DC บทที่ 264: จงฆ่าข้าเดี๋ยวนี้

 

ครั้นเมื่อฝนเลือดสลายตัวไปหมดแล้ว ผู้อาวุโสวันก็ล้มลงคุกเข่า รู้สึกเหมือนกับว่าตนเองได้ถูกโยนเข้าไปในโลกใหม่ที่มีตรรกะต่างไปจากที่เขาเคยรู้จักอย่างสมบูรณ์

 

“แขกจากนิกายล้านอสรพิษ เจ้าควรกลับไปยังที่ของเจ้าและเตือนพวกเขาว่าข้าจักมิมีเมตตาดังเช่นวันนี้อีกถ้าพวกเขาต้องการแก้แค้น”

 

เสียงนั้นดังขึ้นมาอีกครั้ง

 

อย่างไรก็ตามผู้อาวุโสวันยังคงไม่เคลื่อนไหว ดูเหมือนคนไร้สติ

 

หลังจากเงียบไปชั่วขณะ เขาก็พึมพัม “จงฆ่าข้าเดี๋ยวนี้ เพราะว่านิกายล้านอสรพิษจักมิยอมให้เรื่องนี้ผ่านไปง่ายๆ ในบรรดาคนที่เจ้าฆ่าไปเมื่อกี้ หนึ่งในนั้นเป็นญาติกับผู้นำนิกาย ดังนั้นนั่นจึงมีผลกระทบกับนิกายล้านอสรพิษ ผู้นำนิกายแน่นอนว่าต้องพยายามแก้แค้นเขา”

 

ความเงียบเข้าปกคลุมอีกครั้งหลังจากที่ผู้อาวุโสวันพูดจบ

 

อย่างไรก็ตามเสียงนั้นก็กลับมาหลังจากนั้นไม่นานนัก

 

“นั่นหมายความว่าเจ้ากำลังบอกข้าให้ไปลบนิกายล้านอสรพิษทิ้ง เช่นนั้นก็ดี…”

 

ผู้อาวุโสวันดวงตาเบิกกว้างขึ้น เขารีบตะโกนออกมา “ด-เดี๋ยวก่อน แม้ว่าข้ามิสามารถรับประกันผลลัพธ์ใดได้ ข้าจักพูดกับผู้นำนิกายและพยายามหว่านล้อมเขา ด้วยว่าข้ามิเชื่อว่าเขาปรารถนาที่จะสร้างภัยพิบัติให้แก่ทั้งนิกายถึงแม้ว่าจะเป็นญาติของเขา…”

 

ตามจริงแล้วผู้อาวุโสวันไม่ต้องการกลับไปสู่นิกายล้านอสรพิษแม้แต่น้อย ในเมื่อเขารู้สึกว่าเขาไม่มีหน้าเหลือที่จะไปพบกับผู้นำนิกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากเหตุการณ์ในวันนี้ที่จบชีวิตของศิษย์สามสิบคนรวมญาติของผู้นำนิกายด้วย ดังนั้นจึงเป็นเหตุว่าเขายินดีที่จะตายมากกว่าที่จะกลับไป

 

กล่าวไปแล้วเพราะว่านิกายล้านอสรพิษทั้งหมดจะต้องตกอยู่ในความเสี่ยงถ้าเขาไม่เตือนผู้นำนิกาย ผู้อาวุโสวันจึงไม่มีทางเลือกนอกจากจะกล้ำกลืนฝืนความอายและกลับไปยังนิกายเพื่อพบกับความโกรธเกรี้ยวของผู้นำนิกาย

 

เสียงนั้นแค่นออกมาอย่างเย็นชา “เจ้าไสหัวไปได้แล้ว”

 

ยามเมื่อผู้อาวุโสวันได้ยินเสียงนั้น เขาก็ตะเกียกตะกายออกไปจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยในสภาพที่ราวกับว่าเขาเดินทางมาโดยไม่ได้อะไรเลยมาหลายครั้งก่อนที่จะจากที่นี่ไปอย่างแท้จริง

 

หลังจากนั้น เซียวลี่ก็ใช้ความเร็วอันไร้ผู้เปรียบของเธอและหายไปจากบริเวณนั้นก่อนที่โหลวหลานจีจะทันได้สังเกตเธอ

 

