บทที่ 317 มือมืดเบื้องหลังที่ยื่นออกมาหน้าม่าน (1)
หวางเจินเหวินเป็นบัณฑิตประจำหอสมุดหลวง ดังนั้นหอสมุดหลวงจึงกลายเป็นสถานที่ทำงานของขุนนางระดับบัณฑิตไปโดยปริยาย
ในห้องโถง หวางเจินเหวินผู้มีผมสีดอกเลาและสวมชุดสีแดงกำลังนั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะของเขา ขุนนางบุ๋นและเจ้าพนักงานคนอื่นๆ ต่างก็ยุ่งอยู่กับงานของตนเอง บางครั้งก็จะมีเสียงพูดคุยดังแผ่วๆ แต่โดยรวมแล้วถือว่าเงียบสงบ
หากมีความเห็นไม่ตรงกัน พวกขุนนางบุ๋นก็จะไปที่ห้องโถงด้านข้างเพื่อโต้เถียงหาผู้ชนะ แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อปัญญาชนทะเลาะกัน ก็มักจะไม่มีใครยอมใครอยู่ดี
สุดท้ายก็ต้องให้หัวหน้าเป็นคนตัดสิน
“ใต้เท้าสมุหราชเลขาธิการ คุณหนูซือมู่มาขอเข้าพบขอรับ” เจ้าพนักงานที่คุ้มกันอยู่นอกประตูเดินเข้ามาด้วยท่าทีสำรวม เสียงพูดก็แผ่วเบาเป็นอย่างยิ่ง
พู่กันที่กำลังโบกสะบัดของสมุหราชเลขาธิการหวางหยุดลงทันใด น้ำหมึกหยดลงบนหน้ากระดาษและกลายเป็นรอยหมึกสีดำกลุ่มหนึ่งทันที
‘นางเข้าวังมาได้อย่างไรกัน…แล้วมาที่สำนักราชเลขาธิการทำไม…’ ข้อสงสัยสองประการผุดขึ้นมาในสมองของสมุหราชเลขาธิการหวาง
หอสมุดหลวงอยู่ทางทิศตะวันออกของวัง แต่ไม่ได้อยู่ภายในกำแพงสูงของพระราชวัง ทว่าดูจากกฎเกณฑ์แล้วก็ถือว่าอยู่ในเขตพระราชวังเช่นกัน ด้านนอกก็มีทหารติดอาวุธครบมือคอยคุ้มกัน ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องล้วนแต่เข้ามาไม่ได้
และบุตรสาวของสมุหราชเลขาธิการก็อยู่ใน ‘ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้อง’ เหล่านี้ด้วย
“ไม่…อืม ให้นางเข้ามาก็แล้วกัน เข้ามาทางประตูหลัง ข้าจะไปรอที่โถงด้านข้าง” สมุหราชเลขาธิการหวางวางพู่กันลง กุมมือข้างหนึ่งไว้ข้างหลัง อีกข้างกุมไว้ที่หน้าท้อง แล้วเดินออกจากโถงด้านในไปยังโถงด้านข้างด้วยกิริยานิ่งสงบ
หลังจากรออยู่ที่ห้องโถงด้านข้างพักหนึ่ง หวางซือมู่ผู้สงบเสงี่ยมและใจดีมีเมตตาก็เข้ามาพร้อมกับกล่องอาหาร นางวางมันลงบนโต๊ะอย่างแผ่วเบา ก่อนเอ่ยเรียกเสียงหวาน “ท่านพ่อ!”
