ภาคที่ 4 ตอนที่ 61 ในใจล้วนรู้ชัด

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

ต้นฤดูร้อนเมืองหลวงยิ่งครึกครื้นขึ้นทุกที บนถนนคนเดินพลุกพล่าน บุรุษสตรีล้วนเปลี่ยนมาใส่อาภรณ์ฤดูร้อนสีสันสว่างสดใสกันหมด เดินผ่านในตลาดที่ร้านรวงตั้งเรียงรายเสียงร้องเรียกขานของไม่ขาด 

 

 

แต่ความครึกครื้นบนถนนฉับพลันก็ชะงักนิ่ง พร้อมกันนั้นฝูงชนที่เบียดเสียดก็พากันถอยหลบ ขบวนคนม้าขบวนหนึ่งปรากฏขึ้นในสายตา 

 

 

พวกเขาสวมอาภรณ์สว่างสดใสสลับซับซ้อนสะดุดตา กีบเท้าม้ากระทับพื้นหนักแน่นคล้ายกำลังตีกระหน่ำบนหัวใจทุกผู้คน 

 

 

พวกเขามองเมินความวุ่นวายบนถนน ทะยานม้าควบขี่เร็วรี่คล้ายนี่เป็นเพียงทุ่งกว้างว่างเปล่าไม่มีใครสักคน 

 

 

แต่ไม่มีใครกล้าขวางกีบเท้าม้าของพวกเขาจริงๆ ชนเจ้าตายเจ้ายังต้องถูกพิพากษาว่าขัดขวางการทำงาน ไม่เพียงตายเปล่ายังต้องถูกประหารไปถึงครอบครัวด้วย 

 

 

ดังนั้นไม่ต้องประกาศ ขอแค่เห็นอาภรณ์ชุดนี้ ไม่ว่าบุรุษสตรีผู้เฒ่าเด็กน้อย ไม่ว่าขอทานหรือว่าเศรษฐี กระทั่งขุนนางราชสำนักก็ล้วนหลบออกไปอย่างฉับไว 

 

 

องครักษ์เสื้อแพรขบวนนี้ทะยานเร็วรี่บนถนนใหญ่จากไปประหนึ่งดาบเล่มหนึ่งตัดผ่าน มาในพริบตาไปในพริบตา ฝูงชนที่แหวกออกกลับมารวมตัวกันใหม่อีกครั้ง 

 

 

“นี่ใครจะโชคร้ายอีกแล้วเล่า?” 

 

 

“ดูไปแล้วคล้ายจะไปค้นบ้านยึดทรัพย์“ 

 

 

คนบนถนนมองดูขบวนประหนึ่งสุนัขป่าประหนึ่งพยัคฆ์ที่จากไปแล้วพากันวิพากษ์วิจารณ์เสียงเบา แต่ในการวิพากษ์วิจารณ์นี้ก็มีเสียงที่ไม่เหมือนก่อนหน้าโผล่ออกมา 

 

 

“ยึดไปสิ ยึดเพิ่มสักหลายแห่ง อย่างไรก็เร็วกว่าปล้นเงินจากในมือพ่อค้าตัวน้อยมาก” 

 

 

คำพูดนี้ทำให้คนทั้งหลายที่วิพากษฺวิจารณ์อยูเงียบไปครู่หนึ่ง 

 

 

“ไม่เอาจเทียบเช่นนี้ได้” ผู้เฒ่าคนหนึ่งในโรงน้ำชาเอ่ยขึ้น “นั่นไว้สำหรับซ่อมแซมบูรณะถนน ร้านรวงในถนนคนเดินตรอกซอกซอยหัวสะพานริมแม่น้ำเหล่านี้ย่อมสมควรดูแล” 

 

 

“ทำไมก่อนหน้านี้ไม่สนใจเล่า?” มีคนแค่นเสียงเหอะแย้งออกมาทันที 

 

 

