เอี๊ยด รถม้าค่อยๆ เคลื่อนตัวออกจากสายตาของซูหลี สีหน้าของนางแข็งค้างไปเล็กน้อย แม้ว่าจะอยู่ห่างค่อนข้างไกล อีกทั้งไม่ได้ยินพวกเขาทั้งสองคนคุยอะไรกัน ทว่ารูปลักษณ์ของสตรีผู้นั้น ซูหลีนั้นมองเห็นอย่างชัดเจน
ท่าทีที่สง่างาม อีกทั้งยังมีใบหน้าด้านข้างที่สวยเพริศพริ้ง ยังมีท่วงท่าดูมีมารยาทขณะที่เดินอีกด้วย
นั่นไม่ใช่โฉมสะคราญผู้มีความสามารถอันดับหนึ่งของเมืองหลวงอย่าง…ป๋ายถานหรอกหรือ
ในเวลาเช่นนี้ไยฉินเย่หานกับป๋ายถานถึงปรากฏตัวพร้อมกันที่นี่ได้? ซูหลีฉุกคิดถึงบทสนทนาที่ได้ยินตนที่ล้มลงบนในหิมะ ในดวงตาของนางมีประกายความคลุมเครือพาดผ่าน
“คุณชาย!?” ไป๋ฉินกับเย่ว์ลั่วเมื่อเห็นซูหลียืนอยู่กับที่ไม่ขยับไปไหน จึงอดไม่ได้ที่จะส่งเสียงเตือนสตินาง
“ไปกันเถอะ” ซูหลีเก็บสายตาของตนกลับมา สีหน้าของนางเข้มขึ้นเล็กน้อย จากนั้นก็ก้าวขึ้นรถม้าไป
……
“เจ้าว่า เรื่องนี้พวกเราต้องบอกคุณชายหรือไม่”
“เกรงว่าคงจะพูดยากนัก”
“เฮ้อ…ทว่าแค่พวกเราสองคนจะปิดบังคุณชายไปได้ถึงเมื่อไหร่กัน!”
วันที่สองยามเช้า หลังจากที่ซูหลีกลับมาจากที่เล่าเรียนก็เดินเข้ามาภายในบ้าน ทว่ายังไม่ได้เข้าไปภายในห้องก็ได้ยินเสียงพูดคุยระหว่างไป๋ฉินกับเย่ว์ลั่วเสียก่อน
สีหน้าของนางชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นถึงผลักประตูจนเปิดออก…
“มีเรื่องอะไรที่พูดกับข้าได้ยากนัก?” ซูหลีก้าวเท้าเข้าไปในห้อง ไป๋ฉินกับเย่ว์ลั่วทั้งสองคิดไม่ถึงว่านางจะกลับมาในเวลานี้ เมื่อนางเดินเข้ามาสีหน้าของทั้งสองจึงมีความแปลกประหลาดอยู่บ้าง
“เป็นอะไรไปนี่คือ?” ซูหลีเอ่ยขึ้นอย่างไม่เข้าใจ
“คุณชาย…” ไป๋ฉินมองนางปราดหนึ่ง จากนั้นหยุดพูดในทันที
“มีอะไรที่พูดได้ยาก หรือบิดาของข้าจะเตรียมหาแม่เลี้ยงใหม่ให้ข้า?” ซูหลีเลิกคิ้วขึ้นและเอ่ยประโยคนี้ออกมา
“คุณชายท่านพูดส่งเดชอะไรออกมากัน!” ไป๋ฉินที่เดิมรู้สึกเป็นห่วงนางเป็นอย่างมาก เมื่อถูกนางพูดแทรกเช่นนี้ ใบหน้าจึงกระตุกขึ้นอย่างอดไม่ได้
“เช่นนั้นคือเรื่องอะไรกันเล่า รีบพูดออกมาเร็วเข้า!” ซูหลีเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ
“คะ คือว่า…” ไป๋ฉินหยุดชะงักไปพักหนึ่ง ท้ายที่สุดแล้วสายตาของซูหลีก็ไปหยุดอยู่ที่เย่ว์ลั่วที่อยู่ด้านข้าง
หลังจากเย่ว์ลั่วชะงักไปครู่หนึ่ง ตั้งสติอย่างแน่วแน่แล้วจึงเอ่ยว่า “วันนี้มีข่าวจากวังหลวง ภายในลือว่า…คุณหนูสกุลป๋ายเข้ามาอยู่ในวังหลวงแล้ว อีกทั้งทันทีที่เข้ามาก็ถูกแต่งตั้งตำแหน่งผินแล้ว บัดนี้ทุกคนต่างพากันไปแสดงความยินดีกับป๋ายไต้ซือ!”
ทันทีที่ซูหลีได้ยินคำพูดประโยคนี้ อารมณ์บนใบหน้าก็เปลี่ยนไปทันที
หลังจากนางเงียบไปครู่หนึ่ง พลันเอ่ยขึ้นว่า “ป๋ายถานหรือ?”
“เจ้าค่ะ” เย่ว์ลั่วตอบ นางชำเลืองมองสีหน้าของซูหลีปราดหนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยว่า “บัดนี้กลายเป็นเล่อผินเหนียงเหนียงแล้ว คำว่าเล่อ เป็นตำแหน่งที่ฮ่องเต้ทรงแต่งตั้งให้เล่อผินเหนียงเหนียงด้วยพระองค์เอง!”
เล่อผิน
ซูหลีแค่นยิ้มเย็นออกมาครู่หนึ่ง ที่แท้เมื่อวานฉินเย่หานก็ไปรับโฉมสะคราญมาด้วยตัวเอง ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง
ป๋ายถานก็ไม่เพียงแต่เป็นคนฉลาดและน่าสนใจ อีกทั้งรูปโฉมยังดีเลิศเป็นอันดับหนึ่ง ฮ่องเต้จะทรงโปรดก็คงไม่แปลก
“คุณชาย ท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่” เย่ว์ลั่วเห็นปฏิกิริยาของซูหลีแล้วก็อดถามขึ้นอีกประโยคไม่ได้
ผู้อื่นไม่รู้ ทว่าคนข้างกายของซูหลีล้วนทราบสถานะที่แท้จริงของซูหลีดี ฮ่องเต้ทรงเสด็จมาหาซูหลียามราตรีหลายต่อหลายครั้ง มีเรื่องบางเรื่องที่พวกนางนั้นเข้าใจดีที่สุด
โดยเฉพาะไป๋ฉินนั้นมองออกอย่างชัดเจน ดังนั้นหลังจากทราบเรื่องนี้แล้ว นางถึงรู้สึกกังวลมาโดยตลอดว่าหากซูหลีรับรู้แล้วจะเป็นอย่างไร จะเสียใจมากหรือไม่
บัดนี้เมื่อเห็นสีหน้าของซูหลีแล้ว พวกนางทั้งสองคนจึงมองหน้ากันครู่หนึ่ง สีหน้านั้นล้วนเต็มไปด้วยความกังวลใจ
แม้วันนี้พวกนางจะไม่บอกซูหลี หรือจะสามารถปิดบังไปได้วันสองวัน สุดท้ายซูหลีก็ต้องทราบเรื่องนี้อยู่ดี
สกุลป๋ายนั้นมีเล่อผินเหนียงเหนียงปรากฏตัวขึ้น คงจะรีบไปป่าวประกาศให้ทุกคนฟังแล้ว แม้แต่คนในสำนักเต๋อซั่นก็คงทราบกันทั่วหน้าแล้ว นับประสาอะไรกับคนอื่นๆ
“ไม่เป็นไร ข้าจะเป็นอะไรไปได้กัน”