“ในเมื่อผู้นำของเจ้ามาไม่ได้ เจ้าก็ไส้หัวไปซะ!” เฟิงผั่วหยุนพูดและสะบัดมือ
มีรึที่ไป๋หยวนจะกล้าต่อต้าน? โชคดีที่อีกฝ่ายเป็นคนนิสัยอย่างเฟิงผั่วหยุน ถ้าหากเป็นตัวตนระดับทลายมิติคนอื่นล่ะก็ มันคงจะตกตายไปหลายร้อยรอบแล้ว
ถึงแม้รูปแบบอาคมสังหารที่สี่จะสามารถสังหารได้แม้แต่ตัวตนระดับทลายมิติขั้นสูง แต่ตอนนี้มันยังมีส่วนที่ไม่สมบูรณ์อยู่ ดังนั้นแม้จะเป็นจอมยุทธระดับทลายมิติขั้นต้นก็สามารถทำลายรูปแบบอาคมนี้ได้
เมื่อคิดได้เช่นนั้น ไป๋หยวนก็อดที่จะถอนหายใจออกมาไม่ได้ ด้วยพลังของมันแล้ว มันจะสร้างปาฏิหาริย์ที่สามารถพลิกสถานการณ์ได้รึ?
ในโลกนี้ ตัวตนระดับทลายมิติก็ไม่ต่างอะไรกับพระเจ้า
เฟิงผั่วหยุนเดินตรงเข้าไปยังจุดกึ่งกลางของหมอกสีดำที่เกิดจากรูปแบบอาคมสังหารที่สี่
ภายในประตูเมือง ทุกคนกำลังรู้สึกสับสน ในเมืองที่ถูกวางกับดักแบบนี้ ไม่มีใครคิดว่าจู่ๆจะมีตัวตนระดับทลายมิติปรากฏตัวออกมา
ภายในจิตใจของทุกคน ตัวตนระดับทลายมิติก็ไม่ต่างอะไรกับตำนาน
ผ่านไปสักพัก ทุกคนก็มองเห็นประกายแสงที่น่าสะพรึงกลัวจากระยะไกล คลื่นพลังทำลายเหล่านั้นน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างมาก คลื่นกระแทกที่เกิดการประกายแสงเหล่านั้นปะทะเข้ากับข่ายอาคมป้องกันของเมืองทำให้ทุกคนสั่นกลัว
มันคือการต่อสู้ของตัวตนระดับทลายมิติ ถ้าหากไม่มีข่ายอาคมป้องกันเมืองเอาไว้ คลื่นกระแทกที่เกิดขึ้นอาจจะทำให้แม้แต่จอมยุทธระดับสวรรค์กระอักโลหิตออกมา และหากเป็นระดับก้าวสู่เทวาก็คงจะร่างกายแตกสลาย
พลังทำลายล้างของการโจมตีของตัวตนระดับทลายมิตินั้นทรงพลังจนไม่สามารถเพ้งตาจ้องมอง
‘ตูม! ตูม! ตูม!’
