ภาคที่ 1 บทที่ 49 ปกปิดจุดอ่อน

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 49 ปกปิดจุดอ่อน

กิ่งไม้ที่มีเนื้อเสือเสียบไว้หมุนอยู่เหนือกองไฟ สะเก็ดประกายไฟพุ่งขึ้นมาเป็นครั้งคราวเมื่อไขมันที่ละลายเป็นน้ำหยดลงบนกองไฟ ส่งกลิ่นหอมเย้ายวนใจ

เนื้อของพยัคฆ์สีรุ้งสองหางมีกลิ่นที่หอมมาก ทว่ารสสัมผัสของมันกลับไม่ดีนัก มันค่อนข้างเหนียวและไม่อร่อย เหมือนเนื้อตากแห้งที่เก็บมานานแล้ว โชคดีที่ฟันของเหล่าผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดนั้นแข็งแรง สำหรับพวกเขาแล้วคุณภาพของเนื้อนั้นไม่สำคัญ ที่สำคัญกว่าคือปริมาณพลังต้นกำเนิดที่อสูรร้ายเก็บไว้ การกินเนื้อพวกมันมีส่วนช่วยเพิ่มความสามารถในการดูดซับ หมุนเวียนและนำพลังไปใช้ประโยชน์ได้ดียิ่งขึ้น มันจัดเป็นอาหารเสริมที่ดี

เนื่องจากความร้อนมีผลเสียต่อคุณค่าทางโภชนาการของเนื้ออสูร ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดบางคนจึงถึงกับเลือกที่จะกินเนื้ออสูรดิบ

ซูเฉินและจางหยวนเหลียวไม่สามารถทำสิ่งป่าเถื่อนเช่นนั้นได้ลง แต่พวกเขาก็ยังเริ่มกินเนื้อเสือทันทีที่มันสุก

ความอยากอาหารของผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดนั้นเยอะมาก ๆ พวกเขาสามารถกินทั้งเสือ หมี เสือดาว ฯลฯ ได้ทั้งหมดในคราวเดียว ส่วนใหญ่เป็นเพราะพวกเขามีทักษะการดูดซับที่สามารถช่วยให้พวกเขาดูดซับสิ่งที่มีคุณค่าทางโภชนาการสำหรับพวกเขาได้อย่างรวดเร็ว พวกเขาไม่จำเป็นต้องรอให้ขับถ่ายของเสียออกไปก่อนถึงจะสามารถกินต่อได้ เมื่อมีอาหารไม่มากพอพวกเขาสามารถอดอาหารชั่วคราว และดูดซับพลังต้นกำเนิดจากอากาศแทนได้

นี้ทำให้พวกเขาใช้ทรัพยากรได้อย่างคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพมาก และทุกครั้งที่พวกเขาล่าสัตว์สำเร็จ พวกเขาจะมีมื้ออาหารสุดหรู

“เอานี่!” จางหยวนเหลียวดึงเนื้อชิ้นหนึ่งจากเตาย่างที่เพิ่งปรุงเสร็จและมอบให้ซูเฉิน

“ขอบคุณ” ซูเฉินรับมันแล้วกัดมันลงไป ปากของเขาชุ่มไปด้วยน้ำมันและกลิ่นหอมก็แพร่กระจายออกมาอย่างรวดเร็ว

“จริงสิ เหตุใดนายน้อยสี่ของตระกูลซูถึงได้เข้ามาอยู่ในเทือกเขาสีเลือดนี้กันเล่า?” จางหยวนเหลียวถาม

“บทลงทัณฑ์สีเลือด” ซูเฉินตอบอย่างไม่ใส่ใจ

“บทลงทัณฑ์สีเลือด?” จางหยวนเหลียวตกตะลึง “เจ้าไปทำสิ่งใดมา จนตระกูลต้องมอบบทลงทัณฑ์สีเลือดให้แก่เจ้ากัน?”

