ตอนที่ 141 ดั่งสวรรค์ได้บรรจงสร้าง + 142 พัฒนาแบบก้าวกระโดด

ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น

ตอนที่ 141 ดั่งสวรรค์ได้บรรจงสร้าง + 142 พัฒนาแบบก้าวกระโดด โดย Ink Stone_Romance

ตอนที่ 141 ดั่งสวรรค์ได้บรรจงสร้าง

เหยียนหมิงต๋าเดินตามอู่เยวี่ยมาด้วยความร่าเริง เขาเห็นสยงมู่มู่กับอู่เหมยรวมกลุ่มกันอยู่อย่างแปลกประหลาด จึงอดไม่ได้ที่จะพ่นเสียงหัวเราะออกมา

“สยงมู่มู่ทำไมนายถึงไม่ปั่นจักรยานล่ะ ไม่ใช่ว่าแค่จักรยานนายก็ปั่นไม่เป็นนะ”

สยงมู่มู่มองเหยียนหมิงต๋าด้วยสายตานิ่งเรียบ ถอนหายใจด้วยความเย่อหยิ่ง ไม่แม้แต่จะสนใจ เขาจูงจักรยานแล้วเดินไปข้างหน้า แต่เมื่อนึกย้อนคำพูดนั้นกลับทำให้เขารู้สึกไม่พอใจ จึงตะโกนกลับไป “เหยียนหมิงต๋า จมูกนายไม่ดีหรือไง?”

เหยียนหมิงต๋าตกใจไปชั่วขณะ พอตั้งสติได้จึงถามกลับ “แล้วนายรู้ได้ยังไง?”

มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เขาเป็นไข้หวัดใหญ่แล้วคัดจมูกนานเป็นครึ่งเดือน พอหายป่วยจมูกของเขากลับไม่รับรู้กลิ่นใดๆ จะกลิ่นหอมหรือกลิ่นเหม็นเขาก็ไม่สามารถรับกลิ่นได้ แต่เขาก็ไม่ได้คิดอะไร จมูกก็เหมือนมีไว้แค่ประดับ ไม่รับรู้กลิ่นก็ไม่ใช่เรื่องแปลก!

                สยงมู่มู่คาดไม่ถึงว่าเหยียนหมิงต๋าจะไม่รับรู้กลิ่นจริงๆ อดนึกสนุกไม่ได้จึงหัวเราะและตะโกนตอบกลับไป “นายกับอู่เยวี่ยนี่เหมาะสมกันดั่งคู่ที่สวรรค์สร้างมาจริงๆ ยินดีด้วยนะ!”

คนหนึ่งมีกลิ่นเต่า ส่วนอีกคนก็จมูกไม่รับกลิ่น จะไม่ใช่คู่ที่สวรรค์สร้างมาได้อย่างไร!

                เหยียนหมิงต๋าเกาท้ายทอยและยิ้มอย่างไร้เดียงสา เขาเริ่มรู้สึกถูกชะตากับสยงมู่มู่มากขึ้น แต่อู่เยวี่ยกลับมีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เธอไม่ชอบเลยสักนิดที่ถูกคนอื่นจับคู่ให้เธอกับเหยียนหมิงต๋าแบบนี้

                “สยงมู่มู่นายอย่าพูดพร่ำเพรื่อนะ ระวังฉันจะฟ้องครู!” อู่เยวี่ยประกาศกร้าว

                เหยียนหมิงต๋าเงียบไปชั่วอึดใจก็เปลี่ยนเป็นดีใจ เยวี่ยเยวี่ยต้องรู้สึกเขินเขาแน่ๆ สยงมู่มู่ก็ด้วย พูดจาต่อหน้าคนเยอะๆ แบบนี้เยวี่ยเยวี่ยก็คงจะรู้สึกเขิน!

                สยงมู่มู่หัวเราะเยาะ โดยไม่แม้แต่จะมองอู่เยวี่ย แต่เขากลับผลักอู่เหมยให้รีบเดินไปข้างหน้า จะเป็นลมเพราะกลิ่นเหม็นๆ นี้อยู่แล้ว อู่เยวี่ยยังไม่สนใจเหยียนหมิงต๋าอีก?

                เฮ้อ! ทำไมไม่คิดอีกว่ากลิ่นเต่าแบบนี้จะมีผู้ชายคนไหนรับได้?

