ตอนที่ 510

The Divine Nine Dragon Cauldron

โจวฉีหมิงหักมุมไหล่ของตัวเองในยามวิกฤติ เขาขยับจุดตายออกจากคมกระบี่ แสงสีท่องเปล่งประกาย โลหิตฟุ้งนภาตามด้วยเสียงร้อง แขนที่ขาดลอยขึ้นสูง

 

โจวฉีหมิงเอื้อมมือไปยังแขนของตัวเอง แม้ว่าเขาจะรอดตาย เขาก็ต้องแลกมาด้วยแขนขวา

 

แต่ในตอนนั้นก็มีแสงสีทองเข้าจู่โจมเขาอีก มันทะลวงแขนที่ขาดและดึงแขนของเขาไปที่มือของซือหยู มีดสีเลือดยังคงกำอยู่ในแขนที่ขาดของโจวฉีหมิงแน่น ซือหยูเพิ่งจะทิ้งมีดเกล็ดทองไป มีดสีเลือดเล่มนี้มาได้ทันเวลาพอดี

 

ซือหยูพยายามจะแกะเอามีดออกแต่ก็น่าแปลกที่แขนข้างนั้นยังคงอยู่ในการควบคุมของโจวฉีหมิงแม้ว่ามันจะขาดไปแล้ว! เขากำมีดแน่นยิ่งกว่าเดิม พลังอสูรมหาศาลเอ่อล้นออกจากแขนข้างนั้นและก่อร่างเป็นศรทมิฬพุ่งเข้าใส่ซือหยูในระยะใกล้ ซือหยูไม่มีทางที่จะหลบการโจมตีนี้ได้!

 

“เจ้าคิดว่ามันง่ายนักรึที่จะเอาสิ่งของไปจากตระกูลอสูรน่ะ?”

 

โจวฉีหมิงคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว เขาจ้องซือหยูด้วยความแค้น

 

“ตายซะ!”

 

ศรแล่นเล็งไปที่ใบหน้าของซือหยูื แต่ซือหยูนั้นเยือกเย็นไม่แม้แต่จะตกใจ

 

“อย่างนั้นรึ?”

 

ซือหยูอ้าปากพ่นเพลิงสีแดงฉานออกมา พลังอสูรกระจัดกระจายหายไปในพริบตาเดียว แขนของโจวฉีหมิงถูกเพลิงลุกไหม้ในไม่นาน

 

เพลิงนั้นเผาชายเสื้อที่ขาดแต่แขนกลับไม่เป็นอะไร แขนข้างนี้แข็งแกร่งอย่างผิดปกติ แต่เมื่อความร้อนพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆมันก็คลายกำมือปล่อยมีดสีเลือดออกมา ซือหยูยื่นมือรับมันไว้

 

โจวฉีหมิงโกรธแค้นและตกใจ

 

“นี่เจ้า!”

 

เขามิเพียงแต่เสียแขน เขายังเสียสมบัติที่เขาภาคภูมิใจที่สุดไปด้วย! มันคือสมบัติเทพระดับสูง!

 

ซือหยูเก็บมีดสีเลือดไว้กับตัว

 

“อะไรกันเล่า?”

 

“เจ้าพยายามจะฆ่าข้าหลายครั้งหลายครา เจ้าไม่คิดเลยรึว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นกับเจ้าบ้าง?”

 

โจวฉีหมิงตัวแข็งทื่อ

 

“สองครั้งน่ะเรอะ? ฮื่ม! นับจากคราวที่แล้ว ถ้าเคยเจอเจ้าแค่สองครั้ง! เจ้าจะพูดว่าหลายครั้งหลายคราได้ยังไง?”

 

ซือหยูหัวเราะ

 

“เจ้าไล่ล่าข้ามาเป็นแสนลี้ที่เขาจักรพรรดิสายฟ้า เจ้าลืมไปแล้วรึไง?”

 

เขาจักรพรรดิสายฟ้ารึ? โจวฉีหมิงสับสน ความคิดหนึ่งแล่นเข้ามา เขาจ้องมองซือหยู

 

“คนที่ช่วยนังวิหคเพลิงแห่งความตายนั่น…คือเจ้าเองเรอะ?”