สมุหราชเลขาธิการหวางรับคำ ‘อืม’ แล้วเอ่ยอย่างไม่พอใจ “เจ้าไม่ได้ไปล่องทะเลสาบกับเพื่อนสนิทหรอกหรือ มาที่สำนักราชเลขาธิการทำอะไรกัน ใครพาเจ้าเข้ามาในวัง”
หวางซือมู่ยิ้มพลางเปิดกล่องอาหารอย่างไม่รีบร้อน จากนั้นก็ยกน้ำแกงปลาส่งกลิ่นหอมกรุ่นออกมาพลางเอ่ยเสียงอ่อนโยน
“ตอนที่ล่องทะเลสาบ ลูกเห็นว่าปลาคาร์ปในน้ำตัวอวบอ้วนนัก จึงให้คนจับมาแล้วรีบนำกลับจวนตอนที่มันยังสดๆ อยู่ จากนั้นจึงนำมาทำเป็นน้ำแกงปลาให้ท่านพ่อด้วยตัวเองเจ้าค่ะ ท่านพ่อยุ่งอยู่กับงานราชการ แต่ก็ควรจะใส่ใจกับร่างกายด้วย ดื่มน้ำแกงบำรุงให้มากหน่อยนะเจ้าคะ”
สีหน้าของสมุหราชเลขาธิการหวางอ่อนโยนลงเล็กน้อย เขาได้กลิ่นหอมชวนน้ำลายสอ จึงชิมไปหนึ่งคำแล้วแสดงสีหน้าเปี่ยมสุขออกมาทันที ก่อนเอ่ยชื่นชม
“ใส่ผงปรุงรสไก่ลงไปในน้ำแกงปลาเช่นนี้ ช่างเป็นรสชาติที่ยอดเยี่ยมจริงๆ สำนักโหราจารย์สร้างของสิ่งนี้ออกมาได้ ถือเป็นลาภปากของประชาชนชาวต้าฟ่งยิ่งนัก”
หลังจากที่ผงปรุงรสไก่ซึ่งสร้างโดยสำนักโหราจารย์เข้าสู่ตลาด มันก็ได้รับความนิยมจากผู้คนทุกชนชั้นทันที ทุกวันนี้ อาหารในบ้านของชนชั้นสูงและขุนนาง รวมถึงคหบดีผู้มั่งคั่งในเมืองหลวงล้วนต้องใส่ผงปรุงรสไก่อย่างเลี่ยงไม่ได้
และในบางครั้ง ชาวบ้านทั่วไปก็จะโรยใส่ในกับข้าวเล็กน้อยเพื่อเพิ่มรสชาติเช่นกัน
หวางเจินเหวินไม่ได้เห็นสำนักโหราจารย์สร้างของดีๆ เช่นนี้ออกมานานหลายปีแล้ว
หวางซือมู่ถือโอกาสเอ่ย “ก่อนหน้านี้ข้าได้ยินข่าวลือเรื่องหนึ่งเจ้าค่ะ บอกว่าความจริงแล้วสำนักโหราจารย์ไม่ได้คิดค้นผงปรุงรสไก่ขึ้นมา แต่เป็นคนอื่นเจ้าค่ะ”
หวางเจินเหวินชะงัก “คนอื่นอย่างนั้นหรือ”
หวางซือมู่ยิ้มกล่าว “ได้ยินองค์หญิงหลินอันกล่าวว่า ผู้ที่คิดค้นผงปรุงรสไก่ตัวจริงก็คือฆ้องเงินสวี่ชีอันเจ้าค่ะ สำนักโหราจารย์เพียงนำมาปรับปรุงและเผยแพร่ออกไปเท่านั้น”
เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้หวางเจินเหวินไม่เคยสนใจอยู่แล้ว แต่เมื่อได้ยินบุตรสาวกล่าวขึ้นมาดังนั้นก็นิ่งงันไปพักหนึ่ง ผ่านไปนานก็ยังไม่เอ่ยอะไร
“ชายผู้นี้ฉลาดเหนือใคร ฝีมือสูงล้ำ…” หวางเจินเหวินทอดถอนใจแล้วส่ายหน้า จากนั้นก็ดื่มน้ำแกงปลาต่อ
หวางซือมู่ยังคงสนทนาต่อไป “เดิมทีลูกตั้งใจจะให้หน่วยองครักษ์ราชวัลลภนำน้ำแกงปลามาส่งให้ท่านแทน กลับไม่คาดว่าจะเจอกับองค์หญิงหลินอันระหว่างทาง จึงตามเสด็จองค์หญิงเข้าวังมาเจ้าค่ะ”
ตอนนี้เอง หวางเจินเหวินก็ได้รับคำตอบของคำถามสองข้อนั้นเสียที
หวางซือมู่ไม่รอให้หวางเจินเหวินดื่มน้ำแกงปลาจนหมด นางก็ลุกขึ้นขอตัวลา “ท่านพ่อ ท่านค่อยๆ ดื่มนะเจ้าคะ หากเลิกงานแล้วอย่าลืมนำชามกลับบ้านด้วย หอสมุดหลวงห้ามมิให้สตรีเข้ามา เช่นนั้นลูกขอตัวก่อนนะเพคะ”
