ตอนที่ 185 ความลับ โดย Ink Stone_Fantasy

“ในเมื่อคุณชายเฉียนช่วยข้าออกมาจากเรือนจำ ความลับที่เก็บซ่อนอยู่ในใจข้ามานานนี้ ย่อมต้องยกออกมาให้หมด แต่หลังจากที่ข้าเปิดเผยความลับนี้ออกไปแล้ว ก็ไม่กล้าอยู่เสวียนจิงได้อีกต่อไป ดังนั้นจึงหวังว่าท่านเซียนจะช่วยพาครอบครัวของข้าออกจากเสวียนจิงเหมือนกับครอบครัวของใต้เท้าเฉิน หลังจากนั้นครอบครัวของข้าก็จะไปจากแคว้นต้าเสวียน และไม่เข้ามาเหยียบเสวียนจิง” ใต้เท้าซุนกล่าวอย่างนอบน้อม

“อืม! ขอเพียงความลับที่ท่านพูดเป็นเรื่องใหญ่และสำคัญ เงื่อนไขข้อนี้ก็ไม่ถือว่าไม่มากเกินไปนัก ข้ารับปากเจ้า” หลิ่วหมิงได้ยินนี้ก็พยักหน้าด้วยท่าทีปกติ

“ดี! คุณชายเฉียนพูดเช่นนี้ ข้าก็ไม่มีอะไรต้องห่วงแล้ว ความลับที่ข้าพูดถึงก็คือจักรพรรดิองค์ปัจจุบันในขณะที่ยังไม่ขึ้นครองราชย์เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน เขาเป็นปีศาจที่แปลงร่างมา” หลังจากใต้เท้าซุนผ่อนคลายแล้ว ในที่สุดก็พูดความลับอันยิ่งใหญ่ที่ไม่รู้ว่าเก็บงำมานานแค่ไหนออกมา

“อะไรนะ! จักรพรรดิเป็นตัวปลอม เขาคือปีศาจที่แปลงร่างมา?” ถึงแม้หลิ่วหมิงจะเริ่มคาดเดาความลับที่อีกฝ่ายพูดออกมาตั้งแต่แรกแล้ว แต่พอได้ยินเช่นนี้เขารู้สึกอึ้งขึ้นมาจริงๆ

“ไม่ผิด! คุณชายเฉียนอย่าคิดว่าข้าพูดสุ่มสี่สุ่มห้า ความจริงข้ารู้ความลับนี้เมื่อเจ็ดปีก่อนแล้ว คุณชายก็รู้ว่าเดิมทีข้าเป็นขุนนางดูแลเรื่องทั่วไปของราชวงศ์ รับผิดชอบจัดระเบียบบันทึกการจัดพระกระยาหาร และสภาพพระวรกายในแต่ละวัน เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียชีวิตจากการเจ็บป่วยรุนแรง”