 

วิหคเพลิงแห่งความตาย…นั่นก็หมายความว่า โจวฉีหมิงกำลังเล็งเซี่ยนเอ๋อ!

 

ซือหยูสีหน้าเยือกเย็น

 

“ถ้าเจ้ารู้ก็ดีแล้ว เจ้าจะได้ตายอย่างสงบ!”

 

เพลิงประหลาดสีเทาลุกไหม้อยู่ในดวงตาของเขา นั่นทำให้ใบหน้าหล่อเหลาดูเยือกเย็นและลึกลับขึ้นไปอีก เพลิงสีเทาเหล่านี้คือเพลิงวิญญาณที่เขาสูบเอามาจากกบแก้วเพลิงเนตรขาว มันคือเพลิงที่ใช้ทำลายวิญญาณโดยเฉพาะ! แม้ว่าส่วนมากจะถูกหม้อเก้ามังกรข่มเอาไว้และใช้งานไม่ได้ ซือหยูก็ยังใช้ส่วนเล็กๆของเพลิงได้ อย่างน้อยมันก็มากพอที่จะทำลายดวงวิญญาณของโจวฉีหมิง!

 

โจวฉีหมิงรู้สึกเจ็บปวดในดวงวิญญาณเมื่อมองตาซือหยู เขารู้สึกว่าดวงวิญญาณเขากำลังถูกไฟเผา เขาใจสั่น ความโกรธแค้นบนใบหน้าแทนที่ด้วยความระวังตัว

 

บางอย่างในเพลิงเหล่านั้นทำให้เขาไม่สบายใจ

 

“เดี๋ยวก่อน!”

 

โจวฉีหมิงพยายามจะพูดและหยิบเอาแหวนโบราณออกมาจากตัว

 

แสงโอบล้อมแหวน มันเปล่งพลังที่เหนือกว่าขอบเขตภูติออกมา มันมีพลังที่เท่ากับขอบเขตภูติในตอนกลาง!

 

“ข้าจ่ายหนักเพื่อให้ได้แหวนนี้มาก่อนที่จะมาที่นี่…”

 

เขาพูดอย่างรีบร้อน

 

“มันมีพลังของขอบเขตภูติ ลำดับห้าธาตุของเจ้ามีพลังป้องกันที่แข็งแกร่ง แต่มันก็มีขีดกำจัดเพราะพลังวิญญาณของเจ้า มันรับพลังจากแหวนวงนี้ไม่ได้แน่”

 

ซือหยูมองดูแหวนวงนั้น เพลิงที่ร่ายรำในดวงตาค่อยๆมอดไป แหวนนี้ทำลายลำดับห้าธาตุได้จริงและเป็นภัยต่อชีวิตของเขา แม้ว่าเขาจะมั่นใจว่าจะรับมือได้ เขาก็ต้องแลกกับบางสิ่งที่มหาศาลเช่นกัน

 

เวลาของเขาในกระโจมเทพสวรรค์กำลังจะหมดลงแล้ว และการต่อสู้ในชั้นแปดจะยิ่งสร้างอันตรายมากกว่าเดิม ถ้าเขาใช้มัน เขาจะถูกส่งออกไปจากกระโจมเทพอย่างแน่นอน

 

ซือหยูมองแหวนของโจวฉีหมิงด้วยเนตรวิญญาณ

 

โจวฉีหมิงถอยหลังอย่างระมัดระวัง

 

“ความบาดหมางของเจ้ากับข้ายังไม่ถึงที่จะต้องมาเอาชีวิตกัน เหตุใดไม่รอไปสู้กันที่โลกภายนอกเล่า? เจ้ากับข้าจะสู้ยังไงก็ได้ที่นั่น เจ้าจะว่าอย่างไร?”

 

ซือหยูพยักหน้าตอบ

 

“ย่อมได้!”

 

ซือหยูมองรอบๆและพบว่าพื้นที่ตรงนี้ไม่กว้างมากนัก โดยรอบนั้นกว้างเพียงสามสิบศอก มีรอยสลักมากมายบนกำแพงศิลา ด้านในนั้นมีขวดและเหยือกอยู่ด้วย

 

“มีโอสถมากมายนัก เจ้าจะแบ่งมันยังไง?”