“หลายสิ่งหลายอย่าง … ข้าทำให้ผู้ใต้บัญชาพิการ ทุบตีป้าและยังทุบตีลูกพี่ลูกน้องจนมันต้องนอนรักษาตัวอยู่บนเตียงเป็น 10 วัน”

จางหยวนเหลียวผิวปาก “ข้าไม่เคยคิดเลยว่าคนตาบอดจะโหดร้ายได้ขนาดนี้”

“แน่นอนเพราะข้าตาบอด ข้าจึงต้องทำตัวโหดเหี้ยม … กุมจุดสำคัญของพวกมันไว้และอย่าปล่อยไปง่าย ๆ !” ซูเฉินยิ้มเบา ๆ

จางหยวนเหลียวตกใจชั่วครู่ก่อนจะหัวเราะออกมาเสียงดัง “เยี่ยม กล่าวได้ดี ข้าบังเอิญมีเหล้าติดตัวมาด้วย มาเถอะพี่ชายเรามาดื่มด้วยกัน”

ขณะที่พูดเขาก็ดึงขวดน้ำและจอกสองใบออกมาจากห่อของตน

จางหยวนเหลียวเทเหล้าใส่จอกสำหรับซูเฉิน จากนั้นก็เทให้กับตัวเอง ก่อนจะกล่าวว่า “มา จอกนี้ดื่มให้แก่การพบกันของเรา การได้พบเจอกันในดินแดนรกร้างแบบนี้ถือได้ว่าเป็นโชคชะตาแล้ว!”

ซูเฉินจิบเข้าไปเบา ๆ

เหล้านี้แรงมาก มันเหมือนมีไฟกำลังไหม้อยู่ในคอของเขา

“เป็นอย่างไร รสแรงดีใช่ไหมล่ะ?” จางหยวนเหลียวหัวเราะ จากนั้นก็ดื่มเหล้าในจอกของเขาหมดรวดเดียว ก่อนจะเติมให้เต็มอีกรอบ

“ข้ายังไม่ชินกับเหล้าแรง ๆ ” ซูเฉินส่ายหัว แล้ววางจอกเหล้าลง “ว่าไป แล้วเหตุใดพี่ใหญ่จางถึงได้มายังเทือกเขาสีเลือดนี้กัน?”

“มีบางคนค้นพบแร่ดาราเงินในหุบเขามรกต ข้าเลยสงสัยว่าอาจมีสายแร่ใหญ่อยู่ใกล้ ๆ แถวนั้น จึงมาลองดูว่าข้าจะมีโชคกับเขาบ้างไหม” จางหยวนเหลียวตอบอย่างเฉยชา

“เหมืองแร่ดาราเงิน?” ซูเฉินก็ตกใจเช่นกัน

แร่ดาราเงินเป็นโลหะหายากที่ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดนิยมใช้กัน มันเป็นตัวนำพลังต้นกำเนิดอันดับหนึ่งที่ผู้คนมักจะนำมาใช้ในการสร้างเครื่องมือต้นกำเนิด บ้างก็ใช้ปรับแต่งสิ่งที่เกี่ยวข้องกับพลังต้นกำเนิด และยังช่วยในการบ่มเพาะ

โดยทั่วไปแล้วแร่ดาราเงินนั้นจะไม่ปรากฏมาเพียงเป็นกลุ่มเล็ก ๆ น้อย ๆ หากพบเจอบางส่วน เช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้สูงที่จะมีสายแร่ใหญ่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง

ตามข้อมูลที่จางหยวนเหลียวกล่าวมา คนที่พบแร่ดาราเงินในหุบเขามรกตนั้นเป็นนักล่าธรรมดาทั่วไป เขาไม่เข้าใจถึงคุณค่าที่แท้จริงของแร่ดาราเงิน คนผู้นั้นเพียงแค่คิดว่ามันดูสวยมากจึงนำมันกลับมาด้วย และเพราะเช่นนั้นเขาเลยไม่ได้เก็บเรื่องนี้เป็นความลับ เมื่อข่าวลือแพร่สะพัดออกไป หลายคนก็รู้ว่าในหุบเขามรกตอาจจะมีสายแร่ดาราเงินสายใหญ่อยู่ คนพวกนั้นจึงพากันมุ่งหน้าออกไปหาโอกาสสร้างโชคให้ตัวเอง

จางหยวนเหลียวก็ทำเช่นเดียวกัน เมื่อได้รับข่าว เขาก็รีบมุ่งหน้าเข้าสู่เทือกเขาสีเลือดในทันที โดยหวังว่าตนจะได้รับโชคที่ยิ่งใหญ่สักครั้งในชีวิต