“ข-ขอบคุณสำหรับการปกป้องสถานที่ไร้ค่าแห่งนี้ ผู้อาวุโส”

 

โหลวหลานจีคุกเข่าต่อฟ้า แต่อนิจจา เสียงนั้นไม่คืนกลับมา

 

ไม่กี่นาทีหลังจากนั้นเงาร่างคนประมาณร้อยคนก็ตรงเข้ามาหาโหลวหลานจีอย่างรวดเร็ว

 

“ผู้นำนิกาย ท่านเป็นไรหรือเปล่า”

 

เมื่อผู้อาวุโสจ้าวสังเกตเห็นโหลวหลานจีขดตัวอยู่บนพื้น ความคิดแรกของเขาก็คือเธอได้รับบาดเจ็บ

 

อย่างไรก็ตามเมื่อตรวจสอบอย่างใกล้ชิดผู้อาวุโสจ้าวก็ตระหนักว่าโหลวหลานจีเพียงคุกเข่าต่อท้องฟ้าว่างเปล่า

 

แม้ว่านั่นดูจะแปลกประหลาดอยู่บ้างผู้อาวุโสจ้าวตัดสินใจไม่สนใจและถามเกี่ยวกับสถานการณ์แทน “นิกายล้านอสรพิษไปไหน อีกทั้งแรงกดดันที่ยากจะหยั่งที่ข้าเพิ่งรู้สึกได้เมื่อไม่กี่นาทีก่อนคืออะไร”

 

โหลวหลานจีเงยหน้าขึ้นและชี้ไปยังแอ่งเลือดที่อยู่ห่างออกไปไม่กี่เมตรและกล่าวว่า “นั่นเป็นสิ่งที่เหลือทิ้งไว้ของนิกายล้านอสรพิษ”

 

“ท่านว่ากระไร”

 

ทุกคนที่นั่นต่างพากันตื่นตระหนกถึงที่สุดเมื่อเห็นเลือดสดๆบนพื้น

 

ความโหดเหี้ยมประเภทไหนที่เกิดขึ้นที่นี่กัน นี่ไม่มีแม้กระทั่งแขนขาสักข้างในสายตา และนี่ดูเหมือนฉากฆาตกรรมที่ย้ายร่างคนตายออกไปแล้ว

 

“ข้าจักอธิบายทุกสิ่งทีหลัง แต่ตอนนี้ เราต้องเน้นในการทำให้เหล่าศิษย์สงบลงก่อนเป็นอันดับแรก” โหลวหลานจีกล่าว เธอไม่รู้แม้แต่น้อยถึงความจริงที่ว่าศิษย์แทบทุกคนของเธอได้ละทิ้งสถานที่แห่งนี้หลังจากรู้ว่าพวกเขาถูกโจมตีโดยนิกายล้านอสรพิษ

 

“เรื่องนั้น…”

 

ผู้อาวุโสจ้าวไม่มั่นใจเท่าไหร่นักว่าจะบอกให้เธอรู้ได้อย่างไรโดยไม่ทำให้เธอเสียใจมากนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาเพิ่งรอดชีวิตจากการโจมตีจากนิกายล้านอสรพิษ

 

โหลวหลานจีขมวดคิ้วหลังจากที่เห็นผู้อาวุโสจ้าวมีสายตาลังเลและเงียบไป ความรู้สึกที่เป็นลางร้ายก็ปรากฏขึ้นในใจเธอ

 

“ทำไมท่านจึงไม่พูด อย่าบอกข้าว่ามีบางสิ่งเกิดขึ้นกับเหล่าศิษย์”

 

โหลวหลานจีเพิ่มเสียง ฟังดูเหมือนจะตระหนกอยู่บ้าง

 

เมื่อเห็นว่าผู้อาวุโสจ้าวไม่อาจแจ้งข่าวร้ายให้กับเธอได้ ผู้อาวุโสซุนก็ก้าวออกมาและพูดว่า “แม้ว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเหล่าศิษย์ แต่ข้าก็มีข่าวร้ายบางอย่าง…”

 

ผู้อาวุโสซุนได้จัดการอธิบายโหลวหลานจีว่าศิษย์ส่วนใหญ่ได้ตัดสินใจจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเพราะว่าเหตุการณ์นี้ ซึ่งทำให้หัวใจของโหลวหลานจีเต็มไปด้วยความเจ็บปวดสุดพรรณา