 

โจวฉีหมิงเริ่มเอ่ยปาก

 

“นอกจากสมบัติโอสถก็ยังมีอีกสี่สมบัติ ข้าไม่คิดเราจะต้องแย่งกันหรอก”

 

โจวฉีหมิงนั้นอยากจะสังหารซือหยูและชิงเกราะราชาศิลานิรันดร์ต่อหน้าทุกคน ซือหยูขัดขืนมันและส่ายหน้าด้วยความขยะแขยง ดูเหมือนว่าพลังจะเป็นทุกสิ่งทุกอย่างในโลกใบนี้

 

เมื่อซือหยูมีพลังเหนือว่าศัตรูเท่านั้น อีกฝ่ายถึงยอมเต็มใจเจรจา คนอ่อนแอไม่มีสิทธิ์พูด!

 

ซือหยูเดินไปที่กำแพงศิลาอีกฟาก เขามองดูสิ่งที่อยู่ด้านใน จากนั้นเขาก็ต้องผิดหวังอยู่เล็กๆ แม้เหล่าขวดจะถูกรักษาไว้อย่างดี โอสถที่อยู่ภายในก็ผ่านช่วงเวลามานานหลายปี โอสถมากกว่าเก้าสิบส่วนกลับกลายเป็นฝุ่นผง

 

แต่ในตอนนั้นเขาก็มองเห็นขวดสีเขียว มันมิใช่ขวดหยกที่เตะตามากนัก ผิวขวดปกคลุมไปด้วยฝุ่นแต่แสงจากโอสถสีเขียวภายในก็มิได้ถูกกั้นขวางด้วยความหนาของขวด เขาคว้าขวดหยกนั้นและเปิดมันขึ้นมา กลิ่นหอมแปลกๆแล่นสู่จมูก มันกลายเป็นสายลมสีเขียวที่หมุนวน! ยิ่งผ่านไปนานเท่าใด ห้องลับนี้ก็ยิ่งมีกลิ่นหอมมากขึ้นเท่านั้น

 

ซือหยูหายใจเบาๆและก็ต้องตกใจที่พบว่าเกิดการสั่นสะเทือนที่จุดกำเนิดพลังของเขาเอง พลังวิญญาณที่หมุนวนได้สร้างแกนของแก้วพลัง

 

“แก้วพลังวิญญาณที่สามรึ?”

 

เขาพูดทั้งๆที่ยังหายใจ

 

ซือหยูรู้สึกทึ่งในโอสถ ดูเหมือนว่าพลังวิญญาณของเขากำลังจะเกิดการสร้างแก้วดวงที่สามและทำให้ซือหยูทะลวงระดับกึ่งภูติ! นี่มันโอสถอะไรกัน?

 

เขาก้มลงและพบโอสถสีเขียวประกายนอนก้นอยู่ในขวดหยก ทั้งขวดมีแต่สีเขียวและเพิ่งจะถูกใช้เป็นครั้งแรก ถ้าเขาไม่เห็นกับตาก็ยากที่เขาจะเชื่อว่าจะมีโอสถที่ใช้งานได้แม้จะผ่านเวลามาหลายร้อยปี

 

“โอสถภูติรึ?”

 

เสียงประหลาดใจดังมาจากด้านหลัง

 

ซือหยูหันไปและพบว่าโจวฉีหมิงกำลังจ้องมองขวดหยกในมือของเขาด้วยสายตามุ่งมั่น เขาค่อยๆเอื้อมมือไปในชุดและกำแหวนเก่าๆวงนั้นไว้อีกครั้ง ดูเหมือนว่าเขาจะพร้อมต่อสู้เพื่อโอสถนี้ นี่มันโอสถอะไรกัน โจวฉีหมิงถึงได้เต็มใจที่จะเสี่ยงเช่นนี้?

 

“เจ้าชื่อหยินหยูสินะ?”

 

“หยินหยู…มอบโอสถภูติให้ข้าจะได้หรือไม่? ถ้าเจ้ายินดี ข้าจะมอบวิชาระดับตำนานให้กับเจ้าหนึ่งเล่ม”

 

ซือหยูเลิกคิ้ว โอสถนี้มีค่าเทียบเท่ากับวิชาระดับตำนานเชียวรึ…?