ตอนที่ 642-1 ออกจากกำแพงถ่ายทอด

พันธกานต์ปราณอัคคี

“มรรคาของอนุชน ก็คือรักแท้” เยี่ยเทียนยหวนก้มหน้าลงน้อยๆ ท่าทางเคารพนบนอบ

ไม่รู้เพราะเหตุใด เขาถึงรู้ว่ามรรคาที่ตนเองได้รับถ่ายทอดมานั้นมาจากบุรุษที่อยู่ตรงหน้า

“มิน่าเล่า มิน่าเล่า…” บุรุษสวมชุดสีขาวเอ่ยวาจาแปลกประหลาดออกมาสองครั้ง แต่กลับไม่ได้เอ่ยอะไรต่อ มองเยี่ยเทียนหยวนแล้วเอ่ยว่า “เจ้าเข้ามานี่เถิด”

เยี่ยเทียนหยวนเดินเข้าไปใกล้บุรุษชุดสีขาว

บุรุษชุดสีขาวยกมือขึ้น กดไปที่หน้าผากของเยี่ยเทียนหยวน

ลำแสงวิญญาณไหลเวียนอยู่ตรงหน้าผากผ่านฝ่ามือที่แนบอยู่ หลังจากผ่านไปชั่วครู่ก็จมหายเข้าไปในหว่างคิ้ว

เยี่ยเทียนหยวนหลับตา นั่งสมาธิลงไปอย่างไม่รู้ตัว จากนั้นร่างทั้งร่างก็ค่อยๆ ลอยขึ้น

“ศิษย์พี่?” เห็นเยี่ยเทียนหยวนบินอยู่บนผิวน้ำ แถมยังสูงขึ้นเรื่อยๆ มั่วชิงเฉินก็ทนไม่ไหวร้องเรียกออกมาเสียงหนึ่ง

“วางใจ เขาไม่เป็นไร แค่รับเคล็ดวิชาของข้าไปก็เท่านั้น ต้องทำความเข้าใจสักรอบหนึ่งถึงจะตื่นขึ้นมา ไม่เช่นนั้นทะเลแห่งความตระหนักจะไม่อาจรับข้อมูลที่มากมายเช่นนั้นได้” บุรุษสวมชุดสีขาวเอ่ยอธิบาย

“ขอบพระคุณท่านเซียนจวิน” มั่วชิงเฉินขอบคุณแทนเยี่ยเทียนหยวน เป็นเพราะต้องรอ จึงมองไปที่ภาพวาดอีกสองใบ

เมื่อช้อนสายตาขึ้นไปก็อดที่จะตกตะลึงไม่ได้

เพียงชั่วเวลาสั้นๆ แค่นี้ ภาพวาดของช่านหรานเจินจุนก็หม่นหมองลงแล้ว เพราะตกใจกับการออกมาของเยี่ยเทียนหยวนนางจึงไม่รู้สึก

มองภาพวาดห้าภาพที่กำลังหม่นแสงลงแวบหนึ่ง มั่วชิงเฉินรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “ท่านเซียนจวินทั้งสาม ไม่ว่าทราบว่าคนอื่นๆ ไปที่ใดหรือเจ้าคะ หากพวกเขาทะลวงออกมา เหตุใดถึงไม่อยู่ที่นี่”

บุรุษชุดสีม่วงหัวเราะอย่างเย็นชา “พวกเขาเหมาะสมกับที่นี่หรือ”

ท่าทางดูถูก มองผู้คนจากเบื้องบนแผ่ออกมา

หญิงสาวมองบุรุษชุดสีม่วงอย่างตำหนิแวบหนึ่ง แล้วมองมั่วชิงเฉิน “ผู้บำเพ็ญเพียรสามคนนั้นออกไปแล้ว พวกเขามาไม่ถึงที่นี่”

มั่วชิงเฉินเม้มปาก ลำแสงวิญญาณเปล่งแสงสว่างวาบ “หรือว่า เป็นเพราะมรรคาที่ข้าและสามีตระหนักรู้คือมรรคาของเซียนจวินสามท่าน ดังนั้นถึงได้มาที่นี่”

หญิงสาวยื่นนิ้วขาวเนียนออกมา แตะคางของมั่วชิงเฉิน แล้วอมยิ้ม “เป็นแม่นางน้อยที่ชาญฉลาดจริงๆ ข้าผู้เป็นเซียนเห็นแล้วชอบจริงๆ”

บุรุษทั้งสองมีสีหน้าดำคล้ำ “หนิงหรุ่ย!”

