บุตรอสูรบรรพกาล ตอนที่ 270 มารทั้ง 7
ตุบๆๆ…ตําราเกือบ 50 เล่มถูกวางเอาไว้บนพื้นเบื้องหน้าบัลลังก์ ท่ามกลางสายตาของเหล่าชายหญิงจํานวนมาก
“ห์ๆ เท่านี้ก็เหลือแต่โทสะสินะ” หญิงสาวที่นั่งอยู่บนบัลลังก์พูด พลางไขว่ห้างด้วยท่าที่ยั่วยวนจนชายในห้องเกือบมั้งหมดต่างมองเป็นสายตาเดียวกัน
“จริงๆข้าเจอโทสะแล้วเหมือนกัน” ชายที่แต่งตัวหรูหราพูดพลางยิ้มบางๆ
“เจอแล้ว? มันอยู่ที่ไหนกัน” หญิงสาวถามพลางครพัดหยกขาวในมือเบาๆ ริมฝีปากที่ยิ้มเล็กน้อยของนางช่างดูยั่วยวนจนหัวใจแทบละลาย จะมีก็แต่คนอีก 5 คนเท่านั้นที่ไม่ได้มีอาการตกตะลึงกับความงามของนาง
“อยู่กับเจ้าเด็กคนหนึ่งในวัดที่พวกเราไปชิงตํารา แต่มันเรียนไปแล้วนี่สิ” ชายในชุดหรูหราพูดด้วยท่าที่เฉยเมย แต่หญิงสาวบนบัลลังก์กลับมีท่าที่ไม่พอใจนัก
“แล้วทําไมเจ้าไม่พาตัวมันมา รู้หรือเปล่าว่ามันสําคัญกับแผนข้ายังไง” หญิงสาวว่าพลางขว้างแจกันที่อยู่ข้างตัวใส่ชายในชุดหรูหรา แต่นางไม่ได้กะจะปาให้โดนอยู่แล้ว ทําให้มีเพียงน้ําในแจกันเท่านั้นที่กระเซ็นโดนชายเสื้อของมัน
พรึบ! อยู่ๆร่างของชายในชุดหรูหราก็พุ่งวาบเข้าใสหญิงสาว พร้อมชักกระบี่ออกมาถือเอาไว้
“อย่าได้ใจนัก หากไม่ใช่เพราะเจ้าคือราคะข้าก็จะไม่ไว้หน้าเจ้าเหมือนกัน” ชายในชุดหรูหราพูดด้วยใบหน้าเย็นยะเยียบ ท่าทางมันเองก็มีท่าที่ต่อต้านไม่น้อย
“ก็เอาสิ อัตตา แต่คราวนี้ชุดเจ้าจะเปื้อนเลือดของเจ้าเอง ไม่ใช่แค่น้ําในแจกัน” หญิงสาวว่าพลางครีพัดในมือมาป้องปากช้าๆ พลังมารของนางนั้นเสมอกันกับของอัตตาพอดี นั่นคือนางเองก็อยู่ระดับเจ้าสวรรค์เช่นเดียวกัน เพียงแต่นางกลับมีบางอย่างที่อัตตายังเกรงอยู่บ้าง
“เหอะ” อัตตากลับมายืนตัวตรงพลางมองหยดน้ําที่กระเซ็นมาโดนเสื้อผ้าของมัน อย่างไรมันก็เล็กน้อยอัตตาจึงปล่อยผ่านไปแล้วเดินกลับมายืนที่เดิม
“ที่ข้าไม่ได้เอาตัวโทสะมาเพราะมันสามารถควบคุมจิตมารได้” อัตตาว่าพลางยิ้มออกมา
