บทที่ 115 จำใจเข้าร่วม[รีไรท์]

พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸)

บทที่ 115 จำใจเข้าร่วม[รีไรท์]

ในขณะที่นักศึกษาส่วนใหญ่แสดงสีหน้าเหยียดหยามและตั้งใจว่าจะถอนตัวไม่ร่วมกับคณะนี้แน่นอน แต่ยังมีบางคนที่แสดงสีหน้าต่างจากคนอื่น เจียงซิงเฉิงและโกวเจี้ยนตอนนี้สีหน้าของพวกเขาหน้าเกลียดเป็นอย่างมาก

พวกเขาในตอนนี้กำลังจินตนาการถึงอนาคตหลังจากที่พวกเขาเข้าร่วมคณะแห่งนี้ ว่ามันจะต้องเป็นอนาคตที่มืดบอด เดินไปทางไหนก็คงจะมีแต่คนหัวเราะเยาะแน่นอน “ซิงเฉิง ไอ้คณะนี่มันตลกจริง ๆ ไม่นึกเลยว่าคณะนี้จะยกเอาบทเรียนพื้นฐานมาสอน แสดงให้พวกเราดูในวันแรก” เหวินเต๋าที่เป็นเพื่อร่วมคณะของเจียงซิงเฉิงพูด

เหวินเต๋าเองเป็นนักศึกษาระดับหัวกะทิเช่นกัน เขาอยู่อันดับที่ 5 ในการจัดอันดับของคณะศาสตร์ยุทธ

เมื่อได้ยินคำพูดของเหวินเต๋า เจียงซิงเฉิงจากสีหน้าที่หน้าเกลียดอยู่แล้ว ยิ่งหน้าเกลียดมากขึ้นไปอีก

เหวินเต๋าที่เห็นว่าไม่มีการตอบรับอะไรจากเจียงซิงเฉิงจึงหันไปมองหน้าเพื่อนตัวเอง จากนั้นจงพบว่าสีหน้าเพื่อนของเขาตอนนี้ช่างดูไม่ดีเอาเสียเลย

“เฮ้ ซิงเฉิงนี่เจ้าเป็นอะไรไป ทำไมเจ้าถึงทำหน้าบอกบุญไม่รับแบบนี้กัน?” เหวินเต๋าถามขึ้น

เจียงซิงเฉิงที่ทนไม่ไหวแล้วจึงพูดขึ้น “ก็เพราะว่าตั้งแต่วันนี้ไปข้าต้องเรียนกับอาจารย์คนนี้น่ะสิ!”

“หะ นี่เจ้าบ้าไปแล้วเหรอ!?” เหวินเต๋าอุทานด้วยความตกใจ “นี่ไม่เห็นเหรอไงซิงเฉิง ว่าคนอื่น ๆ เขาเตรียมถอนตัวจากคณะกันหมดทุกคนแล้ว เจ้าจะเข้าไปเรียนในคณะนี้ทำบ้าอะไร!?”

“ข้าไม่ได้บ้าโว๊ย แต่พ่อข้าบังคับให้ข้าต้องเรียนในคณะนี้ต่างหาก” เจียงซิงเฉิงพูดด้วยความเศร้าใจ “เจ้าเห็นรอยฝ่ามือบนหน้าข้าไหมล่ะ นี่ล่ะฝีมือพ่อข้าล่ะ พอข้าปฏิเสธเขาก็ลงมือทุบตีบังคับให้ข้าต้องมาเรียนในคณะนี้นี่ล่ะ”

อันที่จริงรอยฝ่ามือบนใบหน้านั้นเป็นฝีมือของเขาเองที่ตบหน้าตนเองเมื่อคืน เพื่อที่จะไว้เป็นข้ออ้างเผื่อไว้สำหรับผู้อื่นถามว่าทำไมเขาต้องเข้าร่วมกับคณะตลกนี้

เมื่อเวลาผ่านไปได้ 2 ชั่วโมง ชั้นเรียนของถังชี่หยุนได้จบลง หลิงตู้ฉิงจึงสลายม่านกั้นเสียงออก

จ้าวปาเทียนเมื่อเห็นเช่นนั้น เขาจึงเดินเข้ามาหาหลิงตู้ฉิงด้วยรอยยิ้มอันขมขื่นและกล่าวว่า “ชั้นเรียนของครูถังนี่วิเศษจริง ๆ เป็นชั้นเรียนที่ทำให้ข้าเข้าใจโลกในอีกมุมหนึ่งได้ดีทีเดียว!”

