บทที่ 66 Ink Stone_Romance

และแล้ว วันพบปะที่อาซเชิญก็มาถึง เห็นได้ชัดว่าเป็นการพบปะที่เหล่าผู้ชายเป็นตัวหลักของงาน เธอจึงสวมเสื้อผ้าที่เรียบง่าย เพราะเธอไม่จำเป็นที่จะต้องเรียกร้องความสนใจ

เธอตั้งใจจะใส่กางเกงผู้หญิงขายาวสำหรับท่องเที่ยวเดินทาง แต่เธอล้มเลิกเพราะคิดว่าตัวเองคงจะกังวลมากเกินไป เธอจึงแค่เลือกชุดที่เรียบง่ายที่สุดในบรรดาชุดเดรสที่เธอมี

“เลดี้ ติดกิ๊บอะไรหน่อยดีไหมคะ?”

แอนนี่ถามพร้อมกับนำที่ติดผมรูปดอกกุหลาบสีทองมาให้ ซึ่งเป็นกิ๊บที่ออสการ์ให้มา ทั้งที่จะเอาอันอื่นมาให้ก็ได้แท้ๆ ทำไมต้องเป็นอันนั้น… อาเรียส่ายหัว

“ไม่เป็นไรหรอก เพราะวันนี้ฉันไม่จำเป็นจะต้องดูสวยน่ะ”

“เฮ้อ ถึงอย่างนั้นมันก็น่าเสียดายนิดหนึ่งนะคะ…”

เธอเห็นเจสซี่ที่กำลังหยิบหมวกที่ดูเข้ากับชุดของเธอออกมาอยู่ทางด้านหลังของแอนนี่ผู้กำลังรู้สึกเสียดายแม้จะไม่รู้ว่าเจ้านายตัวเองกำลังจะไปไหน

“สวมหมวกดีไหมคะ?”

“เอาตามนั้นแล้วกัน”

เมื่อเธอผูกริบบิ้นที่อยู่ติดกับหมวกให้เป็นรูปโบที่ใต้คาง เธอดูเหมือนผู้หญิงเรียบร้อยและมีกิริยามารยาท อาเรียส่องกระจกดูอีกที เธอเผยยิ้มเป็นนัยว่าถูกใจ ก่อนจะออกไปอย่างเร่งรีบ แอนนี่ออกจากคฤหาสน์ พร้อมออกคำสั่งแก่เบอร์รี

“เช็ดทำความสะอาดให้ทุกซอกทุกมุม จนกว่าเลดี้จะกลับมา แล้วก็อย่าลืมระบายอากาศด้วย”

อาจจะเพราะไม่กี่วันที่ผ่านมาเธอทำงานหนัก เบอร์รีถึงได้ก้มหัวโค้งคำนับอย่างรวดเร็ว

การพบปะจัดขึ้นในสถานที่ที่ห่างจากศูนย์กลางเล็กน้อย ซึ่งเป็นที่ที่เงียบสงบ และส่วนใหญ่เป็นบ้านเรือนที่พักอาศัย

อาเรียเข้าไปในร้านกาแฟเล็กๆ ที่บริเวณนั้น แล้วสั่ง ‘ลาเต้ใส่มาการอง’ หลังจากที่เจ้าของร้านถามว่าจะรับอะไร สายตาของเจ้าของร้านที่ตอบว่ารับทราบนั้น มองไปยังแอนนี่และเจสซี่

“แล้วอีกสองท่านที่มาด้วยกันล่ะครับ?”