“แต่ข้าฆ่าคนสําคัญของมันแล้ว ไม่นานมันก็จะมาแก้แค้น และเมื่อความแค้นถึงขีดสุดมันก็จะโดนโทสะครอบงํายังไงล่ะ”ได้ยินเช่นนั้น ราคะก็นิ่งไปครู่หนึ่ง ได้ยินมาว่าหากฝึกฝนมาดีพอก็จะกดจิตมารของวิชามารเอาไว้ได้ ไม่นึกว่าในช่วงเวลานี้ก็มีคนทําได้ด้วย
“เข้าใจแล้ว เช่นนั้นก็แจกจ่ายติรามารให้ลูกน้องของพวกเจ้าซะ เท่านี้มารทั้ง 108 ก็จะกลับมาคืนชีพอีกครั้ง เมื่อพวกมันสะสมพลังได้ข้าจะเริ่มแผนการยึดครองอาณาจักรชู” ราคะพูดด้วยน้ําเสียงยั่วยวน ก่อนที่นางจะลุกขึ้นยืนช้าๆ ทําให้ชายหนุ่มด้านหลังเดินเข้ามาหานางพร้อมเสื้อคลุมในทันที
“แยกย้ายได้” พูดจบราคะก็เดินหายเข้าไปในปราสาทพร้อมๆกับชายหนุ่มของนาง แน่นอนว่าทุกคนรู้ว่านางจะทําอะไร แต่ก็ไม่มีใครสนใจเสียเท่าไหร่
“ข้าไม่ชอบยัยนั้นเลย” หญิงสาวในกลุ่มพูดพลางทําหน้าเบื่อโลก ตัวนางเอกก็งดงามไม่น้อย แต่กลับไม่มีเสน่ห์ยั่วยวนเท่าราคะ
“เจ้าเคยชอบใครด้วยงั้นเหรอ” ชายร่างอ้วนถามพลางหัวเราะออกมา ทําเอาหญิงสาวหันไปค้อนขวับ
“มีสิ ข้าชอบเจ้าไงตะกละ” หญิงสาวว่าพลางยิ้มกว้างจนเห็นเขี้ยวของนาง แต่ถึงนางจะบอกว่าชอบอีกฝ่ายแต่ชายร่างอ้วนกลับไม่มีท่าที่จะพอใจเลย
“เจ้ามันน่ารังเกียจ เห็นแก่กิน ไม่มีอะไรให้ข้าอิจฉาเลย เพราะแบบนั้นล่ะข้าถึงชอบเจ้าฮะๆๆ” หญิงสาวว่าพลางหัวเราะออกมาเสียงดัง
“ข้าพอใจของข้าแบบนี้เจ้าไม่ต้องมายุ่ง” ตะกละว่าพลางกอดอกนิ่ง นิสัยของพวกมันก็เหมือนชื่อวิชาของพวกมันนั่นล่ะ มารแต่ละคนต่างก็ถือครองชื่อแห่งบาปทั้ง 7 ประการ แต่ละคนต่างก็ใช้ชีวิตเหมือนบาปของตนไม่มีผิด เพราะการทําแบบนั้นทําให้พวกมันมีพลังมากขึ้น อย่างโทสะที่แฝงอยู่ในร่างของหยงเว่ย ยิ่งเจ้าของร้านโกรธเท่าไหร่ ก็ยิ่งคุ้มคลั่งปละดุดันเท่านั้น
“กว่าพวกมาร 108 ตนจะสะสมพลังได้คงใช้เวลาอีกนาน ข้าขอออกไปเที่ยวหน่อยแล้วกัน” หญิงสาวว่าพลางเดินออกไปทางประตู
“เจ้าจะไปไหนริษยา” อัตตาถามพลางมองหญิงสาวที่กําลังจะออกนอกประตูไป
“ข้าได้ข่าวว่ามีหญิงงามล่มเมืองคนหนึ่งอยู่ที่อาณาจักรอี้ ข้าจะไปดูหน่อยว่านางน่าอิจฉาเพียงไร”ริษย่าพลางหัวเราะคิกคักก่อนออกประตูไป