และคำถามข้อสุดท้ายก็ได้รับคำตอบสมบูรณ์…นางมาที่หอสมุดหลวงก็เพื่อส่งน้ำแกงปลาให้บิดาชรานั่นเอง
หวางเจินเหวินเผยรอยยิ้มออกมาแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “กลับไปเถิด ความกตัญญูของมู่เอ๋อร์ พ่อจดจำไว้แล้ว”
‘มีบิดาเป็นจิ้งจอกเฒ่าเช่นนี้ช่างรับมือยากเหลือเกิน เล่นแง่เล่นกลกับเขาช่างเหนื่อยยิ่งนัก…’ หวางซือมู่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก แล้วยิ้มหวานก่อนหันกายเดินจากห้องโถงด้านข้าง ทว่านางไม่ได้ออกจากหอสมุดหลวงจริงๆ แต่กวักมือเรียกสาวใช้ที่รออยู่ด้านนอก
สาวใช้รีบถือกล่องอาหารอีกกล่องวิ่งเข้ามาทันที จากนั้นสองนายบ่าวก็ตรงไปยังห้องทำงานของบัณฑิตอีกคน
…
ในห้องโถงด้านข้างอีกแห่งหนึ่ง หวางซือมู่วางกล่องอาหารไว้บนโต๊ะแล้วหยิบน้ำแกงปลาหอมกรุ่นออกมา ก่อนพูดด้วยรอยยิ้ม “ท่านอาเฉียน วันนี้ข้าไปล่องทะเลสาบและเห็นว่าปลาในทะเลสาบนั้นอวบอ้วนมาก จึงให้คนจับมาสองสามตัวและทำน้ำแกงปลาให้ท่านและท่านพ่อเจ้าค่ะ”
เฉียนชิงซูเป็นชายชราร่างสูงผอม เขาแตกต่างจากหวางเจินเหวินที่ดูมีสง่าราศีและเข้มงวด ตัวเขานั้นมีบุคลิกอ่อนโยนและเป็นกันเองยิ่งกว่า ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นผู้อาวุโสที่คุยด้วยง่าย
เฉียนชิงซูและหวางเจินเหวินเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนกัน อีกทั้งยังเป็นบัณฑิตขั้นสูงขั้นเดียวกันด้วย เมื่อพูดถึงเรื่องคะแนน เฉียนชิงซูในปีนั้นสอบได้ทั่นฮวาอันดับสาม ส่วนหวางเจินเหวินอยู่ขั้นที่สอง และต่อมาได้รับเลือกให้เข้ามาในสำนักบัณฑิตฮั่นหลิน และรับตำแหน่งเป็นบัณฑิตทดลอง
“เบื้องบนต้องการของ ขุนนางร้องหาไม้ เบื้องบนต้องการปลา ขุนนางให้ธัญพืช…รสชาติยอดเยี่ยมที่มีมาแต่โบราณ” เฉียนชิงซูลองชิมไปหนึ่งคำก็พลันดวงตาสว่างวาบ “อืม อร่อย”
การได้ดื่มน้ำแกงปลาถ้วยหนึ่งตอนกำลังทำงานยุ่งๆ เช่นนี้ช่างยอดเยี่ยมเสียจริง!
“ช่วงนี้หลานได้ยินข่าวเรื่องหนึ่ง บอกว่าสวี่ฮุ่ยหยวนถูกจับขังคุกเพราะฉ้อโกงในการสอบคัดเลือกช่วงวสันต์หรือเจ้าคะ” หวางซือมู่แสร้งทำอยากรู้อยากเห็น
ท่าทีของเฉียนชิงซูชะงักไป จากนั้นก็พยักหน้าเล็กน้อย “ผู้ตรวจสอบฝ่ายซ้ายที่ได้รับตำแหน่งใหม่ฟ้องร้องว่าจ้าวถิงฟางจากราชวิทยาลัยตงเก๋อรับสินบน และมอบข้อสอบให้กับสวี่ซินเหนียน และ ‘ความลำเค็ญยามเดินถนน’ ของสวี่ซินเหนียนบทนั้น เขาก็ไม่ได้เขียนออกมาเอง แต่เป็นสวี่ชีอัน ลูกพี่ลูกน้องของเขาแต่งมาให้”
