“หลังจากมีของสิ่งนี้ ผู้ที่แข้งขาเดินเหินไม่สะดวกจะสามารถลุกออกจากเตียงได้” ซูหลีอธิบายอย่างอดทนประโยคหนึ่ง สีหน้าขณะที่พูดค่อนข้างซับซ้อน
จะว่าไปแล้ว พระโอรสของไทเฮาในเวลานี้ก็มีฉินเฮ่า บิดาของฉินมู่ปิงและหลิงอ๋องในอดีต ฉินเย่หานที่เป็นฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน
ในเวลานั้นใครก็คิดไม่ถึงว่าฉินเย่หานจะได้ขึ้นครองราชย์ พระโอรสที่ไทเฮาและฮ่องเต้ทรงรักมากที่สุดนั้นก็คือฉินเฮ่า
เก้าอี้รถเข็นอาจจะไม่สามารถทำให้ฉินเฮ่าลุกขึ้นมามีโอกาสเดินไปมาเหมือนคนปกติได้ ทว่าสำหรับท่านอ๋องที่เคยมีใจฮึกเหิม เฝ้าระวังทั้งทางใต้ของแคว้นแล้วละก็ ถือเป็นของที่หาได้ยากเป็นอย่างยิ่งอย่างแท้จริง
ซูหลีหลับตาลงครู่หนึ่ง นางนำของสิ่งนี้วาดออกมา ไม่รู้ว่าถูกหรือผิดกันนะ…
“กระดาษภาพนี้ ข้าขอเก็บเอาไว้ก่อนได้หรือไม่” เพราะฉินมู่ปิงตื่นเต้นเกินไป จนไม่แม้กระทั่งจะรักษาภาพลักษณ์ซื่อจื่อ และเรียกแทนตนเองว่าข้ากับซูหลี
ซูหลีชะงักไปเล็กน้อยและผงกศีรษะ
ภาพก็วาดออกมาแล้ว หากนางปฏิเสธตอนนี้คงไม่เหมาะสมนัก
ในทางกลับกันหากนางทำให้ฉินมู่ปิงไม่พอใจ เมื่อถึงเวลานางก็ต้องมอบกระดาษนี้ให้เขาอยู่ดี และฉินมู่ปิงก็จะไม่รำลึกถึงมิตรภาพของนางเลยแม้แต่น้อย
“เพียงแต่ของสิ่งนี้หากทำออกมา เกรงว่าจักต้องสิ้นเปลืองกำลังอยู่บ้าง…”
“ไม่เป็นปัญหา หากของสิ่งนี้สามารถทำออกมาได้จริงๆ ซูหลี บุญคุณนี้ของเจ้า ข้ากับท่านพ่อจักจดจำเอาไว้!” ฉินมู่ปิงจ้องมองซูหลีและเอ่ยด้วยอย่างจริงจัง เขาเอ่ยคำพูดเช่นนี้ออกมาอย่างตรงไปตรงมา
เดิมขณะที่ซูหลีกำลังเอ่ยถึงประโยชน์ของสิ่งนี้อยู่ โดยรอบก็มีคนเดาออกแล้วว่าสาเหตุที่ฉินมู่ปิงให้ความสนใจกับของสิ่งนี้จักต้องเป็นเช่นนี้ บัดนี้เมื่อเขาพูดออกมาก็ยิ่งทำให้เข้าใจอย่างถ่องแท้กว่าเดิม
จี้ฉินที่ยืนอยู่ข้างกายฉินมู่ปิงชำเลืองมองท่าทางดีใจของเขา นัยน์ตานั้นดูเคร่งขรึมเล็กน้อย จากนั้นจึงเหลือบตามองซูหลีครู่หนึ่ง
แววตาซับซ้อนเกินจะเปรียบ
“ง่ายอย่างกับปอกกล้วยเข้าปาก ซื่อจื่อจะเกรงใจกันเกินไปแล้ว เพียงแต่ข้ามีคำขอร้องประการหนึ่ง…” ทันทีที่ซูหลีกลอกสายตากลับมา จึงเอ่ยคำพูดเหล่านี้ขึ้นอย่างกะทันหัน
ฉินมู่ปิงชะงักไปเล็กน้อย ดวงตาอันลุ่มลึกของเขาคู่นั้นตวัดมองซูหลีครู่หนึ่ง สีหน้ากลับยังมีริ้วรอยของความดีใจแล้วเอ่ยขึ้นว่า “มีอะไรจะขอร้อง ขอเพียงเจ้าพูดออกมาเท่านั้น”
“ของสิ่งนี้หากสามารถสร้างออกมาได้สำเร็จ ซื่อจื่อสามารถสร้างให้ข้าชิ้นหนึ่งจะได้หรือไม่” ขณะที่พูดซูหลีก็ฉีกยิ้มอย่างเกรงใจ นางก้มศีรษะมองที่เท้าของตนเอง
ฉินมู่ปิงชะงักไปเล็กน้อย ในดวงตามีประกายแวววาวพาดผ่านอย่างรวดเร็วและเอ่ยว่า “แน่นอนว่าได้ จะว่าไปแล้วนี่ก็เป็นของของเจ้า”
“เช่นนั้นก็ดีเหลือเกิน ขอบคุณซื่อจื่อเป็นอย่างมาก” ซูหลีก้มหัวให้กับเขา ในใจกลับกำลังครุ่นคิดกับตนเองอยู่
นางไม่เอ่ยว่าฉินมู่ปิงผู้นี้มีอะไรปิดซ่อนเอาไว้หรือไม่ เพียงแต่ต้องดูจิ้งหนานอ๋องท่านนั้น บัดนี้ราชวงศ์ยังสงบสุข ฮ่องเต้ก็เป็นพระอนุชาสายโลหิตเดียวกันกับเขา ทว่าเขายังมีกำลังทหารและอยู่ในที่ตรงนั้นมาโดยตลอด ไม่ว่าจิ้งหนานอ๋องท่านนี้จะมีความคิดอย่างไร…
ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องที่ทำให้ผู้คนสนใจ
แต่ไม่ว่าภายในเรื่องนี้จะเป็นอย่างไร ซูหลีก็ไม่ใส่ใจ ขอเพียงอย่าลากนางเข้าไปเกี่ยวข้องก็พอแล้ว
เป้าหมายของนางคือเป็นขุนนางมือสะอาด เป็นขุนนางที่จงรักภักดีฮ่องเต้ก็เท่านั้น!
นางชำเลืองตาขึ้นสบตาและยิ้มให้กับฉินมู่ปิง แววตาของฉินมู่ปิงยามจ้องมองนางนั้น ดูแตกต่างกับยามปกติอยู่มาก ซูหลีจ้องมองเขาอย่างพินิจพิเคราะห์ด้วยสีหน้าคงเดิม
ต่อมางานเลี้ยงชมดอกเหมยก็จบลงอย่างรวดเร็ว เพราะอากาศเริ่มเย็นลง ท้องฟ้ายามราตรีก็ใกล้เข้ามาแล้ว ดังนั้นพอถึงตอนบ่ายพวกเขาก็เตรียมตัวกลับเมืองหลวง