“บันทึกหลายปีก่อนยังปกติดี เพราะยังอยู่ในช่วงวัยฉกรรจ์ พระวรกายแข็งแรงไร้โรคเป็นปกติ แต่เมื่อเจ็ดปีก่อน อยู่ๆ ก็มีข่าวว่าพระองค์ท่านประชวร จนลุกไม่ได้ติดต่อกันเป็นเวลาสามวัน และหลังจากผ่านไปสิบกว่าวันแล้วข้าถึงได้รับบันทึกที่เกี่ยวข้อง ตอนนั้นข้าก็ไม่ได้สนใจ คิดเพียงว่าเป็นเพราะฮงเฮาประชวร บันทึกเลยถูกส่งมาช้า แต่ใครจะรู้ว่าในขณะที่ข้าเปิดบันทึกในคืนนั้น กลับพบจดหมายลับอยู่ในนั้นหนึ่งฉบับ และผู้ที่ลงนามในจดหมายฉบับนี้คือสนมเอกที่จักรพรรดิโปรดปราณอย่างหลี่กุ้ยเฟย หลี่กุ้ยเฟยบอกว่าก่อนจักรพรรดิประชวรได้ประทับอยู่กับพระองค์พอดี ผลลัพธ์คือพระองค์ทอดพระเนตรเห็นจักรพรรดิกลายร่างเป็นสัตว์ประหลาดครึ่งมนุษย์กับตา และพระองค์ก็สลบไปเลย พอพระองค์ฟื้นมากลับถูกทหารองค์รักษ์กลุ่มหนึ่งควบคุมไว้ ต่อมาจึงพยายามตีสนิททหารเฝ้ายามคนหนึ่ง ถึงได้ส่งจดหมายขอความช่วยเหลือฉบับนี้มาได้ เพราะว่าแผ่นกระดาษไม่ใหญ่มากนัก หลี่กุ้ยเฟยผู้นี้ก็เขียนด้วยความรีบร้อน ดังนั้นจึงมีเนื้อความเพียงคร่าวๆ แต่ในตอนท้ายกลับให้ข้าไปหาท่านเซียนอาวุโสสูงสุดในราชวงศ์เหล่านั้น เพื่อบอกเรื่องนี้ให้กับพวกเขา แต่พระองค์กลัวข้าไม่เชื่อจึงได้เขียนไว้ในจดหมายว่า เขาให้องค์รักษ์ที่ซื้อตัวไว้นำเกล็ดของปีศาจที่จักรพรรดิกลายร่างมา ไปซ่อนไว้ในสถานที่บางแห่งของพระราชวัง และให้ข้าเอาไปให้ท่านเซียนในราชวงศ์เหล่านั้นตรวจสอบดูว่าจริงเท็จประการใด” ใต้เท้าซุนเล่าทั้งหมดภายในอึดใจเดียว ดวงตาเขามีแววหวาดผวาอย่างเห็นได้ชัด

ถึงแม้สีหน้าหลิ่วหมิงจะดูปกติ แต่ก็แอบตกใจไม่น้อย

“หลังจากที่ข้าอ่านจดหมายลับแผ่นนั้นจบแล้ว แน่นอนว่ารู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก แต่เรื่องแบบนี้ไม่อาจเชื่อได้ทั้งหมด สุดท้ายในขณะที่ข้ายังไม่ได้คิดหาวิธีเข้าวังอีกครั้ง ในวังก็ปล่อยข่าวว่าหลี่กุ้ยเฟยเสียชีวิตจากการประชวรแล้ว ตอนนั้นข้ารู้แล้วว่าที่หลี่กุ้ยเฟยบอกมาทั้งหมดนั้นส่วนมากเป็นเรื่องจริง หลังจากที่อกสั่นขวัญแขวนไปหลายวัน ในที่สุดก็หาข้ออ้างเข้าวังได้ และไปขุดเจอเกล็ดปีศาจสีเขียวสองเกล็ดตามสถานที่ที่หลี่กุ้ยเฟยได้บอกไว้ หลังจากที่ข้าได้สิ่งของนี้มา คืนนั้นจึงได้ปลอมตัวไปจ้างขอทานน้อยที่ไม่รู้เรื่องนี้ ให้นำเกล็ดหนึ่งเกล็ดกับจดหมายลับที่เขียนด้วยมือข้างซ้ายโยนเข้าไปในตำหนักของท่านเซียนอาวุโสในราชวงศ์ แต่หลังจากนั้นหนึ่งวัน ข้าได้ยินว่าผู้คนในตำหนักของท่านเซียนอาวุโสผู้นี้ล้วนถูกสังหารจนหมดเกลี้ยงภายในคืนเดียว ด้วยเหตุนี้ตอนนั้นราชสำนักจึงรู้สึกโมโหเป็นอย่างมาก พวกเขากวาดล้างอิทธิพลใต้ดินตามที่ต่างๆ ยิ่งไปกว่านั้นขุนนางน้อยใหญ่ที่เกี่ยวข้องต่างก็ถูกตัดหัวไปจนหมดสิ้น ต่อมาราชสำนักก็ปล่อยข่าวออกมาว่า กลุ่มผู้ฝึกฝนนอกรีตที่มาเป็นแขกของราชสำนักยอมรับแล้วว่าเป็นคนสังหารผู้คนทั้งตำหนักของท่านเซียนอาวุโสเอง หลังจากนั้นเรื่องวุ่นวายเหล่านี้ถึงได้ค่อยๆ สงบลง ตั้งแต่นั้นมาข้าจึงไม่กล้าบอกเรื่องนี้กับใครอีกเลย เกล็ดปีศาจที่เหลือข้าได้ซ่อนไว้ในสถานที่เร้นลับบางแห่งของจวน และไม่เคยให้ผู้อื่นดูเช่นกัน ถ้าไม่ใช่เพราะว่าครั้งนี้ข้าถูกเรื่องอื่นพัวพันจนต้องเขามาอยู่ในเรือนจำ และกลัวว่าการตัดสินคดีในอีกไม่นานนี้ จะถูกแขกของราชสำนักใช้วิชาสะกดจิตจนต้องพูดความลับนี้ออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจล่ะก็ ข้าคงจะเก็บมันไว้ตลอดไป” ในที่สุดใต้เท้าซุนก็เล่าเรื่องที่เขารู้ทั้งหมดออกมา