‘สวี่ชีอันเป็นคนแต่งกลอนของสวี่ฮุ่ยหยวน? เรื่องนี้ยังเกี่ยวข้องกับจ้าวถิงฟางแห่งราชวิทยาลัยตงเก๋อเสียด้วย…’ สีหน้าของหวางซือมู่เปลี่ยนไป ความคิดต่างๆ ฉายวาบในหัว นางเก็บสีหน้าได้ดีแล้วเอ่ยถาม
“ท่านอาเฉียนค่อยๆ ดื่มแล้วบอกหลานหน่อยเถิดว่าเรื่องเป็นอย่างไร”
เฉียนชิงซูขมวดคิ้วลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วถอนหายใจ “ช่างเป็นคนปากหวานจริงๆ…แต่เจ้าต้องรับประกันก่อนว่าหากฟังจากที่นี่ไปแล้ว ห้ามให้รั่วไหลออกไปข้างนอกแม้แต่คำเดียว”
หวางซือมู่ครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว “ย่อมเป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะ ข้าน่าเชื่อถือที่สุดแล้วนะเจ้าคะ”
…
จวนสกุลสวี่
ในห้องหนังสือ สวี่ชีอันนั่งอยู่หลังโต๊ะและครุ่นคิดถึงแผนการขั้นต่อไป
การจัดการเจ้ากรมอาญาผู้หนึ่งไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร และการทำให้เอ้อร์หลางได้รับการละเว้นโทษก็เป็นเพียงขั้นแรกของแผนการเท่านั้น และขั้นต่อไปคือ เขาต้องหาศัตรูที่แท้จริงออกมาจากในกลุ่มขุนนางบุ๋น
รู้เขารู้เขา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง
ฮว๋ายชิ่งเป็นองค์หญิง นางทำได้เพียงมองดูแผนการของขุนนางในท้องพระโรงเท่านั้น ไม่อาจยื่นมือเข้าแทรกได้ ถึงอย่างไรนางก็เป็นองค์หญิงที่ไม่มีอำนาจอย่างแท้จริง แต่น่าจะมีคนสนิทที่ซุกซ่อนไว้แน่…
ท่าทีของเว่ยกงที่มีต่อเรื่องนี้ไม่ค่อยดีนัก ส่วนใหญ่เป็นเพราะต้องการทดสอบความสามารถของข้า หากข้าจัดการไม่ได้แล้วไปขอให้เขาช่วย ถึงเว่ยกงจะยอมช่วยจริงๆ แต่คงจะผิดหวังอยู่ในใจอย่างเลี่ยงไม่ได้
ข้าจะหาข้อมูลวงในได้อย่างไรนะ ผู้ตรวจการจางเป็นตัวเลือกที่ดี แต่เขาเป็นคนของเว่ยเยวียน อาจเป็นการเพิ่มความระแวงให้กับขุนนางบุ๋นฝ่ายศัตรู และไม่น่าจะรู้อะไรมากนัก…
ขณะที่กำลังครุ่นคิด หูของเขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังเข้ามา
‘ตึก ตึก…’
เสียงฝีเท้าหยุดลงหน้าห้องแล้วเคาะประตู จากนั้นก็มีเสียงเอ่ยขึ้นว่า “ต้าหลาง มีแม่นางผู้หนึ่งมาหาท่านขอรับ”
แม่นาง? ใครกัน
เอ่อ แม่นางของข้ามีมากเหลือเกิน เดาไม่ออกเลยจริงๆ…สวี่ชีอันตอบกลับ “ไปเชิญนางมาที่โถงด้านใน ข้าจะรีบออกไป”
เขาครุ่นคิดต่อจากเมื่อครู่ พิจารณาต่ออีกพักหนึ่งก็ยกถ้วยชาขึ้นดื่มให้ชุ่มคอแล้วจึงลุกขึ้นเดินออกจากห้องไป
เมื่อมาถึงโถงด้านใน เขาก็เห็นสาวใช้หน้าตาหมดจดในชุดกระโปรงสีกลีบบัวยืนอยู่ในห้องโถง เสี่ยวโต้วติงเดินวนรอบตัวนางแล้วเอ่ยพูดอย่างคุ้นเคย
“พี่สาว พวกเรามาเล่นกันเถอะ มาเล่นกัน ข้าจะให้ท่านกินขนมแห้ว”
สาวใช้คนงามตอบด้วยรอยยิ้มฝืนๆ ราวกับไม่ค่อยคุ้นเคยกับเด็กนัก
“แม่นางหลานเอ๋อร์?”