“ให้ตายสิ พวกจ้านี้อยู่เฉยๆกันไม่เป็นหรือไง” ชายอีกคนหนึ่งในห้องว่าพลางเดินไปนั่งตรงบันไดของที่ตั้งบัลลังก์พอนั่งไปได้ พักหนึ่งมันก็นอนลงกับบันไดทั้งๆแบบนั้นเสียเลย
“หยงเว่ยเจ้าไปโดนอะไรมา”ในเช้าหลังจากพวกมารบุกขโมยตํารา หยงเว่ยก็เดินทางมายังวังหลวงเพื่อขอพบกับอู๋หมิงทันที
“มีพวกมารเข้ามาโจมตีวัด ตอนนี้เหลือข้าเพียงคนเดียวเท่านั้น” หยงเว่ยตอบพลางยืดตัวตรงอย่างยากลําบาก ร่างกายของมันบอบช้ํามากทีเดียว ทําให้อู๋หมิงกังวลมากทีเดียว อู๋หมิงเป็นคนหนึ่งที่เคยสู้กับหยงเวยมาแล้ว เกราะมรกตของมันแข็งมาก การที่อีกฝ่ายโจมตีทะลุเกราะมรกตของมันมาได้นับว่าน่าตกใจจริงๆ
“วัดบนเขาหรือ…เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นได้อย่างไร”อู๋หมิงลุกขึ้นจากบัลลังก์ด้วยความตกใจ วัดที่ว่าเป็นวัดที่ฮองเฮาหรืออดีตพระมเหสีไปบ่อยๆนั่นเอง และราชวงซ์ก็มักจะไปที่วัดแห่งนี้เช่นกัน นับว่าเป็นวัดที่ผูกพันกับราชวงศ์อู๋ไม่น้อย
“ดูเหมือนตํารามารทั้ง 7 ที่เคยสาบสูญไปได้กลับมาแล้ว ข้าเลยต้องมาบอกเจ้าให้ทราบเอาไว้” หยงเว่ยว่าพลางหายใจหนักๆ อาการของมันยังไม่ดีขึ้นเลย ช่างน่าเจ็บใจนัก
“ตํารามารทั้ง 7. จริงสิ ในตําราเทวะปราบมารก็เขียนเอาไว้แบบนั้น”อู๋หมิงพยักหน้าเข้าใจ มันเองก็ได้รับตํารามาจากเจ้าอาวาส แต่เพราะงานของจักรพรรดิและสงครามคราวก่อนทําให้อู๋หมิง ยังไม่ได้ฝึกแต่อย่างไร ทําได้เพียงอ่านเท่านั้น
“ถูกแล้ว ข้ามาที่นี่เพื่อขอตําราเล่มนั้นจากเจ้า ศัตรูคราวนี้คือเหล่ามาร หากข้าฝึกวิชาเทวะปราบมารสําเร็จข้าจะจัดการกับพวกมันได้” หยงเว่ยตอบพลางกําหมัดแน่น มันเคยเห็นเจ้าอาวาสใช้พลังเทวะปราบมารมาก่อน มันได้ผลดีกับพวกมารที่เดียว
“เรื่องนั้นก็ได้อยู่หรอก แต่ข้าไม่มั่นใจว่าเจ้าจะฝึกสําเร็จ”อู๋หมิงส่ายหน้าพลางถอนหายใจออกมา
“ต่อให้ไม่สําเร็จข้าก็อยากจะลอง” หยงเว่ยว่าพลางยื่นมือออกไป ไม่ต้องมีใครบอกหยงเว่ยก็ทราบว่าพลังของวิชาเทวะปราบมารนั้นเป็นปรปักษ์กับพลังมาร การที่มารจะฝึกนั้นเป็นไปได้ยาก
มาก