“ฉัน… ขอเป็นเวียนนาคอฟฟี่ค่ะ”

และเจสซี่ก็สั่งหลังจากแอนนี่

“ฉันก็ขอกาแฟที่เป็นลาเต้ใส่มาการองแบบเดียวกับเลดี้ค่ะ”

ทันใดนั้นเจ้าของร้านก็มีสีหน้าลำบากใจขึ้นมา

“ขออภัยด้วยครับ แต่มาการองหมดแล้ว คงต้องสั่งเป็นเมนูอื่นน่ะครับ”

“อ๊ะ ถ้าอย่างนั้นเอาเป็นเวียนนาคอฟฟี่แล้วกันค่ะ”

“ครับ กรุณารอที่โต๊ะสักครู่นะครับ เลดี้ที่สั่งมาการองเชิญทางนี้เลยครับ”

เมื่ออาเรียที่ได้รับนาฬิกาทรายมาจากเจสซี่ พยายามจะไปที่ไหนสักแห่งคนเดียว สาวใช้ทั้งสองก็รีบตามติดเธอไปด้วยความงุนงง เป็นเพราะพวกเธอไม่รู้เรื่องโดยละเอียด

อาเรียส่ายหัว แล้วสั่งให้พวกเธอรออยู่ที่นี่

“ฉันมีธุระต้องไปทำหน่อยน่ะ พวกเธอนั่งดื่มกาแฟรอที่นี่นะ จะสั่งอย่างอื่นมากินอีกก็ได้ เพราะอย่างนั้นก็อยู่กันเงียบๆล่ะ”

  “เลดี้…”

แอนนี่และเจสซี่มองตามหลังอาเรียที่หันกลับไปอย่างเย็นชา ด้วยใบหน้ากังวลและเป็นห่วง

เธอตามเจ้าของร้านไป และออกมาข้างนอกทางประตูด้านหลังร้านกาแฟ ในที่สุดเธอก็เห็นประตูเล็กๆ ขนาดที่แม้แต่คนเดียวยังลอดผ่านไปยาก อยู่บริเวณตรงหัวมุม ประตูนั้นดูคล้ายกับโกดังเก็บของ

เจ้าของร้านกล่าวพลางไขประตูด้วยกุญแจ

“ทุกคนกำลังรออยู่เลยครับ เดี๋ยวกระผมจะล็อกประตูจากทางด้านนอก เลดี้ลงไปข้างล่างได้เลยครับ”

อาเรียพยักหน้า แล้วเดินเข้าไปข้างใน เธอนึกว่ามันน่าจะมืด แต่ก็มีแสงไฟส่องสว่างไปทั่วทุกที่ เธอจึงไม่รู้สึกอึดอัดอะไร

พอเธอก้าวออกไปได้ก้าวหนึ่ง ก็ได้ยินเสียงประตูล็อกดังแกร๊ก อาเรียที่หันกลับไปมองครู่หนึ่งด้วยความตกใจ นึกขึ้นมาได้ว่าเขาบอกเธอว่าจะล็อกประตูจากด้านนอก เธอจึงก้าวลงบันไดไปอีกครั้ง

‘อันตรายน่าดูเลยนะนี่…’

เธอก้าวลงทีละก้าวด้วยความระมัดระวัง เนื่องจากบันไดแคบ ถึงบันไดจะไม่ได้สูง แต่เธอรู้สึกว่าหากก้าวพลาดล่ะก็ คงจะกลิ้งล้มตกลงไปแน่ๆ

นี่มันอย่างกับองค์กรลับเลยไม่ใช่เหรอ ทำไมต้องมาจัดการพบปะในที่ลับๆ แบบนี้ด้วย? เธอนึกสงสัยขึ้นมา

พอลงบันไดมาด้านล่างสุด ก็มีประตูไม้เล็กๆ บานหนึ่งรอเธออยู่ เธอหมุนลูกบิดเพื่อดูว่าประตูล็อกอยู่หรือไม่ แล้วประตูก็เปิดออกพร้อมกับเสียงประหลาด

เธอแอบหวังเล็กๆ ว่าจะมีอะไรพิเศษรอเธออยู่ แต่ด้านในเป็นห้องธรรมดาที่มีแค่โต๊ะใหญ่ๆ กับเก้าอี้ไม่กี่ตัว และพวกผู้ชายไม่กี่คนที่มารวมตัวกัน บนโต๊ะมีน้ำวางอยู่ตามจำนวนคน

“มาแล้วเหรอครับ”

อาซที่นั่งอยู่เก้าอี้ด้านในสุด ยืนขึ้นด้วยสีหน้ายินดี ทันใดนั้น ทุกสายตาก็จับจ้องมาที่อาเรีย ในบรรดาสายตาเหล่านั้น อาเรียก็หาผู้ชายสองคนที่เธอคุ้นเคยเจอ