สวี่ชีอันก้าวผ่านธรณีประตู สาวใช้คนนี้เพิ่งจะมาเยือนเมื่อหนึ่งชั่วยามก่อนนี่เอง
“ใต้เท้าสวี่” หลานเอ๋อร์ทำความเคารพ แล้วหยิบกระดาษที่พับไว้ออกมาจากในแขนเสื้อ ก่อนมอบให้กับสวี่ชีอันพร้อมเอ่ยเสียงเบา “คุณหนูของบ่าวให้นำมาให้เจ้าค่ะ บ่าวไม่รบกวนแล้ว ขอตัวลาก่อนเจ้าค่ะ”
นางรีบจากไปโดยไม่ให้โอกาสสวี่ชีอันได้รั้งไว้หรือรอให้เขาเปิดออกอ่านด้วยซ้ำ
สวี่ชีอันนั่งอยู่บนเก้าอี้แล้วเปิดกระดาษออก เขากวาดตามองเร็วๆ จากนั้นสีหน้าก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจ
นี่มัน…สีหน้าของเขาเริ่มเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด เพราะข้อมูลบนกระดาษนั้นหนักหนาอย่างยิ่ง แทบจะเขียนเรื่องราววงในของคดีฉ้อโกงในการสอบขุนนางเอาไว้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง
ในจดหมายบอกว่า ผู้ฟ้องร้องการ ‘ฉ้อโกงการสอบขุนนาง’ คือรองหัวหน้าสำนักตรวจสอบฝ่ายซ้ายที่เพิ่งรับตำแหน่งมาใหม่ นามว่าหยวนสยง คนผู้นี้สืบทอดตำแหน่งต่อจากเว่ยเยวียน หลังจากรับตำแหน่งในฝ่ายตรวจการแล้ว เขาก็เริ่มเปิดฉากความขัดแย้งอันดุเดือดกับ ‘พรรคเยียนที่เหลือ’ ซึ่งมีรองหัวหน้าสำนักตรวจสอบฝ่ายขวาอยู่ในนั้นทันที
ตามหลักแล้ว รองหัวหน้าสำนักตรวจสอบฝ่ายขวาหลิวหงก็คือหนึ่งในหัวหน้าผู้คุมสอบ และเป็นเป้าหมายของหยวนสยงเช่นกัน แต่ในคดีฉ้อโกงการสอบขุนนางครั้งนี้ ผู้ทำให้รั่วไหลกลับเป็นจ้าวถิงฟางแห่งราชวิทยาลัยตงเก๋อ
สาเหตุอยู่ตรงนี้ หากหยวนสยงกล่าวหารองหัวหน้าสำนักตรวจสอบฝ่ายขวาหลิวหงโดยตรง เช่นนั้นผู้ที่เขาต้องเผชิญหน้าโดยตรงต่อไปก็คือเว่ยเยวียน และแม้จะอยู่ภายใต้ปณิธานที่ต้องการสยบสำนักอวิ๋นลู่เหมือนกัน ทว่าพรรคอื่นๆ กลับทำเพียงมองดูอยู่นิ่งๆ เท่านั้น ความช่วยเหลือที่จะให้ได้มีอยู่จำกัด
อย่างไรเสีย ต่อให้สวี่ซินเหนียนได้เข้าร่วมการสอบหน้าพระพักตร์แล้วเข้าเป็นขุนนางสำเร็จ ขุนนางทุกคนในท้องพระโรงก็มีวิธีกดเขาและฝังกลบไว้ใต้หิมะไว้อยู่แล้ว
ดังนั้น ผู้บงการคนที่สองที่อยู่เบื้องหลังของคดีนี้จึงปรากฏขึ้นมา นั่นก็คือรองเจ้ากรมทหาร ฉินหยวนเต้า
เจ้ากรมทหารคนก่อนถูกตัดศีรษะด้วยคดีท่านหญิงผิงหยางไปแล้ว อดีตรองเจ้ากรมทหารฉินหยวนเต้าจึงเป็นตัวเต็งผู้สืบทอดตำแหน่งเจ้ากรมทหารอันดับหนึ่ง
แต่จักรพรรดิหยวนจิ่งกลับจัดให้ผู้นำของพรรคเล็กๆ คนหนึ่งมารับตำแหน่งเจ้ากรมทหารแทน