“ก่อนหน้านี้ไม่ได้มีคนมากปานนี้” ผู้เฒ่าคนนั้นเอ่ยขึ้นอย่างอ่อนโยน “วันนี้ในเมืองหลวงนอกเมืองคนจรจัดขอทานมากเหลือเกิน ทั้งยังสับสนวุ่นวายจนไม่เข้าที” 

 

 

แต่ประโยคนี้จบลงก็มีคนมากยิ่งกว่าเดิมส่งเสียงแย้งแล้ว 

 

 

“พอเถอะ กลายเป็นความผิดของคนจรจัดแล้ว” 

 

 

“ในใจทุกคนล้วนรู้ชัด ก็แค่เก็บเงินส่งเดชเท่านั้น” 

 

 

“ไม่ผิด ก็แค่ต้องการเงิน จะให้เป็นรางวัลกับเฉิงกั๋วกง” 

 

 

ในโรงน้ำชากลายเป็นโหวกเหวกโวยวาย 

 

 

คนที่ยืนอยู่ในห้องพิเศษบนชั้นสองมองดูเสียงเอะอะที่ชั้นล่างนี่พลางขมวดคิ้ว 

 

 

“เถ้าแก่” เขาหันกลับมาเอ่ยกับด้านในห้อง “ข้างนอกยิ่งพูดไม่เหมาะสมขึ้นทุกทีแล้ว จะห้ามปรามไหมขอรับ?” 

 

 

ในห้องบุรุษห้าคนนั่งอยู่ คนหนึ่งในนั้นได้ยินก็หันมองมา 

 

 

“เปิดกิจการ จะควบคุมผู้คนให้พูดอะไรได้อย่างไร?” เขาเอ่ยเสียงเข้ม “พวกเราคนเปิดโรงน้ำชาจะห้ามปากชาวบ้าน นั่นถึงไม่เหมาะสม” 

 

 

บุรุษข้างหน้าต่างก้มศีรษะขานรับ ทิ้งมือลงถอยไปด้านข้าง 

 

 

“ข้าว่านะเหล่าต่ง เรื่องนี้เจ้าคิดเห็นอย่างไร?” บุรุษที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของเถ้าแก่เอ่ยขึ้น 

 

 

“มีอะไรให้คิดเล่า ร้านค้าเล็กเหล่านั้นก็ไม่มีเงินสักเท่าไร” เถ้าแก่เอ่ย “หากต้องรวบรวมเงินเพื่อให้รางวัลเฉิงกั๋วกงจริงๆ นั่นย่อมอัตคัดเกินไปแล้ว” 

 

 

“เหล่าต่งเอ๋ย นี่ไม่ใช่เรื่องเงินมากเงินน้อย” บุรุษอีกคนกระแอมเบาๆ เอ่ยขึ้น ลูบหนวดเคราที่คาง ในดวงตาทอประกายวิบวับ “เรื่องนี้ไม่อาจยอมได้นะ” 

 

 

“ใช่แล้ว ครั้งนี้พวกเขาแตะร้านเล็กร้านน้อย ครั้งหน้าก็คงเป็นพวกเราแล้ว” บุรุษอีกคนหนึ่งขมวดคิ้วเอ่ย “ได้ลิ้มรสผลประโยชน์นี้ กระเพาะของทางการย่อมยิ่งโตมากขึ้นๆ” 

 

 

เถ้าแก่ต่งที่นั่งอยู่ตรงกลางต้มชาอยู่วางชาในมือลง 

 

 

“ถ้าอย่างนั้นทุกคนว่าควรทำอย่างไร?” เขาเอ่ย “หนึ่งทางการไม่ได้บอกว่าจะให้พ่อค้าออกเงินเพื่อให้รางวัล สองไม่ได้จัดระเบียบพวกเราพ่อค้าใหญ่ร้านใหญ่เหล่านี้ พวกเราเรียกร้องคำอธิบายไยไม่ใช่ก่อกวนรังควานไม่มีเรื่องทำให้เกิดเรื่องรึ?” 