‘คนแรกคือเรน และอีกคนคือ… อัศวินที่เจอในร้านขายของชำเหรอ’

ดูเหมือนว่าเธอจะประสบความสำเร็จที่เลือกใส่เสื้อผ้าธรรมดาๆ มา เพราะเสื้อผ้าของทุกคนที่มารวมตัวกันที่นี่ช่างดูเรียบๆ พื้นๆ ไปหมด สีดำมีมากที่สุด และถึงแม้จะมีสีอื่น แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นสีเข้มอย่างสีเทา

อาเรียรับสายตาทุกคู่ของพวกเขา ปิดประตู แล้วเข้ามาด้านใน เธอถอดหมวก และกล่าวทักทาย

“ฉันอาเรียค่ะ เพิ่งมาเข้าร่วมเป็นครั้งแรก จึงยังไม่ค่อยรู้อะไรมาก ฝากเนื้อฝากตัวด้วยค่ะ”

ไม่จำเป็นจะต้องบอกนามสกุล นั่นเป็นหนึ่งในสิ่งที่อาซเตือนเธอ อาซยังอธิบายเพิ่มอีกว่าที่นี่จะพูดคุยโต้ความกันแค่เรื่องภูมิปัญญาความรู้ โดยไม่เกี่ยงตระกูลหรือฐานะ

“ยินดีต้อนรับครับ”

“การต้อนรับทักทายคนใหม่ๆ เป็นเรื่องที่สนุกเสมอครับ”

พวกเขาต่างต้อนรับอาเรียด้วยใบหน้ายินดี โดยไม่ได้สนใจเพศหรืออายุของเธอ สมกับที่เป็นเหล่าบุคคลที่อาซเลือกมา ผู้ซึ่งบอกให้เธอมาเข้าร่วมการพบปะด้วย

“ไม่เจอกันนานเลยนะครับ คุณอาเรีย นั่งลงตรงนี้ก่อนสิครับ”

ที่นั่งตรงที่เรนชี้นั้นคือที่นั่งข้างเขา ซึ่งก็เป็นที่นั่งฝั่งตรงข้ามอาซ พออาเรียนั่งลง เหล่าผู้ร่วมงานก็แนะนำชื่อของตัวเอง

หนึ่งในนั้นเป็นคนรู้จักของเธอในอดีต แม้แต่ในพรรคชนชั้นสูงเอง เขาก็เป็นคนที่ครองกลุ่มผู้นำ เธอจำได้ว่าเคยไปร่วมงานปาร์ตี้บ่อยครั้ง และสร้างสัมพันธ์กับเหล่าชนชั้นสูงไปทั่ว และเธอก็ยังจำได้อีกว่าเขาไม่ได้มีความสนใจในตัวเธอในอดีต

“ถ้าอย่างนั้น มาเริ่มกันเลยเถอะ”

ระหว่างที่เธอกำลังหวนนึกถึงอดีตอยู่นั้น อาซก็กล่าวเริ่มงาน

พอการพบปะเริ่มขึ้น เขาก็ไม่ได้ใช้คำพูดภาษาสุภาพกับคนอื่นๆ นอกจากอาเรีย แม้ทุกคนนอกจากเขาจะใช้ภาษาสุภาพกันก็ตาม

เขาไม่มีทางเป็นคนจากตระกูลเฟรดเดอริก และเขาก็ไม่น่าจะใช่คนจากตระกูลมาร์ควิสด้วย แท้จริงแล้วอาซเป็นใครมาจากไหนกันแน่

“ถ้าจบลงด้วยความเริงรมย์ดีๆ ก็คงไม่มีปัญหาอะไร แต่นี่มันไม่ใช่ เพราะอย่างนั้นการปิดตัวลงคือคำตอบครับ”

“เราจะปิดกิจการลงดื้อๆ อย่างนั้นไม่ได้นะครับ ทราบไหมครับว่าแค่ภาษีที่ได้จากคาสิโนก็เป็นเงินจำนวนตั้งเท่าไรแล้ว?”