หลิงตู้ฉิงไม่สนใจกับคำเยินยอแฝงไปด้วยการประชดของจ้าวปาเทียน เขาพูดขึ้นถึงอีกเรื่องหนึ่งว่า “การสอนในวันนี้ไม่ราบลื่นอย่างที่ควรจะเป็น เพราะคนของสถาบันท่านเอะอะโวยวายกันอยู่ตลอด ฉะนั้นนับตั้งแต่วันพรุ่งนี้ ข้าจะสร้างเขตแดนปิดกั้นพื้นที่นี้จากภายนอก ข้าจะกั้นไม่ให้บุคคลที่ไม่ได้รับอนุญาตเข้ามาภายในบริเวณคณะของข้า”

เมื่อได้ยินคำพูดของหลิงตู้ฉิง อาจารย์ผู้หนึ่งที่สังกัดในคณะศาสตร์ยุทธได้กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย “อาจารย์หลิง ท่านไม่ต้องเป็นห่วงหรอก วันนี้ที่ทุกคนมารวมตัวกันที่นี่ก็เพราะพวกเราเห็นคณะของท่านพึ่งเปิดสอนเป็นวันแรก พวกเราจึงมารับชมการสอนของคณะท่านสักหน่อย และวันนี้พวกเราก็เห็นแล้วว่าการสอนของคณะท่านนั้นช่างยอดเยี่ยมไร้ที่ติ ฉะนั้นท่านไม่ต้องกังวล หลังจากวันพรุ่งนี้ไปคงไม่มีใครสงสัยอะไรอีกและคงไม่มีใครมาส่งเสียงโวยวายกวนใจการสอนของอาจารย์คณะท่านอีกแล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า”

“เป็นได้แบบนั้นก็ดี” หลิงตู้ฉิงตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

จ้าวปาเทียน เมื่อเขานึกอะไรบางอย่างได้จึงรีบพูดขึ้น “นี่เจ้าหนุ่ม เอ้ยไม่สิ อาจารย์หลิง ข้าก็ได้บอกกับเจ้าไปแล้วว่าในคณะนี้เจ้ามีอำนาจที่จะทำอะไรก็ได้ทั้งหมด ฉะนั้นเจ้าไม่ต้องมาถามหรือขออนุญาตข้าหรอก แต่ในตอนนี้ทุกคนที่มาเพื่อสมัครเข้าคณะของเจ้าก็มาอยู่ที่นี่กันหมดแล้ว เจ้าต้องการที่จะทดสอบพวกเขาก่อนที่จะรับเข้าคณะของเจ้าก่อน หรือเจ้าจะรับพวกเขาเข้าคณะของเจ้าเลยดี?”

“ไม่จำเป็นต้องทดสอบอะไรทั้งนั้น หากพวกเขาต้องการเข้าเรียนในคณะของข้า แค่ให้พวกเขาก้าวเข้ามาหาข้าตรงนี้ก็พอ ข้าจะได้บอกกฎระเบียบของคณะข้าให้พวกเขาฟัง” หลิงตู้ฉิงตอบกลับ

เมื่อได้ยินเช่นนั้น จ้าวปาเทียนตะโกนขึ้นทันที “ใครที่มาเพื่อสมัครเข้าคณะเปิดชั่วคราว ให้เดินก้าวเข้ามาตรงนี้ทันที!”

“ช้าก่อน!” คณบดีคณะโอสถศาสตร์ตะโกนขัดขึ้น “ท่านอธิการบดี ท่านเป็นคนบอกไม่ใช่เหรอไงว่าท่านจะให้พวกเขาเลือกว่าจะเข้าหรือไม่เข้าก็ได้ด้วยตัวของพวกเขาเอง ถ้าท่านสั่งให้พวกเขาก้าวเข้าไปหาแบบนี้มันก็เหมือนกับว่าท่านบังคับให้พวกเขา เข้าไปอยู่ในคณะของอาจารย์หลิงเลยไม่ใช่เหรอไง?”

“ท่านอธิการบดี ข้าขอเลือกไม่เข้าร่วมกับคณะนี้” หนึ่งในนักศึกษาหัวกะทิตะโกนขึ้น

“ข้าก็ขอไม่เข้าร่วม!”

