ตอนที่ 600 มุ่งหน้าสู่โบราณสถาน

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ตอนที่ 600 มุ่งหน้าสู่โบราณสถาน 

 

 

หลี่ว์ซู่หลอนกับเสียงฟ้าผ่ามาก เพราะบทลงโทษของสวรรค์นั้นเกือบฆ่าเขาตายแล้ว 

 

 

ความกลัวต่อสายฟ้ากลายเป็นสัญชาตญาณของเขาไปเสียแล้ว คงน่าอายไม่น้อยเลยถ้าผู้ชายแข็งแกร่งอย่างเขากลัวเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่าขณะกำลังเดินอยู่ในตลาด 

 

 

จริงๆ แล้วเขาก็ไม่ควรต้องกังวลอะไรเลย ความบอบช้ำทางจิตใจนั้นสลายหายไปแล้วหลังได้รู้ว่าด่านเคราะห์สวรรค์นี่ทำให้พลังดาบรัศมีของเขาแข็งแกร่งขึ้น แถมหลี่ว์ซู่ยังรู้สึกทึ่งกับการฟื้นฟูร่างกายของเขาเองด้วย 

 

 

การตั้งค่ายแถวๆ หลัวปู้พัวเป็นเรื่องที่สะดวกมากในการเคลื่อนย้ายคนเจ็บเพื่อรับการรักษาและยังสะดวกในการเคลื่อนพลหลังจากโบราณสถานปิดตัวลงแล้วอีกด้วย 

 

 

ท้ายที่สุดแล้วผู้เข้าร่วมการสำรวจโบราณสถานกว่าหมื่นคนก็ต้องไปขึ้นรถไฟกลับที่สถานี โดยต้องนั่งรถทหารที่มีอยู่กลับไป เนื่องจากการคมนาคมนั้นไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่นัก 

 

 

ยิ่งไปกว่านั้นการที่โบราณสถานเปิดขึ้นก็ทำให้พลังจิตวิญญาณใบบริเวณนี้เข้มข้นขึ้นมาก ซึ่งเป็นสัญญาณว่าในภายภาคหน้าจะต้องมีการสร้างระบบขนส่งที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นในบริเวณใกล้เคียงนี้ แล้วพื้นที่รกร้างปราศจากผู้คนก็อาจมีรถไฟความเร็วสูงในอนาคตก็ได้ 

 

 

เรื่องนี้ก็เป็นอีกเหตุผลที่อธิบายได้ว่ามนุษย์นั้นช่างทรงพลัง พวกเราไปไหนก็ได้ในโลกนี้ถ้าอยากจะไป… 

 

 

ขณะที่คนอื่นกำลังยุ่งกับฝึกซ้อมประจำวันอยู่นั้น หลี่ว์ซู่ก็ใช้เวลามองดูท้องฟ้าขณะนั่งบนเก้าอี้พับจากในเต็นท์ ไม่มีใครกล้าถามว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ 

 

 

จนกระทั่งเฉินจู่อานรวบรวมความกล้าเข้าไปถาม “พี่ซู่ดูอะไรอยู่น่ะ” 

 

 

“นั่งรอลมพัด” หลี่ว์ซู่ตอบเบาๆ 

 

 

“เป็นคนเจ้าบทเจ้ากลอนตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย” เฉินจู่อานกล่าวด้วยความประหลาดใจ 

 

 

“อืม ฉันนี่แหละ นักกวีหนุ่ม” หลี่ว์ซู่ตอบ แม้ที่จริงแล้วเขาจะกำลังรออสนีบาตอยู่ 

 

 

แย่หน่อยที่หลัวปู้พัวนั้นแห้งแล้งตลอดปี ถ้าจะรอให้ฝนตกคงเรียกว่าเป็นการหวังมากไปหน่อย เพราะฝนที่ตกลงมาวันนั้นก็น่าจะมีสาเหตุมาจากการที่เจ้าโกลาหลแปลงร่างจนเกิดเป็นด่านเคราะห์สวรรค์ ไม่น่าจะมาจากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติอะไรหรอก 

 

 

เฉินจู่อานที่กำลังเลือกคำอย่างระมัดระวังก็เปิดปากถามหลี่ว์ซู่ “เข้าใจล่ะ พี่เกือบหายดีแล้วนี่ เราไปโบราณสถานกันเลยดีไหม” 

 

 