“พูดอย่างนี้ก็แสดงว่า เกล็ดปีศาจยังซ่อนอยู่ในจวนของท่าน” หลิ่วหมิงฟังถึงจุดนี้ก็แสดงสีหน้าครุ่นคิดออกมา

“มันเป็นเช่นนั้น ถ้าไม่มีหลักฐาน ข้าก็ไม่กล้ายืนยันกับท่านในตอนที่อยู่ในเรือนจำหรอก เอาอย่างนี้เถอะ! อีกเดี๋ยวข้าจะกลับไปพร้อมท่านเซียน จะได้ไปรับครอบครัวข้าออกมา และถือโอกาสนำเกล็ดปีศาจนี้ออกมาให้ท่านด้วย” ใต้เท้าซุนลังเลเล็กน้อยก่อนกล่าวออกมา

“ได้! งั้นเอาตามนี้ ใช่สิ! ท่านบอกว่าจักรพรรดิองค์ปัจจุบันคือปีศาจที่แปลงกายมา ถ้าอย่างนั้นเมื่อเทียบกันกับก่อนและหลังจากที่ท่านได้รับจดหมาย ตอนนี้องค์จักรพรรดิมีอะไรแตกต่างจากแต่ก่อนหรือไม่?” หลิ่วหมิงนึกเรื่องอื่นขึ้นมาได้จึงถามออกไป

“เรื่องนี้……ข้ายังไม่เคยค้นพบความผิดปกติใดๆ ถ้าจะมีอะไรที่แตกต่างไป ก็คงเป็นที่หลายปีมานี้ดูเหมือนว่าจักรพรรดิจะเสด็จออกมาว่าราชการน้อยกว่าแต่ก่อน และนับวันยิ่งไม่สามารถควบคุมอ๋อง และองค์หญิงองค์ชายให้อยู่ในกรอบได้ แต่สิ่งเหล่านี้มันค่อยๆ เปลี่ยนแปลง ถ้าข้าไม่ซ่อนความลับนี้ไว้ เกรงว่าคงไม่ค้นพบการเปลี่ยนแปลงนี้” ใต้เท้าซุนลังเลเล็กน้อยก่อนกล่าวออกมา

“เอาล่ะ! ข้าเข้าใจแล้ว ตอนนี้พวกเรากลับเสวียนจิงกันเถอะ! แต่เพื่อไม่ให้เป็นจุดสนใจ ข้ากับเจ้าจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงรูปร่างหน้าตาเล็กน้อย” หลิ่วหมิงไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้ากล่าวออกมา

จากนั้นเขาก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาลูบหน้าก่อนที่จะมีแสงสีขาวจางๆ เปล่งประกายออกมา ตอนนี้รูปร่างของบัณฑิตหนุ่มอายุสิบเจ็ดสิบแปดปีก็เปลี่ยนเป็นชายวัยกลางคนที่มีรูปร่างสะโอดสะอง