“ผมเห็นด้วยครับ อีกทั้งผมรู้มาว่าข่าวลือเรื่องที่เจ้าชายเป็นคนจัดการเองโดยตรงแพร่ออกไป ทำให้ประเทศอื่นๆ เองก็ให้ความสนใจเรื่องนั้นด้วยเช่นกันครับ บางทีนี่อาจจะเป็นโอกาสอันดีที่จะดึงดูดเหล่าชนชั้นสูงจากประเทศอื่นๆ ก็ได้นะครับ”

หัวข้อคือคาสิโน ผิดจากที่คาดไว้ ซึ่งเป็นหัวข้อที่เธอเคยคุยกับมิเอลและเรนก่อนหน้านี้

‘อย่าบอกนะว่าเขาตั้งใจเลือกหัวข้อนี้ เพราะรู้ว่าฉันจะมาน่ะ…?’

อาเรียที่กำลังนั่งฟังบทสนทนา หันไปมองเรนที่นั่งอยู่ข้างๆ เขาเพียงแต่ร่วมวงสนทนาอย่างตั้งอกตั้งใจ โดยไม่ได้สนใจอาเรีย

“หากปิดคาสิโนถูกกฎหมาย อาจนำไปสู่การพนันที่ผิดกฎหมายก็ได้นะครับ การหยุดมันอย่างไร้เหตุผลนั้นไม่ใช่ทางออกครับ”

เขาพูดถูกแล้ว คาสิโนจะต้องผ่านกระบวนการขั้นตอนการปิดตัวลง หลังจากเกิดอุบัติเหตุ ม้าได้รับบาดเจ็บระหว่างการแข่งม้า และในตอนนั้นเอง เหล่าผู้คนที่บ้าพนัน ก็จะมารวมตัวกัน ทำให้เกิดการพนันที่ผิดกฎหมายกระจายไปทั่วทุกที่

และในเมื่อมันเกิดขึ้นในมุมมืด ดังนั้นก็จะเกิดการค้าขายยาเสพติดร่วมกับการพนัน และเรื่องทั้งหมดนี่ก็จะวนกลับไป ตกเป็นภาระความรับผิดชอบของเจ้าชายที่บริหารจัดการคาสิโนได้ไม่ดี

“ถ้าอย่างนั้นมีวิธีอื่นอีกเหรอครับ?”

“…สำหรับตอนนี้ ผมคิดได้แค่กำหนดวงเงินที่พวกเขาสามารถใช้วางพนันได้เท่านั้นครับ”

นั่นคือสิ่งที่มิเอลเคยพูดไปก่อนหน้านี้

“แล้วคุณจะวางข้อจำกัดอะไรในเมื่อแต่ละคนต่างก็มีทรัพย์สมบัติในจำนวนที่ต่างกัน”

เรนถามกลับ ซึ่งเป็นคำถามที่อาเรียเคยถามมิเอลผู้โง่เขลา

เขาขยิบตาข้างหนึ่งให้อาเรีย เหมือนเป็นนัยว่าเขาขอโทษที่ยืมความคิดเธอไป

“เรากำหนดวงเงินตามรายได้ของพวกเขาไม่ได้เหรอครับ”

“ก็เป็นความคิดที่ไม่เลวเลย”

ไม่ใช่ ถึงจะทำอย่างนั้นไป ยังไงก็จะเกิดการพนันที่ผิดกฎหมายขึ้นอยู่ดี เพราะพวกบ้าคาสิโนไม่ได้ยึดติดกับสถานที่ยังไงล่ะ พวกเขาเพียงแค่เสี่ยงทุ่มเงินตัวเองไป แล้ววาดฝันไปว่าจะได้โชคลาภใหญ่โตกลับมาเท่านั้น

บทสนทนาเรื่องคาสิโนนั้นดำเนินไปในทิศทางที่จะวางวงเงินจำกัดตามรายได้ สภาพที่พวกเขากำลังเสนอการกำหนดวงเงิน และอภิปรายไปถึงเรื่องรายได้อย่างเป็นรูปธรรมนั้น ช่างดูโง่เขลานัก