“ได้ ถึงอย่างไรตําราเล่มนี้ก็เป็นของท่านเจ้าอาวาส” อู๋หมิงพยักหน้าพลางยื่นตําราเทวะปราบมารให้กับหยงเว่ย เรื่องมารทั้ง 7 นั้นก็เป็นเรื่องที่อู๋หมิงต้องระวังเช่นกัน ดูจากปฏิกิริยาของอาจารย์ของมันอย่างอาวุโสเทียนหมิงแล้วก็น่าจะทราบว่า มารนั้นเป็นตัวหายนะแค่ไหน อาวุโสเทียนหมิงยามได้ทราบว่าหยงเว่ยเป็นมารก็แทบจะสังหารทันทีโดยไม่สนว่าอีกฝ่ายเป็นแค่เด็กพึ่งเริ่มฝึกวิชาเสียด้วยซ้ํา
“ขอบใจ” หยงเว่ยรับตําราเทวะปราบมารมาพลางทําท่าจะเดินจากไปทันที แต่อู๋หมิงกลับข้องใจกับอาการบาดเจ็บของหยงเว่ย
“เจ้าไม่รักษาอาการบาดเจ็บก่อนหรือ” อู๋หมิงถามออกไปพร้อมมองบาดแผลของหยงเว่ย บาดแผลภายนอกของหยงเว่ยจะถูกเนื่อ มรกตปิดเอาไว้ทันที ทําให้ภายนอกไม่มีบาดแผลอะไรร้ายแรง การที่มันยังเดินลําบากเช่นนี้จะต้องเป็นอาการบาดเจ็บภายในแน่นอน
“ถ้าเจ้าต้องการข้าจะขอร้องให้ไป๋จูเหวินมาช่วยดูอาการเจ้าดีหรือไม่” อู๋หมิงถามพลางลุกขึ้นจากบัลลังก์
“ไม่ มันพึ่งจะแต่งงาน อย่าไปรบกวนมันเลย” หยงเว่ยว่าพลางเดินออกไปทั้งๆแบบนั้น หากตําราเทวะปราบมารไม่ได้อยู่ที่อู๋หมิง หยงเว่ยก็ไม่คิดจะมารบกวนอูหมิงเสียด้วยซ้ํา
ปังๆๆๆๆๆๆ เสียงประทัดที่ถูกจุดขึ้นหน้าวังมังกรดังไปทั่วพร้อมเสียงโห่ร้องยินดีของเหล่าสมาชิกกลุ่มนักล่าอสูร และเหล่าสมาชิกของกลุ่มผู้ฝึกอสูรที่อยู่ร่วมงานด้วยเช่นกัน
“ขอเชิญท่านหัวหน้าและนายหญิงขึ้นมาด้านหน้า” อาวุโส 7 ว่า พลางยิ้มกว้าง หายากมากที่คนขี้เกียจอย่างนางจะตื่นแต่เช้ามาร่วมงานฉลองแบบนี้
“คารวะท่านหัวหน้า คารวะนายหญิงเหล่าสมาชิกแต่ละหน่วย เรียงแถวกันอย่างสวยงามต่างพากันประสานมือคารวะให้กับไป๋จูเหวินและเหม่ยหลินที่เดินออกมาหน้าวังมังกรกันอย่างพร้อมเพียง แม้แถวของหน่วย 7 จะเยอะขึ้นมาก แต่ก็สั้นกว่าแถวอื่นมาก ทําเอาไป๋จูเหวินนึกถึงวันที่อู๋เทียนเหวินเดินทางมาเลย
“ขอบคุณทุกคน ข้าคือไป๋จูเหวิน หัวหน้ากลุ่มนักล่าอสูรคนใหม่”ไป๋จูเหวินว่าพลางเดินออกไปพร้อมเหม่ยหลิน ยามนี้ไป๋จูเหวินปล่อยพลังวิญญาณและพลังอสูรออกไปทั่วทิศตามที่หวงหลงสั่งเอาไว้ เพื่อแสดงความยิ่งใหญ่ของหัวหน้าคนใหม่แห่งกลุ่มนักล่าอสูร แน่นอนว่าเหม่ยหลินเองก็เช่นกัน ทําให้ทั้งพลังอสูรและพลังวิญญาณของพวกมันทําเอาเหล่าลูกน้องต่างเลื่อมใสกันอย่างมาก ทําให้พิธีแต่งตั้งของไป๋จูเหวินดําเนินไปได้อย่างราบรื่น