แม้ว่าผู้ฝึกตนจะไม่เคยขาดเงินเพราะพวกเขาสามารถผลิตหินพลังต้นกำเนิดด้วยตนเองได้ แต่ในทางกลับกัน ความจำเป็นในการหาทรัพยากรดี ๆ มาฝึกฝนก็ทำให้เหล่าผู้ฝึกตนนั้นขาดแคลนเงินมากกว่าใคร นอกจากนี้การผลิตหินพลังต้นกำเนิดยังส่งผลกระทบต่อการฝึกฝน แม้จะทำงานหนักเป็นเวลา 1 ปีเต็มก็ผลิตหินพลังต้นกำเนิดได้เพียง 300 ถึง 400 ก้อนเท่านั้น แน่นอนว่ามันไม่เพียงพอที่จะใช้

นี่จึงทำให้ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดกลายเป็นพวกที่ต้องการความมั่งคั่งมากขึ้นเรื่อย ๆ และไล่คว้าทุกโอกาสที่พวกเขาสามารถคว้าได้ไปโดยปริยาย

สายแร่ดาราเงินในหุบเขามรกตถือเป็นโอกาสที่ดีและหายากอย่างเห็นได้ชัด

“นั่นเป็นเหตุผลที่ข้าต้องการบอกเจ้า แม้ว่าหุบเขามรกตจะไม่มีผู้ถือครอง ทุกคนที่ต้องการไปที่นั่นต่างก็สามารถเข้าไปได้ตามต้องการ และเพราะเหตุนี้เมื่อมันไม่มีคำสั่งหรือข้อจำกัดใด ๆ ข้อพิพาทมากมายก็ย่อมจะตามมา ไม่มีกฎและจริยธรรมที่นั่น แม้ว่าผู้ใดจะกระทำสิ่งที่ชั่วร้ายก็มีความเป็นไปได้สูงที่จะไม่มีผลกระทบใด ๆ ตามมา ความชั่วร้ายในใจจะขยายใหญ่ขึ้นและผู้อ่อนแอจะกลายเป็นเหยื่อของผู้แข็งแกร่ง นี่คือเหตุผลที่ข้าต้องการร่วมมือกับเจ้า หากเราร่วมมือกัน เราอาจจะสามารถสร้างสถานที่ที่เป็นของเราเองที่นั่นได้”

จางหยวนเหลียวอ้อนวอน เขาก็ยังคงไม่ยอมแพ้กับเป้าหมายที่จะเป็นพันธมิตรกับซูเฉิน

ซูเฉินไม่ได้สนใจอีกฝ่ายเลย เขาตอบกลับแค่ “โอ้” แล้วกินเนื้อต่อไป

“เจ้าไม่สนใจเลยเหรอ?” จางหยวนเหลียวค่อนข้างแปลกใจ “เรากำลังพูดถึงแร่ดาราอยู่นะ! แร่ดาราเพียงแค่ชิ้นเดียวก็มีมูลค่านับ 10 หรือหลาย 100 หินพลังต้นกำเนิดแล้วนะ!”

“แต่มันก็ยังต้องไปคอยอยู่ที่นั่นเพื่อขุดมันออกมาใช่ไหม?” ซูเฉินตอบกลับ “ข้าอยากอยู่ที่นี่และต่อสู้กับอสูรร้าย กินเลือดและเนื้อ เก็บเกี่ยวผืนหนังผืนขนของพวกมัน นอกจากนี้การอยู่ที่นี่ข้ายังสามารถฝึกฝนร่างกายของข้าและสะสมประสบการณ์มากกว่า การไปขุดหาโชคในเหมืองแร่”

“นั่นมันช้าเกินไป!” จางหยวนเหลียวถอนหายใจ “ผู้คนจะไม่มีทางรวยหากพวกเขาไม่มีโชคลาภ!”

“นั่นคือหลักการชีวิตของเจ้าหรือ?” ซูเฉินหัวเราะ “งั้นข้าก็คงไม่สามารถตกลงอย่างสุ่มสี่สุ่มห้าได้ โอ้ ขวดเครื่องเทศอยู่ที่ไหน? หยิบมันให้ข้าที ข้าต้องการโรยใส่เนื้อเพิ่มอีกหน่อย”

จางหยวนเหลียวหันมองไปรอบ ๆ และพึมพำ “แปลกจริง เมื่อครู่มันก็อยู่ตรงนี่นี้ ข้าเอาไปวางไว้ไหนแล้วนะ?”