                คงมีแค่เหยียนหมิงต๋าแล้วล่ะ!

                อู่เยวี่ยมองเหยียนหมิงต๋าด้วยความรังเกียจ ไม่ว่ายังไงก็ไม่มีทางชอบเขาได้ เขาดูธรรมดาเกินไป จะเหมาะสมกับเธอได้อย่างไร?

                แต่เธอก็เป็นเหมือนน้ำกลิ้งบนใบบอน แน่นอนว่าไม่เคยปฏิเสธผู้ชายที่เข้ามาชอบตัวเธอเลย ไม่แน่ว่าอาจจะมีสักครั้งที่เธอจะหลอกใช้คนพวกนี้

                “สยงมู่มู่นี่แย่จริงๆ ล้อเล่นอะไรไม่ดูสถานการณ์เลย ถ้าหากพ่อของฉันรู้เข้า เขาต้องดุฉันแน่ๆ” อู่เยวี่ยบ่นตอบ

                เหยียนหมิงต๋ารู้สึกตาสว่าง ที่แท้อู่เยวี่ยแค่กลัวโดนครูอู่ดุถึงได้กลายเป็นแบบนี้ จริงๆ แล้วในใจของเธอก็มีเขาอยู่สินะ?

                “ครั้งหน้าพี่จะสั่งสอนสยงมู่มู่เอง ไม่ให้เขาพูดอะไรมั่วๆ อีก” เหยียนหมิงต๋าพูดเอาอกเอาใจ

                “ขอบคุณนะคะพี่หมิงต๋า!”

                เหยียนหมิงต๋าที่ถูกอู่เยวี่ยมองจึงเกิดความเขินอายและประหม่า ร่างทั้งร่างเหมือนไม่มีแรง ทำได้แค่ยิ่มเจื่อน แม้แต่ทิศทางออกตกเหนือใต้เขายังคงสับสน

                สักพักพวกเขาก็ได้มาถึงโรงเรียน ซึ่งเป็นจังหวะที่ต้องเข้าเรียนพอดี ภายในโรงเรียนคนเดินขวักไขว่ทั่วทุกทิศ แต่ช่วงที่อู่เยวี่ยเดินเข้ามาในโรงเรียน พวกเด็กนักเรียนก็เริ่มทยอยปิดจมูกกัน และไม่หยุดที่จะถาม “พี่หมิงต๋าได้กลิ่นหรือยัง?”

                “จมูกฉันไม่ค่อยรับรู้กลิ่น”

                อู่เยวี่ยย่นคิ้วเข้าหากัน ความกระวนกระวายเริ่มเด่นชัดขึ้นมาในใจ พลางถึงนึกคำที่สยงมู่มู่พูดก่อนหน้านี้ ตอนนั้นสยงมู่มู่มีท่าทีแปลกๆ รู้สึกเหมือนจะบ่งชี้อะไร

                “กลิ่นเหม็นมาจากทางนี้ รีบไปกันเถอะ” มีคนตะโกนบอก

                กลุ่มนักเรียนจำนวนมากวิ่งไปทางตึกเรียน ภายในสนามหลงเหลืออยู่เพียงไม่กี่คน ทุกคนพยายามตีตัวออกห่างจากอู่เยวี่ยกับเหยียนหมิงต๋า จังหวะนั้นที่อู่เยวี่ยสังเกตได้ถึงความผิดปกติ

                ราวกับว่ากลิ่นของความเหม็นจะอยู่บนตัวเธอ!

                อู่เยวี่ยเริ่มกังวลและดมหากลิ่นบนตัวของเธอ แต่กลับไม่ได้กลิ่นอะไรเลย เหยียนหมิงต๋าเห็นถึงความผิดปกติ “เยวี่ยเยวี่ยเธอเป็นอะไร?”

                “ไม่มีอะไร”

                อู่เยวี่ยพยายามสงบสติอารมณ์ไว้ แล้วเดินไปทางตึกเรียนด้วยความกังวลใจ เธอหวังว่าความกังวลนี้จะเป็นแค่สิ่งที่เธอคิดไปเอง กลิ่นเหม็นนี้ไม่ได้มาจากตัวของเธอ แต่แล้ว…เพียงเธอเดินเข้ามาในห้องเรียน เด็กไม่กี่คนที่ยืนอยู่หน้าประตูได้ยกมือขึ้นมาปิดจมูก หลายคนต่างแปลกใจและมองไปที่อู่เยวี่ย

                เพียงชั่วพริบตาใบหน้าของอู่เยวี่ยกลับซีดเผือด ใจหล่นไปอยู่จุดที่ต่ำสุด สิ่งที่เธอกังวลที่สุดได้เกิดขึ้นแล้ว!