“ข้าด้วยเช่นกันข้าขอกลับคณะเดิม!”

จากนั้นเสียงของบรรดานักศึกษาก็เริ่มตะโกนดังอื้ออึงปฏิเสธ ส่งผลให้สีหน้าของจ้าวปาเทียนเริ่มหดหู่ขึ้นเรื่อย ๆ

แต่ในบรรดาคำปฏิเสธทั้งหลายที่ดังขึ้น กลับมีเสียงคำพูดหนึ่งที่ดังสวนทางขึ้นมา

“ท่านอธิการบดี ข้าต้องการเข้าร่วมคณะเปิดชั่วคราว…” เสียงที่เปล่งออกมาด้วยความหดหู่ดังขึ้น

จ้าวปาเทียนเมื่อได้ยินเสียงการตอบรับที่หน้าระรื่นหูนี้ดังขึ้น เขาพุ่งตัวไปหาเจ้าของเสียงทันทีและถามขึ้น “เจียงซิงเฉิง เมื่อกี้เจ้าพูดว่าอะไรนะ พูดขึ้นอีกทีดัง ๆ สิ!”

ได้ยินคำสั่งของจ้าวปาเทียน เจียงซิงเฉิงเขาจึงก้มหน้าลงมองพื้นและตะโกนขึ้น “ท่านอธิการบดี ข้าต้องการเข้าศึกษาในคณะเปิดชั่วคราวแห่งนี้!”

เมื่อตะโกนเสร็จ เจียงซิงเฉิงจึงค่อย ๆ ก้าวเดินไปหาหลิงตู้ฉิงด้วยสีหน้าอันหดหู่ ราวกับเขากำลังเดินเข้าไปในแดนประหาร

เมื่อเห็นเจียงซิงเฉิงกำลังเดินเข้าไปหาหลิงตู้ฉิง จ้าวปาเทียนเริ่มยิ้มออกอย่างเบิกบานใจและตะโกนขึ้น “ตอนนี้ เจียงซิงเฉิง จากคณะศาสตร์ยุทธได้ตกลงเข้าร่วมกับคณะเปิดชั่วคราวแล้ว มีใครในพวกเจ้าอยากจะเข้าร่วมอีกบ้าง!”

ตอนนี้บรรดานักศึกษาของคณะศาสตร์ยุทธล้วนตกตะลึงกันเป็นอย่างมาก “ซิงเฉิง บ้าไปแล้วเหรอไง ทำไมเขาถึงต้องการเข้าร่วมกับคณะเปิดชั่วคราวนี้กัน?”

จากนั้นเสียงอีกเสียงหนึ่งได้ดังขึ้นสร้างความตกตะลึงให้กับผู้คนอีกรอบ

“ข้าต้องการเข้าร่วมเช่นกัน” โกวเจี้ยน ที่อยู่อันดับ 2 ของคณะเตรียมทหาร ได้เดินออกไปหาหลิงตู้ฉิงหลังจากพูดจบ

คราวนี้ คณบดีของคณะเตรียมทหาร เว่ยเทียนไล้เริ่มร้อนรน เขาเดินไปขวางโกวเจี้ยน และถามว่า “โกวเจี้ยน นี่เจ้ากำลังทำอะไรอยู่เจ้ารู้ตัวบ้างรึเปล่า แล้วที่เจ้าสัญญากับอาจารย์เมื่อวานว่าเจ้าจะไม่เข้าคณะนี้ เจ้าจะคืนคำงั้นเหรอ?”

โกวเจี้ยนที่ในตอนนี้มีสีหน้าบูดเบี้ยว ก้มหน้าตอบออกมาว่า “อาจารย์เว่ย ข้าขออภัยจริง ๆ ที่ข้าไม่สามารถรักษาสัญญากับท่านได้ ที่ผ่านมาข้าขอขอบคุณท่านอย่างใจจริงที่สั่งสอนข้าเป็นอย่างดีมาตลอด แต่วันนี้ข้าจำเป็นต้องเข้าร่วมกับคณะเปิดชั่วคราวแห่งนี้ ข้าไม่มีทางเลือก!”

เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางและคำพูดของโกวเจี้ยน เว่ยเทียนไล้ตะโกนชี้ไปยังหลิงตู้ฉิงและพูดว่า “อาจารย์หลิง! นี่มันจะมากเกินไปแล้ว ท่านกล้าข่มขู่ให้ลูกศิษย์ข้าเข้าร่วมกับคณะของท่านยังงั้นเหรอ!?”

หลิงตู้ฉิงตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ข่มขู่? ข้าไม่เคยข่มขู่อะไรนักศึกษาเหล่านี้ทั้งนั้น เอาล่ะมีใครอีกไหมที่จะเข้าร่วมคณะของข้า ข้าจะได้ประกาศกฎระเบียบให้เสร็จสักที”

หมิงจู้ที่อยู่ด้านข้างนางถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเคารพ “ลุงหลิง ข้าจำเป็นต้องสมัครเข้าร่วมในคณะนี้ด้วยไหม?”

“แน่นอนเจ้าต้องสมัครด้วย” หลิงตู้ฉิงตอบกลับ

เมื่อได้ยินคำตอบของหลิงตู้ฉิง หมิงจู้จึงรีบวิ่งไปหาอาจารย์ของนางที่อยู่ในคณะศาสตร์ยุทธเพื่อร่ำลาและจากนั้นนางจึงรีบวิ่งกลับมายืนร่วมกับเจียงซิงเฉิงและโกวเจี้ยน

“ข้าจะให้เวลาที่ทุกคนจะสมัครได้อีกเพียงครึ่งชั่วยาม หลังจากนั้นข้าจะปิดรับสมัครทันที” หลิงตู้ฉิงตะโกนขึ้นอีกครั้ง

“ไอ้คนอวดดีเอ้ย!” บรรดาอาจารย์ที่ยืนอยู่ต่างตะโกนเหน็บแนมด้วยความไม่พอใจ “ข้าล่ะอยากจะรู้นักว่าสุดท้ายจะมีคนเข้าร่วมกับคณะตลกนี้สักกี่คนกัน!”

และเมื่อใกล้จะถึงเวลาเส้นตายครึ่งชั่วยาม เหวินเต๋าเริ่มออกตัวเดินไปทางหลิงตู้ฉิง

คณบดีของคณะศาสตร์ยุทธ จิ๋นห้าวหมิงที่เห็นเช่นนั้นด้วยความตกใจ เขาจึงจับแขนรั้ง เหวินเต๋าไว้ทันทีและพูดว่า “นี่เจ้ากำลังทำอะไร?”

“อาจารย์ ข้าทนไม่ได้ที่เห็นเพื่อของข้า ซิงเฉิง ต้องเข้าไปร่วมกับคณะแห่งนี้ ตอนนี้ข้าต้องเข้าไปร่วมกับคณะนี้ชั่วคราว เพื่อโน้มน้าวซิงเฉิง ให้ลาออกกลับมาที่คณะของเราซะ”

จิ๋นห้าวหมิงที่ได้ยินเช่นนั้นเขาจึงปล่อยแขนของเหวินเต๋า และพูดด้วยน้ำเสียงมีความหวัง “เช่นนั้นก็ดี เจ้าจงเข้าไปโน้มน้าวให้เขากลับมาหาเราให้ได้ก่อนที่ทุกอย่างมันจะสายเกินแก้”

ในท้ายที่สุดเมื่อเวลาครึ่งชั่วยามผ่านไป สรุปแล้วมีนักศึกษาที่เข้าร่วมกับคณะเปิดชั่วคราวของหลิงตู้ฉิงอยู่ 28 คนด้วยกัน

เมื่อหลิงตู้ฉิงประกาศจบการรับสมัคร บรรดาอาจารย์จากคณะศาสตร์ยุทธและเตรียมทหาร พวกเขาต่างมองไปยังหลิงตู้ฉิงด้วยสายตาโกรธเคือง เนื่องจากพวกเขาทั้งสองคณะ เป็นคณะที่สูญเสียนักศึกษาหัวกะทิให้กับคณะของหลิงตู้ฉิงมากที่สุด

เมื่อมองไปที่ผู้คนหลายสิบคนในคณะเปิดชั่วคราว หลิงตู้ฉิงก็ขมวดคิ้ว

“มีอะไรเหรอ?” จ้าวเหมิงลู่ถาม

“มีคนมากเกินไป!” หลิงตู้ฉิงตอบ

จ้าวเหมิงลู่ยิ้มและกล่าวว่า “เอาน่า ก็ถือว่าเป็นการให้หน้าท่านปู่ของข้าสักหน่อย ท่านก็แค่สอนนักศึกษาเพิ่มขึ้นมาไม่กี่สิบคนเอง มันไม่น่าจะเป็นปัญหากับท่านมากนักหรอกจริงไหม?”