 

 

คนในห้องสบตากัน มีคนหัวเราะแล้ว 

 

 

“ข้าว่านี่ก็คือความฉลาดของทางการ” เขาเอ่ย “มีดทื่อแล่เนื้อ ต้มกบในน้ำอุ่น” 

 

 

“ใช่แล้ว” มีคนพยักหน้า มองดูผู้คนที่นั่งอยู่ “พวกเขารู้ว่าหากเอ่ยปากจะเอาเงินจากพวกเราพ่อค้าใหญ่ร้านใหญ่เหล่านี้ตรงๆ นั่นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด ต้องเผชิญการคัดค้านแน่ ดังนั้นครั้งนี้พวกเขาจึงลงมือกับร้านเล็กร้านน้อยเหล่านั้นเท่านั้น ประการแรกคนเหล่านั้นอำนาจน้อยกำลังน้อยไม่อาจก่อคลื่นลมได้ ประการที่สองพวกเราคนเหล่านี้ก็นิ่งดูดายเพราะเรื่องไม่เกี่ยวกับตนเอง รอจนเรื่องนี้ผ่านไปเช่นนี้ ทุกคนล้วนคุ้นชินแล้ว คราวหน้าพวกเขาก็คงลงมือกับพวกเรา ถึงเวลานั้นก็เอาตัวอย่างก่อนหน้ามาเป็นข้ออ้างได้แล้ว” 

 

 

ผู้คนในห้องพากันพยักหน้าถกเถียงเสียงเบา 

 

 

“ไยจิตใจของทางการชั่วร้ายนักนะ” เถ้าแก่ต่งถอนหายใจเอ่ย 

 

 

“ช่างมันเช่นนี้ไม่ได้แล้ว” บุรุษคนหนึ่งตบโต๊ะเอยขึ้น “ต้องให้พวกเขารู้ว่าเรื่องนี้ทำเช่นนี้ไม่ได้” 

 

 

ผู้คนในห้องพยักหน้า 

 

 

“แต่จะทำอย่างไรเล่า? ทำอย่างไรถึงทำให้พวกเขารู้ว่าเรื่องนี้ทำไม่ได้ นอกจากนี้พวกเราไม่ถูกลากเข้าไปเกี่ยวข้อง?” ทุกคนเอ่ยถาม 

 

 

“ถ้าอย่างนั้นเอาเช่นนี้เถอะ” เถ้าแก่ต่งพลันเอ่ยขึ้น “ร้านเล็กร้านน้อยก็ลำบาก พวกเราช่วยได้ก็ช่วยสักหน่อย” 

 

 

ทุกคนมองไปทางเขา 

 

 

“ช่วยอย่างไร?” คนหนึ่งเอ่ยถามเสียงเบา “จะเคลื่อนทัพต้องมีเหตุผลนะ” 

 

 

เถ้าแก่ต่งหัวเราะแล้ว 

 

 

“ร้านเล็กร้านน้อยกลุ่มหนึ่งต้องมีเหตุผลอะไรเล่า” เขาเอ่ยพลางคนใบชาอัดที่คลายตัวแล้วให้วนกระจายตัวในน้ำ “ก็แค่คนทำมาหากิน ไม่มีข้าวกินย่อมต้องขอทางรอดสักทาง ทุบชามข้าวของผู้อื่นแล้วยังจะไม่ให้พูดสักหน่อยร่ำไห้สักนิดหรือ? ปิดปากประชาชนยากกว่าขวางแม่น้ำนะ” 

 

 

ใบชาหมุนวนอยู่ในน้ำร้อน 

 

 

“คนที่ไหนมากก็ไปพูดที่นั่น” 

 

 

“พูดถึงคนมาก เฉิงกั๋วกงไม่ใช่จะกลับมาแล้วหรือ?” 