“ตะโกนอะไร ข้าแค่พูดหยอกเล่นนิดหน่อยเท่านั้น ไม่ใช่ความคิดดั้งเดิมของร่างจริงแล้วอย่างไร!” หญิงสาวเอ่ยอย่างยิ้มๆ

แม้ว่าเจ้าจะไม่ใช่ร่างจริง แต่นิสัยชอบหยอกเย้าแม่นางน้อยมันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน หรือว่า…เป็นเพราะพวกเราสองคนเป็นบุรุษ ถึงได้รู้สึกว่าน่าเบื่อเกินไป

บุรุษสวมชุดสีขาวและบุรุษสวมชุดสีม่วงมองสบตากัน เผยแววตาเห็นใจกันและกันออกมา

มั่วชิงเฉินกลับฉีกยิ้มให้หญิงสาวด้วยสีหน้าราบเรียบ “อนุชนเห็นท่านเซียนจวินแล้ว ก็ชอบมากเจ้าค่ะ”

หญิงสาวเหลือบมองมั่วชิงเฉิน ฉับพลันนั้นก็หัวเราะร่าออกมา ก้าวเข้ามากระซิบที่ข้างหูของนาง “แม่นางน้อย ข้าผู้เป็นเซียนถ่ายทอดเคล็ดวิชาหนึ่งให้เป็นอย่างไร”

เห็นสีหน้าหยอกเย้าของนาง มั่วชิงเฉินก็มุมปากกระตุก อยากจะเอ่ยถามว่าวิชาอะไร เคล็ดเล้าโลมสิบแปดกระบวนท่าหรือ

จากนั้น ก็ได้ยินหญิงสาวเอ่ยอย่างไม่คาดหวังว่า “เป็นเคล็ดวิชาที่ทำให้เจ้าอยู่กับบุรุษแล้วมีความสุขมากที่สุด เป็นอย่างไร สนใจหรือไม่”

พูดไปพลาง ก็เป่าลมที่ข้างหูของมั่วชิงเฉินเบาๆ

ที่ผ่านมามั่วชิงเฉินได้พบกับสตรีที่งดงามมาไม่น้อย มั่วถงผู้เด็ดเดี่ยวและชาญฉลาด เวินหนิงผู้งดงามและแข็งแกร่ง แต่กลับไม่เคยพบกับหญิงสาวที่เหมือนกับผู้ที่อยู่ตรงหน้า รอยยิ้มพิมพ์ใจ นิสัยและท่าทางสอดประสานกันอย่างลงตัว นี่ไม่เหมือนกับสตรีผู้บำเพ็ญเพียรที่ฝึกฝนเคล็ดวิชาเกี่ยวกับการยั่วยวน

“ไม่ต้องหรอกเจ้าค่ะ” มั่วชิงเฉินปฏิเสธ

หญิงสาวฉีกยิ้มอย่างไม่คิดเช่นนั้น “แตงที่ฝืนเด็ดนั้นไม่หวาน[1] เช่นนั้นก็ช่างเถิด”

ยามนี้ กำแพงแสงสุดท้ายพลันมีระลอกคลื่นปรากฏขึ้น เงาร่างของหลิงเฮ่อเจินจุนแห่งพรรคหลิงเซียวค่อยๆ สลายหายไป

หญิงสาวร้องอุทานออกมา “หนิงเหอ เซียวหย่วน อนุชนผู้นี้ก็น่าสนใจ”

บุรุษชุดสีม่วงเลิกคิ้วอย่างดูถูก “มรรคาลวงตา เป็นแค่มรรคาเล็กๆ เท่านั้น”

มั่วชิงเฉินได้ยินแล้วกลับใจเต้น สำหรับเซียนสันโดษเหล่านี้แม้ว่ามรรคาลวงตาจะเป็นแค่มรรคาเล็กๆ แต่ในโลกผู้บำเพ็ญเพียรในปัจจุบัน จากพละกำลังของหลิงเฮ่อเจินจุน หากสำแดงมรรคาลวงตาออกมา ผู้ที่ไม่หลงกล เกรงว่าคงจะไม่มี

ทั้งหกคนเข้ามาในอาณาเขตเซียน แค่ร่วมมือกันชั่วคราวเท่านั้น ในอีกมุมหนึ่ง แม้กระทั่งนางและศิษย์พี่ ก็แค่อาศัยการคุ้มครองจากซีอวิ๋นเจินจุนเท่านั้น หากออกไปเกรงว่าคงกลายเป็นศัตรูกันมากกว่าสหาย

ไม่อาจไม่ระวังหลิงเฮ่อเจินจุนได้

มองบุรุษชุดสีม่วงมีสีหน้าหยิ่งทระนง มั่วชิงเฉินก็รู้สึกได้รับพร ขอคำแนะนำอย่างจริงใจ “ท่านเซียนจวิน เหตุใดมรรคาแห่งภาพลวงตาถึงเป็นแค่มรรคาเล็กๆ เจ้าคะ”

บางทีอาจเป็นเพราะมั่วชิงเฉินทะลวงมรรคาของตนเอง บุรุษชุดสีม่วงจึงรำคาญนางอยู่เล็กๆ จึงเอ่ยตอบอย่างลวกๆ ว่า “เมื่อจิตใจไม่เกิดคลื่น มรรคาแห่งภาพลวงตาก็จะไร้ร่องรอย การอาศัยการใช้เล่ห์เหลี่ยมย่อมเป็นมรรคาเล็กๆ”

“จิตใจไม่เกิดคลื่น?” มั่วชิงเฉินได้ยินแล้วพลันสะบัดศีรษะเล็กๆ หากอยากทำได้ถึงจุดนี้ย่อมยากลำบากมาก