ทั้งที่พวกเขาได้รับการศึกษามาอย่างดีกันหมดแท้ๆ แต่ทำไมถึงมองอะไรตื้นๆ แบบนั้นกันนะ พวกเขาคงจะคิดว่าจะทำอย่างไรให้คาสิโนคงอยู่ต่อไปได้ ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าอะไรคือข้อเสีย

‘เพราะว่าฉันรู้อนาคตอย่างนั้นเหรอ…’

อาจจะเพราะเธอรู้อนาคตสุดแสนเลวร้าย และรู้ว่าพวกเขาทั้งหมดไม่มีประโยชน์อะไรเลย

อาซจ้องไปยังอาเรียซึ่งกำลังขมวดคิ้วเล็กน้อย อาเรียเองก็จ้องไปยังอาซที่ยังไม่ได้มีส่วนร่วมในการอภิปรายหลังจากประกาศเริ่มสนทนา

พอทั้งสองสบตากัน เขาก็ยกมุมปากขึ้นยิ้ม ดูราวกับว่าเขาหัวเราะเยาะเธอที่ไม่ยอมพูดอะไรแม้จะมีความคิดเห็นบางอย่าง ถึงแม้ว่าความจริงมันไม่มีทางเป็นอย่างนั้น

“ผมไม่เห็นด้วยครับ”

ด้วยเหตุนี้เอง เธอรู้สึกเหมือนถูกอาซเร่งเร้า เธอจึงเปิดปากพูด เสียงที่ชัดเจนและโปร่งใสดังก้องอยู่ท่ามกลางอากาศ ดึงดูดสายตาของเธอในทันที

‘ใช่แล้ว เพราะฉันก็แค่พลิกนาฬิกาทรายเอาก็ได้ ถ้าจำเป็น ‘

ดังนั้นเธอก็คงไม่ถูกทำให้อับอายขายขี้หน้าหรอก อาเรียกล่าวความเห็นของเธอ พลางจับกล่องนาฬิกาทรายที่อยู่บนตักของเธอ

“ไม่ว่าพวกเราจะคิดวิธีไหนก็ตาม ธุรกิจคาสิโนนั้นจะโดนผู้คนกล่าวหาผิดๆ ว่าล้มเหลวอยู่ดี เจ้าชายเองก็เช่นเดียวกันค่ะ”

พวกเขามีสีหน้าประหลาดอย่างบอกไม่ถูก หลังจากที่จู่ๆ เธอก็สาดน้ำเย็นไปอย่างกะทันหัน ความเงียบดำเนินต่อไปสักพัก กระทั่งเรนซึ่งเคยคุยเรื่องเดียวกันกับเธอก่อนหน้านี้ ก็เป็นคนทำลายความเงียบนั้น แล้วเอ่ยปากถาม

“ถ้าอย่างนั้นคุณจะบอกให้ปิดตัวลงเหรอครับ?”

“ส่วนตัวแล้วดิฉันคิดเช่นนั้นค่ะ หากเราวางข้อกำหนดไว้ พวกที่ถูกข้อกำหนดนั้นควบคุมไว้ ก็จะหันมือไปเล่นการพนันที่ผิดกฎหมาย และพอคนพวกนั้นเพิ่มมากขึ้น วัฒนธรรมมืดก็จะถูกทำให้มีอำนาจขึ้นมาอีกค่ะ”

“นั่นเป็นเรื่องที่มีความเป็นไปได้สูงเลยทีเดียว ก่อนหน้านี้ก็มีความเห็นแบบนี้ออกมาเช่นกัน แต่ถึงแม้ว่าเราจะปิดคาสิโนลงตอนนี้ ก็จะมีเสียงรอบข้างออกมาว่าเจ้าชายบริหารจัดการได้ไม่ดีอีก”

ต้องสนใจถึงกระทั่งเรื่องนั้นเลยเหรอ? ที่นี่เป็นการรวมตัวกันของเหล่าผู้นำพรรคชนชั้นสูง แล้วทำไมจะต้องคิดถึงเกียรติและชื่อเสียงของเจ้าชายด้วยล่ะ