จากนั้นหลิ่วหมิงก็หยิบชุดสีดำ และสีเหลืองออกมาจากแขนเสื้ออย่างละหนึ่งชุด หลังจากสวมชุดสีดำให้กับตนเองแล้ว ก็โยนอีกตัวให้กับใต้เท้าซุน

ใต้เท้าซุนเรียกสติจากอาการตกตะลึงจนตาค้างมาได้ และรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยความรวดเร็ว

ขณะนี้หลิ่วหมิงหยิบเม็ดสีขาวออกมาจากอก และลูบไปมาระหว่างมือทั้งสอง หลังจากเคลื่อนไหวทีเดียว แป้งบนมือก็ไปปรากฏอยู่บนหน้าของใต้เท้าซุนแล้ว

ทันใดนั้นสีผิวอันขาวซีดของใต้เท้าซุน ก็เปลี่ยนเป็นสีดำคล้ำแลดูหยาบกร้าน

หลิ่วหมิงพยักหน้า ทันใดนั้นแสงสีเขียวก็เปล่งประกายขึ้นบนมือของเขา

ใต้เท้าซุนเพียงแค่รู้สึกถึงความเย็นที่พุ่งผ่านใต้คาง หนวดยาวๆ ถูกตัดออกไปโดยไร้สุ้มเสียง ทำให้เขาดูอ่อนเยาว์ขึ้นมาสิบกว่าปี

“เอาล่ะ! ประมาณนี้แหละ” หลิ่วหมิงพยักหน้าอย่างพอใจ จากนั้นก็หมุนตัวเดินไปยังรถม้าที่อยู่ข้างล่างเนินเขา

ใต้เท้าซุนลูบดูคางโล้นๆ ของตนเองแล้วก็แสยะปากออกมา จากนั้นก็รีบเดินตามหลิ่วหมิงไป

……

ช่วงบ่าย ที่พักที่ดูธรรมดาๆ แห่งหนึ่งในเสวียนจิง หลิ่วหมิงที่กลายร่างเป็นชายวัยกลางคนกับใต้เท้าซุนได้มาปรากฏตัวอยู่ที่นั่น

พวกเขามาถึงได้หนึ่งชั่วยามกว่าๆ แล้ว แต่ใต้เท้าซุนผู้นี้เป็นคนละเอียดรอบคอบ เห็นอยู่ชัดๆ ว่าผู้คนในบ้านอยู่ไม่ไกล แต่ก็ยังอดทนนั่งอยู่ในโรงน้ำชาบริเวณนั้นตั้งนาน หลังจากที่ไม่เห็นความผิดปกติใดๆ แล้ว เขาถึงพาหลิ่วหมิงออกไป

หลังจากมีเสียงดัง “ปัง!” “ปัง!” ประตูที่ปิดแน่นก็ถูกเปิดออกมา คนรับใช้ชายโผล่หน้าออกมาดู

“เจ้ามาหาใคร…….หืม! นายท่าน!” เดิมทีคนรับใช้ชายกะจะถามอะไรออกมา แต่หลังจากสังเกตดูหน้าของใต้เท้าซุนอย่างละเอียดแล้ว ก็เผลอหลุดปากพูดออกมา

“เบาๆ หน่อย ฮูหยินทั้งสองอยู่ในจวนไหม?” ใต้เท้าซุนถมึงตากล่าว

“เรียนนายท่าน ฮูหยินใหญ่ ฮูหยินรองต่างก็อยู่ในจวน เมื่อครู่ยังพูดถึงนายท่านอยู่เลย” คนรับใช้ชายรีบหลบทางให้ และกล่าวอย่างนอบน้อม

“ดี คนอยู่ครบก็ดีแล้ว รีบออกไปว่าจ้างรถม้ามาสองคัน อีกประเดี๋ยวข้าจะใช้” ใต้เท้าซุนกล่าวโดยไม่ต้องคิด