จางหยวนเหลียวมองไปรอบ ๆ ทว่าก็หามันไม่พบ

“หากเจ้าหาไม่เจอก็มันช่างเถอะ ยังไงซะข้าก็อิ่มแล้ว”

“เจ้าจะไปแล้ว?”

“อืม”

“เอาล่ะ เช่นนั้นดื่มอวยพรกันสักจอกหนึ่ง แล้วก็แยกไปตามทางของตัวเอง” จางหยวนเหลียวชูจอกเหล้าในมือของเขา

ซูเฉินไม่เกรงใจอีกต่อไป ในทำนองเดียวกันเขาก็ชูจอกขึ้นแล้วชนกับจอกของจางหยวนเหลียวอย่างแรง ทั้งสองดื่มเหล้าหมดจอกไปพร้อมกัน

หลังจากดื่มเหล้าไปหมดแล้ว จางหยวนเหลียวก็ปาจอกทิ้งลงกับพื้น “ซูเฉิน เจ้าช่างเป็นคนที่ประหลาดเสียจริง แม้ว่าร่างกายของเจ้าจะพิการแต่จิตใจของเจ้ากลับแข็งแกร่ง แม้ว่าเจ้าจะมองไม่เห็นแต่เจ้าก็ยังกล้าเข้ามาในเทือกเขาสีเลือดนี้ด้วยตัวเอง ข้านับถือเจ้าจริง ๆ ”

ซูเฉินฟังอีกฝ่ายพูดอย่างเงียบ ๆ ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป

จางหยวนเหลียวกล่าวต่อ “แต่น่าเสียดาย แม้ว่าเจ้าจะมีความทะเยอทะยานและความมุ่งมั่น แต่ท้ายที่สุดเจ้าก็ยังเป็นเพียงเด็กหนุ่มและยังไร้เดียงสาเกินไป เจ้ายังมีประสบการณ์ไม่มากพอ”

การแสดงออกของซูเฉินนั้นนิ่งสงบ “พี่ใหญ่จางกำลังหมายถึงอะไร?”

จางหยวนเหลียวหัวเราะเยาะ “อยากรู้หรือ เช่นนั้นทำไมเจ้าไม่ลองโคจรพลังต้นกำเนิดของเจ้าดูเล่าว่ายังทำได้หรือไม่?”

ซูเฉินก้มศีรษะลง ดวงตาที่มองไม่เห็นของเขาจ้องไปที่จอกในมือ “เจ้าวางยาในเหล้างั้นหรือ? ทำไม?”

“ยังต้องมีเหตุผลอื่นอีกหรือ?” จางหยวนเหลียวแบมือออก “แน่นอนว่าย่อมเป็นเพราะเครื่องมือต้นกำเนิดของเจ้า สิ่งเหล่านั้นมีค่าอย่างยิ่ง แม้กระทั่งคนตาบอดเช่นเจ้ายังสามารถเดินในเทือกเขาสีเลือดได้อย่างปลอดภัย แล้วข้าจะไม่ถูกล่อลวงได้อย่างไร?”

“ดังนั้นเจ้าจึงเลือกจะลงมือกับข้า? กับผู้ช่วยชีวิตของเจ้า?”

จางหยวนเหลียวเงยหน้าขึ้นหัวเราะเสียงดัง และยกดาบเกล็ดมรกตของเขาขึ้นมาในเวลาเดียวกัน “เจ้าพูดถูกเจ้าได้ช่วยข้าไว้ แต่แล้วยังไงล่ะ? หลังจากที่ข้าสังหารเจ้าไปแล้วใครจะรู้? ก่อนหน้านี้ข้าก็เตือนเจ้าไปแล้วว่าไม่มีใครรวยโดยไม่มีโชค ดินแดนไม่มีเจ้าของ ไม่มีกฎ ไม่มีศีลธรรม ความชั่วร้ายในใจของมนุษย์ก็ย่อมจะทวีคูณขึ้น ทว่าเจ้าอ่อนโยนเกินไป และไม่เข้าใจสิ่งที่ข้าพยายามจะบอก แล้วเจ้าจะมาโทษข้าได้อย่างไร?”