อย่างกับพรรคเจ้าชายกำลังคิดวิธีว่าจะทำอย่างไรไม่ให้ใครมาทำลายเจ้าชายได้อยู่เลยไม่ใช่เหรอ

หากพวกเขาคิดถึงเกียรติและชื่อเสียงของเจ้าชายล่ะก็ ทางออกมีทางเดียวเท่านั้น

“นี่เป็นปัญหาที่ต้องคิดไปถึงเรื่องเกียรติและชื่อเสียงของเจ้าชายสินะคะ ถ้าเช่นนั้นก็คงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากส่งระเบิดให้ศัตรูค่ะ เพราะเห็นได้ชัดว่าสักวันมันก็จะระเบิด”

ถึงแม้เธอจะพูดเพียงแค่นั้น แต่ทุกคนก็เข้าใจว่าอาเรียตั้งใจจะสื่ออะไร

“…หมายความว่าจะส่งให้พรรคชนชั้นสูงอย่างนั้นเหรอครับ?”

“ใช่แล้วค่ะ ถึงจะบอกว่าถูกกฎหมาย แต่การพนันก็คือการพนัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำลายสติและนำความเหลวแหลกมาสู่ชีวิตผู้เสพติดพนัน มักจะมีคนตกเป็นเหยื่อของธุรกิจที่ผู้คนนำเงินมาลงทุนและพยายามทำเงินก้อนโตจากมันอยู่บ่อยๆ ค่ะ ถ้าเช่นนั้นแล้ว การส่งต่อให้ผู้อื่นก็คงจะดีที่สุดใช่ไหมล่ะคะ”

“แต่ถ้าเราทำอย่างนั้น ก็จะมีข่าวฉาวว่าเจ้าชายบริหารจัดการได้ไม่ดีนะครับ”

“แต่มันก็ดีกว่าข่าวฉาวที่ทำลายประเทศไม่ใช่เหรอคะ ยิ่งไปกว่านั้น หากในอนาคตเกิดผลกระทบอะไร ก็โยนภาระความรับผิดชอบทั้งหมดไปให้พรรคชนชั้นสูงก็ได้อีกด้วยค่ะ”

อาเรียตอบพลางยักไหล่ของเธอ พอเธอมองดูสีหน้าของพวกเขาแล้ว ก็ดูเหมือนว่าจะไม่จำเป็นต้องใช้นาฬิกาทราย

“…หมายความว่าไม่ว่าเราจะทำอะไร ก็จะถูกตำหนิอยู่ดี เพราะอย่างนั้นให้เราโดนตำหนิเสียตั้งแต่ตอนแรกแป๊บเดียว แล้วหลังจากนั้นก็โยนภาระและหนีไปสินะครับ “

เรนถามกลับด้วยใบหน้าไร้สติ

“ใช่แล้วค่ะ ฉันหมายถึงมันคงจะดีกว่าถ้าเราส่งต่อธุรกิจอย่างมีเหตุผล แทนที่จะโดนตั้งข้อสงสัยถึงความสามารถของเจ้าชายหลังจากมันโดนทำลายไปแล้วน่ะค่ะ”

ก็ยังดีกว่าขั้นเลวร้ายที่สุดแหละนะ มันดีกว่าสำหรับตัวเจ้าชายเอง แน่นอนว่ามีข้อโต้แย้งจากพวกเขาทั้งหลายหลั่งไหลมาทันที

“ผมคิดว่ามันอาจจะเร็วไปหน่อยที่จะตัดสินใจแบบนั้น โดยที่ไม่ได้ลองลงมือทำอะไรเลย”

“ใช่แล้วครับ ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้ว เจ้าชายก็จะ…!”

“พอได้แล้ว”

ตอนนั้นเอง อาซที่เอาแต่ยิ้มมุมปากราวกับเขากำลังพอใจอะไรสักอย่างในระหว่างที่อาเรียกำลังพูดอยู่นั้น ก็เอ่ยปากขึ้น

…………………………………..