เฉินจู่อานนั้นกระตือรือร้นอยากไปโบราณสถาน ครอบครัวเขาไม่ค่อยสนับสนุนการฝึกบำเพ็ญเท่าไหร่ แถมปู่ของเขาเองก็ไม่ปล่อยให้เขาอยู่สบายๆ ด้วย แต่หากเขาเข้าไปในโบราณสถานได้ เขาก็น่าจะได้ชื่อเสียงเกียรติยศจากการตามไปเป็นผู้ติดตามของหลี่ว์ซู่ในนั้น 

 

 

เขาไม่ได้บอกหลี่ว์ซู่ว่าครอบครัวของเขานั้นยึดเอารถและทรัพย์สินส่วนตัวกลับไปหลังจากที่เครือข่ายฟ้าดินตัดสินใจจะเลี้ยงดูเขา ที่บ้านบอกว่าทำอย่างนี้ก็เพื่ออยากสั่งสอน… 

 

 

นั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำไมเฉินจู่อานถึงไม่ค่อยเต็มใจอยากให้อะไรตอบแทนกับหลี่ว์ซู่ในการช่วยเขา 

 

 

หลี่ว์ซู่เหลือบมองเฉินจู่อานแวบหนึ่ง “ฉันยังไม่หายดีหรอก” 

 

 

ขาของหลี่ว์ซู่ยังอ่อนแรงอยู่ เขาม่องเท่งแน่ถ้าต้องวิ่งหนีสัตว์ประหลาดแข็งแกร่งในโบราณสถาน 

 

 

หลี่ว์ซู่เลยถามตด้วยความอยากรู้ “อยากได้อะไรก็ไปขอที่บ้านได้ไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงอยากรีบเข้าไปในโบราณสถานนัก” 

 

 

“ไม่จริงสักหน่อย!” เฉินจู่อานรีบบ่นทันที “พวกเขายึดรถ ยึดนาฬิกาข้อมือ แล้วก็ระงับบัญชีธนาคารอีก! ผมไม่มีอะไรเหลือเลยพี่ซู่! อยากรู้ไหมว่าทำไม” 

 

 

หลี่ว์ซู่เงียบไปสองวินาทีแล้วตอบ “เพราะนายทำตัวห่วยเหรอ” 

 

 

เฉินจู่อาน “…” 

 

 

[ได้แต้มอารมณ์จากเฉินจู่อาน +666!] 

 

 

“เกี่ยวอะไรกับผมห่วยเนี่ย ทั้งหมดก็เป็นเพราะพี่ไง ปู่น่ะชมพี่ไม่ขาดปากทุกวันในบ้าน บอกว่าพี่จะต้องเติบโตขึ้นมาคนเดียว และครอบครัวผมก็ไม่สามารถเลี้ยงใครออกมาได้แบบพี่เพราะมีครอบครัวดูแลให้ทุกอย่างที่ต้องการอยู่ เขายืนยันเลยว่าจะแข็งแกร่งได้ก็ต้องทำด้วยตัวเอง!” 

 

 

หลี่ว์ซู่เม้มปาก “ก็เห็นด้วยนะ…” 

 

 

“พี่ซู่! ทั้งหมดน่ะก็เป็นเพราะพี่ พี่ต้องรับผิดชอบนะ” เฉินจู่อานประกาศกร้าวราวกับเป็นเรื่องธรรมดาที่ควรทำ 

 

 

“ฉันไม่เป็นแพะรับบาปให้นายหรอก” หลี่ว์ซู่ทำหน้าน่ากลัว “ไม่ใช่ความผิดฉันทั้งหมดหรอกนะ นายต้องรอให้ฉันหายดีก่อนค่อยเข้าไปโบราณสถาน เร็วสุดก็น่าจะพรุ่งนี้ละมั้ง” 

 

 

เฉินจู่อานตาเป็นประกายด้วยความสุข “พรุ่งนี้ก็ได้!” 