ในขณะที่จางหยวนเหลียวกำลังพูด การแสดงออกของเขาเผยให้เห็นเจตนาฆ่าอย่างชัดเจน “คนตาบอดที่ถือครองเครื่องมือต้นกำเนิดก็เหมือนเด็กเล็กผู้เดินเล่นในตลาดที่คนพลุกพล่านขณะถือทองคำไว้ ผู้ที่ไม่เข้าใจวิธีซ่อนจุดอ่อน จะไม่เชื้อเชิญหายนะมาให้ตนเองได้อย่างไร ในเมื่ออีกไม่ช้าก็เร็วเจ้าก็ต้องตายอยู่ดี แทนที่จะให้ผู้อื่นได้กำไรไป ข้าเก็บกำไรไว้เองไม่ดีกว่าหรอกหรือ!”

หลังจากพูดจบ จางหยวนเหลียวก็วาดดาบลงไปบนหัวของซูเฉินในทันที

ดาบนี้เต็มไปด้วยความดุร้ายและรุนแรง เขาไม่ได้เก็บความเมตตาใด ๆ ไว้ในการโจมตีนี้แม้แต่น้อย

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่จางหยวนเหลียวเพิ่งก้าวออกไปได้เพียงก้าวเดียว ชายหนุ่มก็พบว่าเขาไม่สามารถควบคุมพลังต้นกำเนิดได้เลย ร่างกายทั้งหมดของเขาว่างเปล่าและอ่อนแอ

“ผงขัดพลังปราณ?” จางหยวนเหลียวชะงักค้างด้วยความตกใจอย่างยิ่ง

ผงขัดพลังปราณที่ควรอยู่ในท้องของซูเฉิน มาจบลงในท้องของเขาอย่างไร?

ในเวลาเดียวกัน กำปั้นของซูเฉินก็โจมตีออกไป หมัดอันทรงพลังที่หุ้มพลังต้นกำเนิดเอาไว้ กระแทกเข้ากับใบหน้าของจางหยวนเหลียวและส่งอีกฝ่ายลอยกระเด็นไป

“เจ้าไม่ได้ถูกวางยา … เจ้าสลับจอกเหล้า!” จางหยวนเหลียวเริ่มตะโกนอย่างหวาดกลัว

ซูเฉินเดินเข้าไปทีล่ะก้าว ทว่าราวกับว่าเขาได้เดินเข้าไปในหัวใจของชายหนุ่ม จางหยวนเหลียวรู้สึกกดดันอย่างมาก

“ข้าสลับพวกมันอย่างง่าย ๆ เมื่อตอนที่ข้าบอกให้เจ้าช่วยมองหาเครื่องเทศ” ซูเฉินตอบกลับ

“เจ้าระแวงข้าตลอดเลยงั้นหรือ?” จางหยวนเหลียวตกใจมากยิ่งขึ้น

“อันที่จริงต้องกล่าวว่า ข้าไม่ได้เชื่อใจเจ้าต้องแต่แรกแล้ว” ซูเฉินตอบอย่างใจเย็น

“ทำไมกัน? ข้าไม่เข้าใจ” จางหยวนเหลียวนอนอยู่บนพื้นราวกับว่าเขายอมแพ้อย่างสมบูรณ์แล้ว แต่ดวงตาของเขากลับยังคงกลอกไปกลอกมา

ซูเฉินแสร้งทำเป็นไม่เห็นขณะที่เขาตอบกลับอีกครั้ง “เพราะเจ้าไม่เข้าใจความกตัญญู ตอนที่ข้ากลับมาหลังจากสังหารพยัคฆ์สีรุ้งสองหาง ข้ากล่าวว่าหากเจ้าต้องการความช่วยเหลือ ครึ่งหนึ่งของเสือตัวนั้นจะต้องเป็นของข้า เจ้าจำคำตอบของเจ้าได้หรือไม่?”

“ไม่จำเป็น” จางหยวนเหลียวพูดขึ้นอย่างสับสน

“ ถูกต้องแล้ว ‘ไม่จำเป็น’ ” ซูเฉินหัวเราะ “เจ้าไม่คิดว่าตัวเองเป็นคนโลภใช่มั้ย ข้าเพิ่งช่วยชีวิตเจ้าแต่เจ้ากลับไม่อยากแบ่งพยัคฆ์สีรุ้งสองหางกับข้า ถ้าผู้ที่ข้าช่วยไว้มีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีสักนิด คำตอบมาตรฐานของมันไม่ใช่ว่าควรจะเป็น ‘เจ้าช่วยข้าไว้ เอาไปเถอะทั้งหมดนี้เป็นของเจ้า’ อะไรประมาณนี้หรอกหรือ?”