 

สุดท้ายศิษย์ทุกคนก็เหมือนกับสมาชิกครอบครัวของโหลวหลานจี และเมื่อเห็นพวกเขาทั้งหมดละทิ้งสถานที่นี้เพราะว่าพวกเขากลัวนิกายล้านอสรพิษ เธอก็ไม่รู้ควรจะหัวเราะเยาะกับการไร้ความสามารถของเธอในฐานะผู้นำนิกายหรือว่าร้องไห้เสียใจดี

 

กล่าวไปแล้วโหลวหลานจีไม่ได้กล่าวโทษเหล่าศิษย์ที่ต้องการจากไป ในเมื่อเธอเข้าใจความรู้สึกของพวกเขาในความต้องการที่จะรอดชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาต้องเผชิญกับชะตากรรมที่ดูเหมือนจะหลีกเลี่ยงไม่ได้นอกจากการจากไป

 

ในเวลานั้นเมื่อเซียวไป่ซึ่งได้ซ่อนตัวอยู่ในมุมหนึ่งหลังจากหนีออกมาจากการหน่วงเหนี่ยวของผู้อาวุโสวันมองเห็นฟางซีหลานอยู่ในกลุ่ม เธอพลันวิ่งไปหาอีกฝ่ายพร้อมกับร่ำร้องอย่างเป็นสุข

 

“เซียวไป่”

 

ฟางซีหลานพลันสังเกตเห็นเซียวไป่วิ่งไปหาและกอดเธอ ท่าทางเศร้าโศกที่เคยติดอยู่บนใบหน้าเธอพลันหายไปอย่างง่ายดาย

 

“นั่นเป็นวิญญาณพิทักษ์รึ”

 

ผู้อาวุโสซุนและคนอื่นๆต่างพากันมองไปยังเซียวไปด้วยความรู้สึกหลากหลายในดวงตา ในเมื่อเธอเป็นเหตุผลที่พวกเขาตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ในตอนนี้

 

ไม่นานหลังจากนั้น หลังที่โหลวหลานจีเยือกเย็นลงบ้างแล้ว เธอก็มองดูยังศิษย์ที่ยังเหลืออยู่และถามว่า “ศิษย์ทั้งหมดได้จากไปแล้วรึ”

 

“ช่างโชคร้ายนัก…”

 

ผู้อาวุโสจ้าวพยักหน้า

 

โหลวหลานจีจ้องไปยังเหล่าศิษย์ที่เหลือด้วยสายตาเปี่ยมอารมณ์ที่เต็มไปด้วยความขอบคุณ

 

“ขอบคุณสำหรับศิษย์ที่ยังคงจงรักที่ยังเหลืออยู่ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยแม้ว่าจะถูกนิกายล้านอสรพิษคุกคาม อีกทั้งการไร้ความสามารถในฐานะผู้นำนิกายของข้าที่ปล่อยให้เหตุการณแบบนี้เกิดขึ้น…”

 

โหลวหลานจีพลันก้มศีรษะให้กับพวกเขา บางสิ่งที่ไม่มีศิษย์คนใดที่นั่นจะจินตนาการว่าจะได้รู้เห็นเป็นพยานในสิ่งนี้ในชีวิตของพวกเขา

 

หลังจากที่บรรดาศิษย์ได้ยอมรับคำขอโทษจากเธออย่างนอบน้อมแล้ว โหลวหลานจีพลันตระหนักว่าซูหยางไม่ได้อยู่ในกลุ่มศิษย์เหล่านี้ และเธอได้แต่แอบถอนใจ

 

“เป็นว่าเขาก็ตัดสินใจจากไปเช่นกัน เฮ้อ”

 

แม้ว่าเธอไม่ต้องการยอมรับ แต่การที่ซูหยางจากไปนั้นก็ทำให้เธอเจ็บปวดในใจมากกว่าศิษย์อื่นรวมกันทั้งหมด

 

“อย่างไรก็ตามเราไปพูดกันในที่ที่เหมาะสมกว่านี้” เธอกล่าวกับพวกเขาหลังจากเก็บซ่อนความคิดทั้งหมดเกี่ยวกับซูหยางไว้ในใจและปาดน้ำตาทิ้ง