หลิงตู้ฉิงจ้องมองไปที่ผู้คน 20 กว่าคนด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่าย เขาถอนหายใจและพูดว่า “ถ้าพวกเจ้าคนไหนต้องการถอนตัวกลับไปคณะเดิม พวกเจ้าสามารถทำเช่นนั้นได้ทุกเมื่อ ข้าขอสารภาพตามจริงกับพวกเจ้าไว้อย่างหนึ่ง การมีนักศึกษาหลายสิบคนเข้าร่วมกับคณะของข้านั้นเกินความคาดหมายของข้ามาก ดังนั้นข้าจะไม่ขัดข้องอะไรเลยและยังยินดีซะอีกหากพวกเจ้าต้องการถอนตัว”

เมื่อพูดจบหลิงตู้ฉิงยืนรอดูท่าทีของนักศึกษาที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาสักพัก เมื่อเห็นว่าไม่มีใครยอมขยับหรือพูดขอถอนตัวออกมา เขาจึงส่ายหัวและกล่าวต่อ “เอาล่ะ ข้าจะแนะนำนี่คืออาจารย์ถังชี่หยุนสอนเกี่ยวกับวัฒนธรรม การอ่าน เขียนและเรื่องราวปรัชญาทั่วไปในโลก ชั้นเรียนของนางจะเริ่มตั้งแต่ 8 ถึง 10 โมงเช้า”

พูดจบหลิงตู้ฉิงชี้ไปทางโม่หยูถังและพูดต่อ “ส่วนนี่คืออาจารย์ผู้ฝึกสอนเกี่ยวกับศิลปะการต่อสู้ให้พวกเจ้า อาจารย์โม่หยูถัง ชั้นเรียนของเขาเริ่มเวลาบ่าย 3 ถึง 5 โมงเย็น  ณ ปัจจุบันคณะของข้าจะยังมีอาจารย์เพียงสองคน แต่ในอนาคตจะมีอาจารย์คนอื่น ๆ เข้ามาสอนวิชาต่างๆเพิ่มอีก”

หลังจากที่หลิงตู้ฉิงแนะนำเกี่ยวกับคณะของเขาเสร็จ เขาจึงเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้เฝ้าดูบรรดาลูก ๆ ของเขาที่เริ่มแยกย้ายกันไปฝึกตามวิธีของตัวเอง

หลิงยู่ชานวิ่งไปด้านข้างเพื่อทบทวนทักษะหมัด

หลิงว่านถิงหยิบชิงช้าของนางออกมาจากแหวนมิติจากนั้นนางนั่งลงบนมันและจึงเริ่มแกว่งไปมา

หลิงเทียนหยุนก้ม ๆ เงย ๆ ตามหาเงา

หลิงว่านจุนและหลิงยี่เทียนพากันเล่นหมากรุก

หลิงฟ่างหัวนางเดินไปอีกด้านของลาน นางหยิบประตูออกมาจากแหวนมิติ และเริ่มเดินเข้าเดินออกประตูซ้ำไปมา

สำหรับหลิงไช่หยุนนางนั่งอยู่ข้าง ๆ หลิงตู้ฉิง เฝ้ามองไปยังบรรดาพี่ ๆ ของนางที่กำลังฝึกฝนกันอยู่โดยไม่ทำอะไร

บรรดาคณบดีคนอื่น ๆ เมื่อเห็นพฤติกรรมของลูก ๆ หลิงตู้ฉิงต่างก็พากันหัวเราะอย่างเย็นชา “ท่านอธิการบดีดูเหมือนว่าท่านจะตั้งคณะใหม่นี้ให้กลายเป็นสนามเด็กเล่นแล้วจริง ๆ แม้ว่าท่านจะเอ็นดูหลานเขยของท่านขนาดไหนก็ตาม แต่ท่านก็ไม่ควรจะทำอะไรไม่ยั้งคิดแบบนี้!”