แต่หลังจากนี้อีกยี่สิบกว่าปีผู้คนก็จะรู้สึกได้ด้วยตัวเอง สิ่งแวดล้อมมีส่วนเกี่ยวข้องกับการอยู่รอดของทุกคน ไม่ว่าจะมีเงินมากเท่าไรก็ไม่สามารถซื้อไว้ได้
“นายลองคำนวณดู ขาดเหลือเท่าไร ดูว่าฉันมีพอรึเปล่า ฉันร่วมหุ้นด้วยดีไหม?” โจวหมิ่นพูด
“พี่?” จ้าวเหวินเทาไม่เข้าใจ “ทำไมล่ะ?”
“สถานที่ดี ๆ แบบนี้ สร้างคฤหาสน์ที่นี่สักหลัง แก่ตัวไปกลับมาใช้ชีวิตที่นี่ดีจะตายไป”
“ความคิดของพี่เหมือนภรรยาผมเลย ฉูฉู่ก็อยากสร้างคฤหาสน์ที่นี่เหมือนกัน! แต่ พี่จะร่วมหุ้นมันก็ได้อยู่หรอก แต่ทุกอย่างขึ้นอยู่กับผมนะ!” จ้าวเหวินเทาพูดอย่างตรงไปตรงมา
เย่หมิงเป่ยชะงัก ก่อนจะพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “นายยังเหมือนเดิมเลยนะ”
จ้าวเหวินเทายิ้ม พูดกึ่งทีเล่นทีจริง “ที่นี่เป็นบ้านผม ผมก็ต้องเป็นคนตัดสินใจอยู่แล้ว โดยเฉพาะตอนนี้พวกพี่มีคุณน้าเป็นคนรวยเพิ่มมาอีกหนึ่งคน!”
“ใช้ได้เลยนะจ้าวเหวินเทา นายมีสติดีมากเลยนะเนี่ย ฉันนึกว่าพอนายเห็นว่ามีญาติรวยแล้วจะสติหลุดซะอีก” โจวหมิ่นพูดหยอกล้อด้วยรอยยิ้ม
“เชอะ! ถึงแม้ว่าจ้าวเหวินเทาคนนี้จะจน แต่ก็ไม่ได้เห็นเงินเป็นพระเจ้าแบบนั้นซะหน่อย อีกอย่างสถานที่แบบนี้ต่างหากล่ะคือความมั่งคั่งที่แท้จริง ความมั่งคั่งที่เป็นของผม!” จ้าวเหวินเทายกมือขึ้นมากอดอกพร้อมกับทำตัวเย่อหยิ่ง
“เห็นแก่สติสัมปชัญญะส่วนนี้ขอนาย ฉันก็ยินดีที่จะฟังตามที่นายตัดสินใจ!” โจวหมิ่นตอบ
เมื่อเงินเรื่องต่าง ๆ ก็จัดการได้อย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นไม่กี่วัน จ้าวเหวินเทาก็เหมาภูเขาทั้งหมดของฟาร์มกระต่าย เป็นเพราะไม่มีใครคิดว่าบนภูเขาลูกนี้มีแหล่งหาเงิน พื้นที่ของสถานที่ที่เหมาจึงใหญ่กว่าที่คาดการณ์ไว้และง่ายกว่ามาก
หลายปีต่อมา จ้าวเหวินเทาก็เหมาภูเขาที่อยู่บริเวณโดยรอบอยู่เรื่อย ๆ ยี่สิบกว่าปี ภูเขาของหมู่บ้านข้าวซานถุนแห่งนี้ก็ถูกเขาเหมาจนหมด ภายใต้การคุ้มครองโดยเจตนารมณ์ของเขา ภูเขาลูกนี้จึงไม่ได้รับความเสียหายแม้แต่น้อย ยังคงตั้งสูงตระหง่านอยู่อย่างนั้น ปกคลุมด้วยร่มเงาแน่นหนา กลายเป็นจุดชมวิวที่มีชื่อเสียง ส่วนคฤหาสน์ที่อยู่ในใจของเย่ฉูฉู่ก็กลายเป็นหนึ่งในฉากนี้ในเวลาต่อมา
หลังจากเซ็นสัญญาเหมาภูเขาลูกใหญ่แล้ว เย่ฉูฉู่และจ้าวเหวินเทาก็เดินไปรอบ ๆ ฟาร์มกระต่าย ท้ายที่สุดก็มาหยุดยืนอยู่ที่แห่งหนึ่ง สายตาทอดมองไปยังภูเขาที่อยู่ห่างไกลออกไปขณะตกอยู่ในภวังค์ คล้ายกับกลับมายังอีกมิติหนึ่งที่เธอและองค์ชายกำลังนั่งจิบน้ำชาและดีดฉินอยู่ด้วยกัน ณ ที่แห่งนี้…
เย่ฉูฉู่หันมาพูดกับจ้าวเหวินเทาอย่างเนิบช้า “สร้างศาลาไว้ที่นี่ ถึงเวลานั้นฉันจะชงชาให้คุณที่นี่ พวกเรามานั่งดูวิวและจิบน้ำชาไปด้วยกันดีไหมคะ?”
ลมภูเขาพัดผ่าน ทำให้เสื้อผ้าของเย่ฉูฉู่พลิ้วไปตามแรงลม ร่างกายเล็ก ๆ ของเธอดูคล้ายกับกำลังจะลอยขึ้นจากพื้น จ้าวเหวินเทาเกิดอาการสั่นไหวอยู่ภายในใจอย่างไม่ทราบสาเหตุ ยื่นมือออกไปโอบกอดเธอไว้แน่น ๆ “ภรรยา ถึงเวลานั้นฉันจะชงชาให้คุณเอง!”
เย่ฉูฉู่ทอดสายตามองไปที่จ้าวเหวินเทา ยื่นมือออกมาลูบไล้ใบหน้าของเขา เอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ได้สิ”
จากนั้นจึงซบเข้าที่อกของจ้าวเหวินเทา นี่เป็นช่วงเวลาที่เย่ฉูฉู่พึงพอใจและมีความสุขอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
สรุปว่าหมิงเป่ยเป็นญาติกับประธานคนนั้นจริงๆ ด้วย ในที่สุดญาติที่พลัดพรากจากกันก็ได้มาเจอกัน
จบลงแล้วนะคะสำหรับเรื่องนี้ รู้สึกว่าผ่านไปรวดเร็วมาก ใจหายอีกแล้ว แต่งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา ขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่ติดตามกันมาโดยตลอด ขอให้ทุกท่านสุขภาพแข็งแรง และอย่าลืมติดตามผลงานแปลของผู้แปลในเร็วๆ นี้ด้วยนะคะ
ไหหม่า(海馬)
ตอนต่อไป →