 

 

จริงๆ แล้วหลี่ว์ซู่ก็ตื่นเต้นที่จะได้เข้าไปสูบเงินจากในนั้นเหมือนกัน… 

 

 

ประสบการณ์ต่อสู้ของเขาทำให้เขาใจเย็นขึ้นมาก เขาเรียนรู้ที่จะเพิ่มโอกาสชนะให้กับตัวเองแม้ว่าเขาจะให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ที่ได้เป็นอย่างมาก 

 

 

เช้าวันต่อมาหลี่ว์ซู่ตรวจดูอาการบาดเจ็บของตัวเองซ้ำแล้วซ้ำอีก พลังดวงดาวของเขาพุ่งพล่านในเส้นเลือดเหมือนสายน้ำที่ไหลเชี่ยวกราก นี่เป็นสัญญาณบอกว่าเขาหายดีแล้ว 

 

 

หลังจากกินข้าวเช้าเสร็จ หลี่ว์ซู่ก็เตรียมตัวไปที่โบราณสถาน เขาบอกเฉินเฮ่าแล้วว่าใต้ดินไม่มีกิ้งก่ากินคนแล้ว ค่ายน่าจะปลอดภัยดี อย่างน้อยก็ตอนนี้น่ะนะ แต่อาจจะมีสัตว์ประหลาดอื่นๆ โผล่มาจากพื้นที่ของหลัวปู้พัวก็ได้ 

 

 

เฉินเฮ่าพยักหน้ารับกับการรับ เขารับหน้าที่เป็นคนดูแลความปลอดภัยในค่าย ถ้าไม่มีหลี่ว์ซู่ช่วยแล้วพวกเขาอาจจะแพ้ราบคาบก็ได้ 

 

 

ต่อให้เฉินเฮ่ารู้ตั้งแต่ก่อนหน้านี้ว่ามีกิ้งก่ากินคนอยู่ใต้ดินก่อนที่หลี่ว์ซู่จะลงไป เขาก็คิดว่าทั้งค่ายนี่คงถูกกวาดเละอยู่ดีหากไม่มีหลี่ว์ซู่ 

 

 

อย่าว่าแต่เฉินเฮ่าเลย ต่อให้เป็นหลี่อีเสี้ยวก็คงช่วยให้คนทั้งหมดในค่ายปลอดภัยจากกิ้งก่าระดับ B กว่าร้อยๆ ตัวรอบค่ายไม่ไหวแน่ 

 

 

พอคิดเรื่องนั้นแล้วหลี่ว์ซู่ก็รู้สึกแย่ที่เสียอาวุธที่ถนัดที่สุดไป ในอนาคตคงมีศัตรูที่น่าปวดหัวอีกเยอะให้เจอ 

 

 

แต่มองในแง่ดีแล้ว เขาก็ยังอยู่รอดมาขุดภูเขาพลังต่อได้ และยังผลิตต้นแบบกระบี่ออกมาได้ตั้งเป็นหมื่นๆ เล่มอย่างกับคนแก่มากประสบการณ์ 

 

 

กระเป๋าของเฉินจู่อานนั้นหนักและเทอะทะ ส่วนใหญ่แล้วมีแต่อาหารอยู่ข้างใน ภารกิจที่เนี่ยถิงให้เขาไปทำนั้นทำเขาทุกข์ทรมานมาก อาหารที่เขาเอาไปพอสัมผัสโดนพิษแล้วก็กินไม่ได้ 

 

 

และที่แย่ยิ่งกว่านั้นคือเขาไม่มีช่องเก็บของแบบล่องหน ทำให้ของที่เอาไปทั้งหมดปนเปื้อนแก๊สพิษ แต่เฉินจู่อานก็ไม่ได้ผอมลงหรอกนะ… เพราะเขายัดอาหารสำหรับสิบห้าวันลงกระเพาะก่อนไปทำภารกิจปนพิษนั่น 

 

 

เฉินจู่อานจะรู้สึกว่าปากจะว่างถ้าไม่ได้เคี้ยวอะไร นอกจากของที่จำเป็นแล้ว เขาเลยต้องพกอาหารสำหรับสิบห้าวันด้วย… 

 

 

ส่วนหลี่ว์ซู่นั้นไปตัวเปล่า เฉินจู่อานหัวเราะแล้วถามขึ้น “พี่ซู่ นี่พี่ได้พลังวิเศษหลังจากโดนฟ้าผ่ามาเหรอ อิ่มทิพย์หรือไง” 

 

 

“ฉันว่านายนั่นแหละมีพลังพิเศษในการกินจุ นี่เหมาะเลยนะกับการไปทำภารกิจในที่ไกลๆ และลำบากอ่ะ เดี๋ยวเอาไปบอกราชันฟ้าเนี่ยให้ จะได้ออกไปทำภารกิจใหม่ๆ อีก” 

 

 

[ได้แต้มอารมณ์จากเฉินจู่อาน +999!]