“เหนื่อยหน่อยนะ” หลังจากพิธีแต่งตั้งสิ้นสุดลง หวงหลงก็เดินเข้ามาหาไป๋จูเหวิน
“ขอรับ ข้าไม่ค่อยถนัดเรื่องแบบนี้เท่าไหร่”ไป๋จูเหวินว่าพลางยิ้มเจื่อนๆ มันเคยช่วยงานหวงหลงมาแล้ว งานจัดการปัญหาเลยไม่ได้ลําบากนัก แต่การยืนต่อหน้าผู้คนแล้วแบกรับความหวังของทุกคนเอาไว้ ทําเอาไป๋จูเหวินกังวลไม่น้อย พอเป็นแบบนี้แล้วไป๋จูเหวินก็เริ่มรู้สึกนับถืออู๋หมิงขึ้นมาทันที มันต้องรับความหวังคนทั้งอาณาจักรแบบนี้บนหลังของมันคงหนักอึ้งน่าดู
“เจ้าทําได้ดีมากเลย ไม่นึกเลยว่าภาพกลุ่มนักล่าอสูรเมื่อวันวานจะกลับมาไวเช่นนี้” หัวหน้าถังว่าพลางเดินมายืนข้างๆบัลลังก์ของหัวหน้ากลุ่มนักล่าอสูร ตัวมันสมัยก่อนเคยมาอาศัยอยู่ที่นี่ตอนบิดาของหวงหลงยังครองตําแหน่ง ความยิ่งใหญ่ในตอนนั้นแม้จะมากกว่านี้ แต่ก็ไม่ได้ห่างไกลกันมาก นับว่ายุคสมัยตกต่ําของกลุ่มนักล่าอสูรได้ผ่านพ้นไปแล้วก็ว่าได้
“ขอบคุณขอรับ”ไป๋จูเหวินยิ้มรับพลางมองไปทางหวงหลง ตัวมันเองก็ไม่ได้นั่งที่บัลลังก์เช่นกัน เพราะตอนนี้บัลลังก์แห่งกลุ่มนักล่าอสูรไม่ใช่ของมันอีกต่อไปแล้ว
“นั่งสิ” หวงหลงพูดพลางจับไปที่พนักพิงของบัลลังก์ ทําให้ไป๋จูเหวินเดินเข้าไปนั่งที่บัลลังก์ช้าๆ แต่ก่อนไป๋จูเหวินไม่เคยมองบัลลังก์ยิ่งใหญ่อะไร เพราะมันก็เป็นแค่เก้าอี้ แต่พอได้มานั่งแล้วมันถึงได้ทราบวว่า บัลลังก์นั้นสูงมากทีเดียว แถมยิ่งได้เห็นเหล่าอาวุโสที่นั่งอยู่รอบข้าง ตัวไป๋จูเหวินก็เข้าใจทันทีว่ามันต้องรับผิดชอบอะไรบ้าง
“ยินดีกับท่านหัวหน้าที่ได้รับตําแหน่งเหล่าอาวุโสและรองหัวหน้าพูดพลางกระสานมือคารวะเช่นกัน แม้พวกมันทั้งหมดจะแก่กว่าไป๋จูเหวิน แต่เมื่อไป๋จูเหวินขึ้นมาเป็นหัวหน้ากลุ่มแล้วพวกมันก็ต้องเป็นฝ่ายคารวะ
“ขอบคุณ ข้าจะทําให้ดีที่สุด”ไป๋จูเหวินว่าพลางยิ้มรับ ยามนี้กลุ่มนักล่าอสูรกลายเป็นบ้านของไป๋จูเหวินโดยสมบูรณ์แล้ว