 

 

“แห่ขบวนสรรเสริญความชอบ องค์ชายต้อนรับด้วยองค์เอง ฮ่องเต้โปรดให้เข้าเฝ้าที่หน้าประตูวัง คนนับหมื่นแห่ชมเรื่องสนุก ตรอกซอกเงียบเหงา” 

 

 

“เฉิงกั๋วกงชื่อเสียงเลื่องลือ ความดีความชอบช่วยชาติช่วยประชาชน ไปร้องไห้กับเขาสักหน่อย ไม่แน่ว่าอาจมีทางรอดก็ได้นะ” 

 

 

บ่าวสาวสะสวยหิ้วกาน้ำชาขึ้นมารินชาที่ต้มเสร็จแล้วให้ผู้คนที่นั่งอยู่ทีละคนๆ กลิ่นหอมกำจายอบอวล 

 

 

เถ้าแก่ต่งชูถ้วยชาขึ้น 

 

 

“ใครช่วยชาติช่วยประชาชน?” เขาเอ่ย 

 

 

ผู้คนที่นั่งอยู่ล้วนหัวเราะ ชูถ้วยชาขึ้น 

 

 

“เฉิงกั๋วกง” พวกเขาเอ่ยเสียงพร้อมเพรียง 

 

 

“ใครให้ทางรอดกับพวกเราชาวบ้านตัวเล็กๆ ได้?” เถ้าแก่ต่งเอ่ยอีกครั้ง 

 

 

“เฉิงกั๋วกง” ผู้คนเอ่ยพร้อมเพรียง 

 

 

เถ้าแก่ต่งชูถ้วยชาขึ้นสูง 

 

 

“แด่เฉิงกั๋วกง” เขาอมยิ้มเอ่ย 

 

 

“แด่เฉิงกั๋วกง” ผู้คนหัวเราะ เอ่ยขึ้นอย่างพร้อมเพรียงด้วย 

 

 

กลิ่นหอมของชาลอยอบอวล ร่วมดื่มคำเดียวหมด 

 

 

…………………………………….. 

 

 

ยิ่งกองทัพใหญ่ของเฉิงกั๋วกงเข้าใกล้เมืองหลวง เรื่องราวในราชสำนักก็ยิ่งวนเวียนอยู่กับเรื่องการต้อนรับเฉิงกั๋วกง 

 

 

ทุกกรมทุกกองล้วนวุ่นวายกับงานด้านต่างๆ เรื่องบริจาคเบี้ยหวัดก่อนหน้าคล้ายผ่านไปแล้วไม่ม่มีคนเอ่ยถึงอีก 

 

 

แต่เรื่องราวไม่ได้เป็นเช่นนั้น 

 

 

นอกประตูเสียงพูดคุยแผ่วเบาลอยมา เดี๋ยวดังเดี๋ยวเบาคล้ายหัวเราะแต่ก็คล้ายโวยวาย คล้ายฟังชัดแต่ก็ฟังไม่ชัด นี่เย้ายวนคนอย่างที่สุด 

 

 

หนิงอวิ๋นเจาในห้องพลันวางเอกสารกระดาษพู่กันในมือลง ถือเสื้อคลุมยาวย่องเข้าไปใกล้ประตู แนบหูชิดช่องรอยต่อ 

 

 

สหายขุนนางคนหนึ่งในห้องเบิกตาโต้อ้าปากค้างมองดูภาพนี้ 

 

 

“หนิง…” เขาหลุดปากเรียก 

 

 

หนิงอวิ๋นเจารีบส่งเสียงชู่ให้เขา แล้วชี้ไปด้านนอก แนบบนประตูเงี่ยหูฟังอีกครั้ง เพิ่งแนบลงไป ประตูก็ถูกคนผลักเปิด 

 

 

คนผู้นี้คิดไม่ถึงว่าจะมีคนแนบอยู่กับประตู ตกใจส่งเสียงโอ๊ะทีหนึ่ง 

 

 

เสียงพูดแผ่วเบาที่อออยู่ด้านนอกพลันหายไป สายตามากมายล้วนมองมา 

 

 

“ใต้เท้าหนิง นี่ท่าน…นี่…” คนที่เข้ามาเอ่ยขึ้นอย่างตกตะลึง 

 

 

นี่ทำอะไรรึ? 

 

 

“อ้อ ข้ากำลังจะออกไป” หนิงอวิ๋นเจาสีหน้าไม่เปลี่ยนสักนิดเอ่ยขึ้น