เมื่อฉินหยวนเต้าไร้ความหวังในการเลื่อนตำแหน่ง เขาจึงเปลี่ยนความคิด เขาตั้งใจจะเข้าร่วมสำนักราชเลขาธิการ จึงหันไปบีบคั้นจ้าวถิงฟางแห่งราชวิทยาลัยตงเก๋อผู้ไม่มีภูเขาใหญ่ให้พึ่งพา อีกทั้งตัวเขาก็ยังอ่อนแอไร้อำนาจ
สำหรับรองผู้ตรวจการฝ่ายซ้ายอย่างหยวนสยงแล้ว สวี่ซินเหนียนที่เขาสยบได้นั้น ไม่ใช่แค่เป็นบัณฑิตสำนักอวิ๋นลู่เพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นญาติผู้น้องของฆ้องเงินสวี่ชีอันอีกด้วย
หากสวี่ชีอันไม่ต้องการให้ญาติผู้น้องของตนเสื่อมเสียชื่อเสียง เขาจะต้องขอให้เว่ยเยวียนออกหน้าช่วยอย่างแน่นอน ตราบใดที่ลากเว่ยเยวียนลงน้ำมาได้ ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องการกำจัดรองหัวหน้าสำนักตรวจสอบฝ่ายขวาหลิวหงแล้ว
นอกจากนี้ บนกระดาษที่หวางซือมู่ส่งมาให้ยังบอกด้วยว่า เฉากั๋วกง นามซ่งซ่านจ่าง ก็มีส่วนสนับสนุนเรื่องนี้เช่นกัน
หากมองจากเบื้องหน้า เหมือนว่ารองผู้ตรวจการฝ่ายซ้าย หยวนสยง และรองเจ้ากรมทหาร ฉินหยวนเต้าร่วมมือกัน และอย่างมากก็มีพรรคพวกของเขาร่วมด้วย แต่ความจริงแล้ว หากฉีกฐานะบัณฑิตสำนักอวิ๋นลู่ของเอ้อร์หลางออกไป อาศัยแค่เขาเป็นญาติผู้น้องของข้า คนที่มีความผิดในคดีซังผอ คดีท่านหญิงผิงหยาง และคดีอวิ๋นโจว ล้วนต้องคว้าโอกาสนี้ไว้เพื่อแก้แค้นข้าแน่ และเจ้ากรมซุนคือตัวอย่าง
บวกกับฐานะของบัณฑิตสำนักอวิ๋นลู่…สถานการณ์ตอนนี้ไม่ค่อยดีนัก อีกอย่าง เฉากั๋วกงนี่หมายความว่าอย่างไร? ขุนนางบุ๋นต้องการจับผิด เรื่องนี้เข้าใจได้ แต่เจ้าเป็นทหารชั้นสูงหยาบกระด้างผู้หนึ่ง จำเป็นต้องมาร่วมวงด้วยหรือ แรงจูงใจคืออะไรกัน…
แล้วทำไมข้าต้องเชื่อบุตรสาวของหวางเจินเหวินด้วย ข้าสามารถเชื่อถือข้อมูลที่นางให้มาได้หรือไม่?
แต่นางจะโกหกข้าทำไมกัน หากมองจากมุมมองคนนอก เอ้อร์หลางนั้นจบสิ้นแล้ว ตามหลักนางก็น่าจะดูอย่างสนุกสนานอยู่ข้างๆ สิ ไม่เห็นจำเป็นต้องทำอะไรเกินจำเป็นเลย สาวใช้คนนั้นก็มีท่าทีลับๆ ล่อๆ พอให้จดหมายแล้วก็รีบหนีไป นี่มันท่าทีของคนมีชนักมิใช่หรือ
หรือว่าคุณหนูสกุลหวางผู้นี้เป็นคนโง่เง่า หรือว่านางคิดว่าข้าเป็นคนโง่เง่า…แต่ฟังจากการวิเคราะห์ของเอ้อร์หลางและหลิงเยวี่ย คุณหนูท่านนี้ก็ไม่ได้โง่เขลานี่นา บ้าเอ๊ย เช่นนั้นนางเห็นว่าข้าโง่อย่างนั้นหรือ?
หากไม่แน่ใจก็ไปหาเว่ยเยวียน อืม ข้าจะบอกว่าเรื่องพวกนี้ข้าเป็นคนสืบได้เอง จากนั้นให้เขาหาหลักฐานให้ ทั้งยังทำให้เว่ยเยวียนมองข้าอย่างชื่นชมได้ด้วย แต่ถ้าเป็นเรื่องโกหกก็ไม่ได้ร้ายแรงนัก เป็นการพิสูจน์ว่าข้ารู้จักระมัดระวัง ไม่ได้เชื่อใครง่ายๆ เช่นกัน
………………………………………………………………