“ทราบ! ข้าจะไปจัดการนี้” ข้ารับใช้ชายได้ยินก็ตอบรับแล้วรีบออกไปอย่างรวดเร็ว

ใต้เท้าซุนพาหลิ่วหมิงเดินเข้าไปในจวน

ไม่นานผู้คนในจวนก็ดูวุ่นวายขึ้นมา

……

สองชั่วยามต่อมา รถม้าสามคันก็ห้อเหยียดออกไปจากประตูทางด้านตะวันออกของเสวียนจิง และพุ่งไปตามถนนสายหลัก

หลิ่วหมิงที่คืนร่างมาเป็นบัณฑิตหนุ่มเหมือนเดิม นั่งอยู่ในรถม้าคันหน้าสุด เขากำลังมองดูเกล็ดสีเขียวที่มีขนาดเท่านิ้วโป้งด้วยสีหน้าครุ่นคิด

ใต้เท้าซุนที่นั่งอยู่ตรงข้ามก็มีสีหน้านอบน้อมเป็นอย่างยิ่ง

“ส่งพวกเจ้าออกไปจากเสวียนจิงสิบลี้แล้ว พวกเจ้าคงจะปลอดภัย และข้าเองก็ต้องกลับไป เพราะแขกจิตวิญญาณระดับทองคำจะมีกฎที่ไม่ถูกเขียนไว้ข้อหนึ่ง ถ้าไม่มีคำสั่งพิเศษจากราชสำนัก พวกเขาไม่สามารถออกไปจากเสวียนจิงได้เกินสิบลี้” หลิ่วหมิงขยับนิ้วทีเดียว เกล็ดสีเขียวก็ลางเลือนหายไป ขณะเดียวกันก็เอ่ยปากพูดกับใต้เท้าซุน

“ข้าเองก็เคยได้ยินคำร่ำลือนี้ ครั้งนี้ต้องขอบคุณที่คุณชายช่วยชีวิตไว้ มิเช่นนั้นข้าไม่รู้ว่าครอบครัวของข้าจะตกอยู่ในสภาพเช่นไร” ใต้เท้าซุนกล่าวด้วยความซาบซึ้งใจ

“ไม่เป็นไร! ข้าแค่ทำการแลกเปลี่ยนกับเจ้าเท่านั้น แต่ถ้าเจ้าอยากไปให้ไกลๆ จากที่นี่ ยังคงมีอีกด่านที่ต้องฝ่าไปให้ได้” หลิ่วหมิงถอนหายใจกล่าวออกมา

“คุณชายหมายความว่าอย่างไร?” ใต้เท้าซุนได้ยินเช่นนี้ ย่อมรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก

“ตั้งแต่รถม้าของพวกเราออกมาจากเสวียนจิง ก็มีคนตามพวกเรามาทางอากาศ ถ้าข้าเดาไม่ผิดล่ะก็ คงเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาแขกระดับจิตวิญญาณทองคำ” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยสีหน้าปกติ

“ถ้าอย่างนั้นควรจะทำเช่นไร?” ใต้เท้าซุนได้ยินก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก

“วางใจเถอะ! ในเมื่อข้าบอกว่าจะคุ้มกันพวกเจ้าออกไปจากเสวียนจิง ข้าย่อมไม่กลับคำพูด เพียงแค่ทำให้คนที่มาจากไป มันก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว” หลิ่วหมิงกล่าว จากนั้นก็ขยับตัวพุ่งออกไปทางหน้าต่าง และไอสีดำใต้เท้าก็โผล่ออกมาค้ำยันร่างเขาให้ทะยานขึ้นไป

ไม่นาน หลิ่วหมิงก็ลอยอยู่บนอากาศที่สูงร้อยกว่าจั้ง เขากำลังเผชิญหน้ากับชายฉกรรจ์ผมสีฟ้าหนวดสีม่วงที่กำลังจ้องมองเขาอย่างเยือกเย็น