…………………………………………………………………………………………..

ตอนที่ 142 พัฒนาแบบก้าวกระโดด

อู่เหมยเดินเข้าห้องเรียนไปด้วยความร่าเริง วันนี้เป็นวันเสาร์ เข้าเรียนแค่ครึ่งวันก็เลิกเรียนแล้ว พอถึงอาทิตย์หน้าเธอก็จะได้เรียนวาดรูป ชีวิตของเธอต้องมีสีสันและหลากหลาย!

เจินหวานหว่านกระซิบบอก “วันนี้ต้องแจกคะแนนสอบคณิตศาสตร์ที่สอบไปเมื่อวันก่อนแน่เลย เฮ้อ! ฉันสอบได้ไม่ดีเลย”

อู่เหมยใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ใจหนึ่งแอบหวังเล็กๆ แต่อีกใจหนึ่งก็แอบกลัว สอบคณิตศาสตร์ครั้งนี้เธอรู้สึกว่ามันไม่ได้แย่ มีหลายข้อที่เธอทำมันได้ เธอได้เอาคำตอบไปเทียบกับอู่เชาแล้วด้วย ขอแค่ไม่มีขั้นตอนไหนผิดพลาด คะแนนเธอจะต้องไม่ตกหล่นแน่

แต่เธอก็แอบกลัวว่าคะแนนจะแย่เหมือนเมื่อก่อน เพราะในบรรดาวิชาทั้งหมดที่เรียน เธอกลัวที่สุดก็คือวิชาคณิตศาสตร์ ตั้งแต่ขึ้น ป.1 มาจนถึงตอนนี้ ครั้งหนึ่งที่สอบได้ดีที่สุดแค่สี่สิบกว่าคะแนน หกสิบคะแนนแค่ครั้งเดียวยังไม่เคยสอบได้

เธอไม่กล้าหวังว่าคะแนนสอบจะต้องถึงหกสิบคะแนน เพราะที่ผ่านมาแล้วเธอได้รับผลกระทบมากเกินไป!

“เหมยเหมย เธอคิดว่ายังไง? จะสอบผ่านไหม?” เจินหวานหว่านถามอย่างมีนัยยะ

อู่เหมยได้ฟังคำถามแบบนี้ก็รู้สึกไม่ค่อยพอใจ แม้ว่าตัวเธอเองจะรู้อยู่แล้วก็ตามว่าเป็นเรื่องยากที่จะสอบผ่าน แต่เธอก็ไม่ชอบให้คนอื่นมาถามแบบนี้ โดยเฉพาะเจินหวานหว่าน

“ไม่รู้สิ แล้วเธอล่ะ? คิดว่าสอบผ่านไหม?” อู่เหมยถามกลับ

เจินหวานหว่านตอบไปแบบไม่พอใจ “ฉันสอบผ่านแน่นอน คณิตศาสตร์เป็นวิชาที่ฉันไม่เคยสอบตกมาก่อน”

อู่เหมยทำได้เพียงส่งยิ้มบางๆ และหยิบเอาหนังสือภาษาจีนออกมาจากกระเป๋าเพื่ออ่าน สอบภาษาจีนครั้งนี้เธอมั่นใจเพราะอย่างน้อยคะแนนเรียงความสามสิบคะแนน เธอต้องได้ยี่สิบห้าคะแนนขึ้นไป ส่วนคะแนนพื้นฐานที่เหลืออีกเจ็ดสิบนั้น หากเธอพยายามทำให้ได้อีกสามสิบห้าคะแนน หกสิบคะแนนนี้เธอทำได้สำเร็จแน่

แต่ถ้าท่องจำพวกเนื้อหาได้มากขึ้น ไม่แน่ว่าเธออาจจะสอบได้ดีกว่านี้ อู่เหมยนึกขึ้นได้ว่ามันไม่ใช่เรื่องที่จะเป็นไปไม่ได้ คนอื่นอาจจะอ่านแค่ครั้งเดียว แต่ถ้าเป็นเธออ่านสักสิบครั้งยี่สิบครั้งจะต้องจำได้แน่ๆ!