จางหยวนเหลียวตกตะลึงจนพูดไม่ออก

อย่างไรก็ตามลูกดอกสีม่วงดำ 3 ลูกกลับปรากฏมาอยู่ในมือซ้ายของเขาอย่างเงียบ ๆ เห็นได้ชัดว่าพวกมันเป็นลูกดอกพิษ

“แน่นอนว่าสิ่งที่ข้าสนใจไม่ใช้เจ้าเสือนั่นแต่เป็นความนัยที่ข้าส่งไป หากขาดความกตัญญูก็หมายความว่าไม่ว่าคนผู้นั้นจะลงมือทำอะไร มันก็ไม่มีสิ่งใดให้น่าแปลกใจ”

“ที่แท้เป็นเช่นนั้น” จางหยวนเหลียวยิ้มอย่างขมขื่น “ข้าเป็นคนชั่วร้ายผู้ไร้ความกตัญญู ไม่น่าแปลกใจเลยที่คนตาบอดอย่างเจ้าจะมองออก แต่ทว่า ……”

จางหยวนเหลียวลากคำพูดของเขาออกไป ทันใดนั้นน้ำเสียงของเขาก็เปลี่ยนไปและรุนแรงขึ้น “มันก็ไม่ได้หมายความว่าเจ้าชนะแล้ว!”

ฟิ้ว!

ลูกดอกพิษทั้ง 3 บินตรงไปที่ซูเฉิน มุ่งเป้าไปตามส่วนต่าง ๆ บนร่างกายของเด็กหนุ่ม

การโจมตีครั้งนี้เร็วมาก มุมที่ยิงออกมาก็แปลกเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าจางหยวนเหลียวใช้เวลาในการฝึกฝนทักษะนี้อย่างหนัก

จังหวะเดียวกับที่ลูกดอกพิษพุ่งแหวกอากาศออกมา รองเท้าย่ำเมฆีที่เท้าของซูเฉินก็พลันเปล่งแสงขึ้น เด็กหนุ่มบินไปในอากาศเหมือนควันเพื่อหลีกเลี่ยงลูกดอก 1 ใน 3 แล้วบิดตัวกลางอากาศเพื่อหลบหลีกลูกดอกอีกลูกหนึ่ง ส่วนดอกสุดท้ายเขาไม่สามารถหลบมันให้พ้นได้ แต่ซูเฉินก็พลิกตัวกลับหลังกลางอากาศ 180 องศา หันด้านหลังของตนมารับลูกดอกแทน ชุดเกราะพลอยม่วงส่องประกายลูกดอกพิษดอกสุดท้ายกระแทกเข้ากับโล่ป้องกัน ก่อนจะร่วงลงกับพื้นส่งเสียงกระทบดัง ‘กริ่ง’

หัวใจของจางหยวนเหลียวจมดิ่งลงสู่ความสิ้นหวัง การเคลื่อนไหวเมื่อครู่นี้ไม่ใช่สิ่งที่คนตาบอดจะสามารถทำได้

ทันใดนั้นเขาก็รู้ความจริงและเริ่มตะโกนด้วยความประหลาดใจและความกลัว “ไม่ได้ตาบอด! เจ้าไม่ได้ตาบอด!”

มุมปากของซูเฉินยกขึ้นโค้งขึ้นจนเกิดเป็นรอยยิ้มดูถูกเหยียดหยาม ขณะที่เขาจับจ้องไปที่จวนหยวนเหลียวด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเย็นชา

“ 4 ปีที่แล้ว ข้าได้พบกับชายชราผู้หนึ่ง คนผู้นั้นกล่าวว่าข้ามีความคิดที่เฉียบคมและไม่รู้ถึงคุณค่าของการเก็บซ่อนจุดอ่อนและทำตัวให้ไม่โดดเด่น ดังนั้นมันจึงแลกเปลี่ยนดวงตาของข้า ทำให้ข้ามองเห็นได้มากขึ้นและทำให้ได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของโลกใบนี้ ตั้งแต่นั้นมาข้าก็เริ่มเรียนรู้ว่าการเก็บซ่อนจุดอ่อนและทำตัวให้ไม่โดดเด่นมันหมายถึงอะไร … ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพ!”

“ไม่ !!!”

ขณะที่จางหยวนเหลียวกรีดร้องด้วยความสิ้นหวัง คมดาบก็ได้ฟาดฟันลงมา