“ทำไม เจ้าคิดว่าทำได้ยากหรือ” บุรุษชุดสีม่วงเอ่ยถาม

มั่วชิงเฉินพยักหน้าอย่างซื่อๆ

บุรุษชุดสีม่วงมองนางอย่างรังเกียจแวบหนึ่ง “ผู้บำเพ็ญเพียรในยามนี้ โง่เขลาเรื่องการบำเพ็ญเพียรไปหมดแล้วหรือ ก่อนหน้านี้ที่เจ้าเข้าไปในมรรคาสังหาร แม้ว่าจะรู้ว่าเป็นภาพลวงตา แต่เป็นเพราะต้องทะลวงมรรคา จึงต้องเข้าไปก่อน เรียนรู้แล้วเข้าใจ หารอยแยกแล้วทะลายภาพลวงตาออกมา ขั้นตอนเหล่านี้แน่นอนว่าย่อมไม่อาจทำให้จิตใจไร้คลื่นได้ แต่หากเป็นการโจมตีด้วยเคล็ดวิชาลวงตาของผู้อื่น ขอแค่เจ้าคิด ก็ทำได้แล้ว”

ขอแค่ข้าคิด ก็ทำได้แล้วอย่างนั้นหรือ

มั่วชิงเฉินมุ่นคิ้วขบคิด ในใจกลับขบคิดประโยคนี้ซ้ำๆ

เนิ่นนาน ในหัวก็มีลำแสงวิญญาณสายหนึ่งตวัดผ่าน ราวกับถูกสาดน้ำใส่ศีรษะ พลันเข้าใจความหมายของบุรุษชุดสีม่วง

เมื่อเผชิญหน้ากับผู้บำเพ็ญเพียรที่เชี่ยวชาญเคล็ดวิชาลวงตา หากกักจิตของตนเองตั้งแต่แรก ไม่ฟัง ไม่มอง ก็ไม่ถูกคำพูดของเขาหลอกลวง เช่นนั้นต่อให้เขามีความอดทนมากเพียงไหน ก็ไม่อาจดึงตนเองเข้าไปในภาพลวงตาได้

จะว่าไปแล้ว ภาพลวงตาก็เกิดขึ้นจากจิตใจ

เมื่อเห็นมั่วชิงเฉินเผยสีหน้าถึงบางอ้อออกมา สีหน้ารังเกียจของบุรุษสวมชุดสีม่วงก็ลดลง

ครึ่งเดือนผ่านไป เยี่ยเทียนหยวนถึงได้ได้สติขึ้นมา ทั้งสองบอกลาเซียนสันโดษทั้งสาม แล้วเดินจูงมือออกไปจากกำแพงถ่ายทอด

มองเงาร่างของทั้งสองค่อยๆ หายวับไป เซียนสันโดษทั้งสามก็เงียบขรึมไปชั่วครู่

หญิงสาวลูบไล้แก้มแล้วเอ่ยว่า “ไม่รู้ว่าโลกผู้บำเพ็ญเพียรในยามนี้ เป็นอย่างไรบ้าง”

“ก็คงเป็นเช่นนั้น” บุรุษสวมชุดสีม่วงเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ

หญิงสาวค้อนควัก มองบุรุษชุดสีม่วง “ใช่แล้ว หนิงเหอ ข้าอยากถามเจ้ามาตลอด ยามนั้นเจ้ามองพวกเขาสองคน เหตุใดถึงพูดออกมาแค่ครึ่งเดียว มิน่าเล่าแล้วอะไรต่อหรือ เจ้ามองอะไรออก”

ความจริงแล้วบุรุษชุดขาว เชี่ยวชาญศาสตร์การดูลักษณะบนใบหน้า

บุรุษสวมชุดสีขาวฉีกยิ้มไม่ปริปาก

หญิงสาวก็ไม่ซักไซ้

เนิ่นนาน บุรุษชุดขาวถึงได้เอ่ยอย่างแช่มช้าว่า “พวกเขาสองคน มิใช่บุพเพสันนิวาสที่ถูกลิขิตไว้”

“เหตุใดถึงกล่าวเช่นนั้น” บุรุษสวมชุดสีม่วงเองก็รู้สึกสนใจขึ้นมา

ต้องเข้าใจว่าไม่ว่าผู้ใดเห็นผู้บำเพ็ญเพียรสองคนนั้น ก็ล้วนรู้สึกว่าเป็นคู่เหมาะสมกัน

บุรุษชุดสีขาวอธิบายว่า “ดาวหงหลวนและดาวเทียนสี่เป็นผู้ลิขิตบุพเพสันนิวาสของหญิงชาย ดาวเทียนสี่ที่ดึงดูดดาวหงหลวนของหญิงสาวผู้นั้น ไม่ใช่บุรุษผู้นี้ แต่เป็นอีกคน”

หญิงสาวเบิกตาโต “คาดไม่ถึงว่าจะมีเรื่องเช่นนี้ จะเป็นไปได้ได้อย่างไร!”

[1] หมายถึง การไปฝืนบังคับใจผู้ใดให้กระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ผลที่ได้รับกลับมาจะไม่เป็นที่น่าพึงพอใจ