เจินหวานหว่านพิจารณาดูอู่เหมยที่ตั้งใจอ่านหนังสืออยู่ ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด ทำไมอยู่ดีๆ ยัยโง่นี่ถึงได้ลุกขึ้นมาขยันแบบนี้ได้ล่ะ?

เห็นแล้วรู้สึกขัดหูขัดตาไปหมด!

คาบเรียนที่สองเป็นวิชาคณิตศาสตร์ ครูประจำวิชาแซ่สวี่ เป็นชายร่างผอมที่มีอายุราวสี่สิบกว่า พูดจาเอื่อยเฉื่อย แต่เขาสอนได้ดีมาก ทั้งยังเป็นที่ปรึกษาให้กับนักเรียนดีเด่นอยู่หลายรุ่น

“ข้อสอบคณิตศาสตร์ครั้งนี้ครูได้ตรวจสอบแก้ไขแล้ว แต่คะแนนออกมาไม่เป็นตามที่คาดไว้ คะแนนเต็มมีแค่สองคน เก้าสิบคะแนนขึ้นไปก็มีแค่สิบสามคน น้อยกว่าหกสิบคะแนนมีเก้าคน หลายๆ คนคงยังไม่ทันได้ปรับตัวจึงทำให้คะแนนตกไปเยอะเลย ถ้างั้นคาบนี้ครูจะอธิบายถึงข้อสอบชุดนี้ พวกเธอก็ตั้งใจฟังด้วย โดยเฉพาะจุดที่ทำผิดลองคิดดูดีๆ ว่าทำไมถึงทำผิด ครูจะแจกข้อสอบคืนให้ ครูเรียกชื่อใครให้คนนั้นขึ้นมาหยิบข้อสอบไป หลี่เฟินเต็มร้อย จางเฮ่าหนึ่งร้อย…อู่เชาหกสิบสอง เจินหวานหว่านห้าสิบแปด คะแนนพวกเธอตกไปมากนะ!”

ครูสวี่เรียกชื่อทีละคนพร้อมบอกคะแนน ทั้งอู่เชาและเจินหวานหว่านถูกครูเรียกชื่อและติเตียน ถึงแม้สองคนนี้คะแนนสอบจะไม่ได้ดีมากอะไร แต่ปกติแค่เจ็ดสิบคะแนนพวกเขาทำได้อยู่แล้ว ครั้งนี้กลับไม่ใช่ คนหนึ่งคะแนนผ่านแบบหวุดหวิด อีกคนไม่ผ่านเลย ไม่แปลกที่ครูสวี่จะติเตียนพวกเขา

อู่เหมยใจเต้นจนแทบจะทะลุออกมา เพราะทั้งอู่เชาและเจินหวานหว่านก็จัดอยู่ในกลุ่มคะแนนตกไปแล้ว เธอต้องเป็นหนึ่งในเก้าคนที่ไม่ผ่านแน่ๆ!

แม้จะรู้สึกไม่สบายใจบ้าง แต่ก็ไม่ถึงขั้นผิดหวัง เพราะเธอไม่ได้หวังอะไรมากขนาดนั้น ถ้าครั้งนี้เธอจะผิดหวังอีกก็คงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร

“อู่เหมยหกสิบแปดคะแนน แน่นอนว่าครั้งนี้ครูต้องชื่นชมอู่เหมย เพราะในห้องนี้เธอคือคนที่พัฒนาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด สามารถใช้คำว่าพัฒนาแบบก้าวกระโดดเลยล่ะ ครูหวังว่าอู่เหมยจะไม่หลงระเริงใจและพัฒนาต่อไปเรื่อยๆ นะ”

ครูสวี่ชื่นชมอู่เหมย และมองอู่เหมยด้วยสายตารักใคร่เอ็นดู เด็กไม่เอาไหนคนเมื่อวาน แต่มาวันนี้กลับพัฒนาได้ไวมาก เขาดูพอใจมากกว่าการได้เห็นเด็กสอบได้คะแนนเต็มเสียอีก

…………………………………………………………………………………………..