การปะทะที่รุนแรงยังคงดำเนินต่อไป รัศมีแห่งแสงระเบิดไปทั่วท้องฟ้าจนราวกับสวรรค์กำลังสั่นสะเทือน ทุกคนสามารถมองเห็นว่าช่องว่างมิติกำลังถูกฉีกขาดพร้อมกับมีเศษดวงดาวร่วงหล่นลงมาเป็นอุกกาบาต
หลิงฮันรู้สึกขนลุกทันที ในทวีปฮงเทียนแห่งนี้ อาวุธวิญญาณระดับสูงที่สุดซึ่งก็คือระดับสิบนั้นถูกหลอมขึ้นจากแร่อุกกาบาต และแร่อุกกาบาตนั่นมาจากไหน? แต่นอนว่าพวกมันคือเศษดวงดาวที่ร่วงหล่นลงมา
แต่ต้องรู้ก่อนว่าเหนือต้องฟ้านั้นมีชั้นบรรยากาศที่หนาแน่นปกคลุมอยู่ แม้แต่จอมยุทธระดับสวรรค์ก็ไม่สามารถบินขึ้นเหนือชั้นบรรยากาศนั่นขึ้นไปได้ แต่แล้วจะนำดวงดาวเหล่านั้นมาได้อย่างไร? มีเพียงตัวตนระดับทลายมิติเท่านั้นที่สามารถทำได้
เฟิงผั่วหยุนและรูปแบบอาคมสังหารที่สี่ปะทะกันอย่างดุเดือด ดวงดาวมากมายถูกทำลายจนกลายเป็นเศษอุกกาบาต ถึงแม้จะไม่ใช่ดวงดาวทุกดวงที่สามารถนำมาหลอมเป็นอาวุธวิญญาณระดับสิบได้ แต่ในหมู่อุกกาบาตเหล่านั้นคงต้องมีซักหนึ่งหรือสองก้อนที่ใช้ได้ล่ะน่า
ช่างน่าเสียดายอย่างมากที่รูปแบบอาคมสังหารที่สี่ยังไม่ถูกทำลาย ไม่เช่นนั้นหากเขาผลิผลามออกจากเมืองไปตอนนี้ เขาคงถูกสังหารเป็นแน่
มีคนไม่น้อยที่มีเป้าหมายเช่นเดียวกับเขา แววตาของแต่ละคนเต็มไปด้วยความเร่าร้อน แต่ทุกคนก็ต้องยับยั้งความคิดเหล่านั้นเอาไว้… ใครกันจะกล้าไปเก็บเกี่ยวสิ่งของจากตัวตนระดับทลายมิติ? พวกเขาเบื่อชีวิตแล้วรึไง
แสงแห่งการทำลายล้างช่างทรงพลังยิ่งนัก จะมีสักที่คนที่เคยเห็นตัวตนระดับทลายมิติลงมือต่อสู้?
จนถึงทุกวันนี้ คนที่โชคดีก็คงเคยเห็นเพียงผ่านรูปแบบอาคมบางอย่าง ไม่มีใครเลยที่เคยเห็นการต่อสู้ของจริง
หลังจากการปะทะอันดุเดือด จู่ๆสถานการณ์ก็กลายเป็นเงียบสงบ
จบแล้ว?
“ดูนั่น หมอกเริ่มจางหายไปแล้ว!” ใครบางคนอุทานออกมา
เมื่อมองไปด้านหน้าจะเห็นหมอกที่กำลังกระจายตัวอย่างรวดเร็ว ผ่านไปไม่กี่ลมหายใจหมอกสีดำที่ล้อมรอบทั่วท้องฟ้าเอาไว้ก็สลายหายไปอย่างสมบูรณ์
รูปแบบอาคมสังหารที่สี่ถูกทำลายแล้ว!
บริเวณที่ห่างไกลออกไป เฟิงผั่วหยุนกำลังยืนอยู่อย่างสงบนิ่ง ทุกคนที่มองไปยังเฟิงผั่วหยุนรู้สึกราวกับว่าการต่อสู้ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่สำหรับเขาแล้วมันไม่นับเป็นอันใดแม้แต่น้อย เฟิงผั่วหยุนหันหน้าและเดินกลับมายังประตูเมือง
หลิงฮันต้องยอมรับเลยว่าพลังของพี่ชายคนนี้ของเขาช่างเหนือกว่าจินตนาการของเขาไปไกลนัก
“นี่เขาแข็งแกร่งขนาดนั้นเชียว?” เฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนกระซิบ
“หืม นี่เจ้ารู้จักเขา?” จูเสวียนเอ๋อประหลาดใจ
“ข้าพบเขาพร้อมกับฮันฮันเมื่อวาน ฮันฮันกับชายคนนั้นดื่มสุราและปฏิญาณว่าจะเป็นพี่น้องกัน” เฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนกล่าว
‘แค่กๆ!’
จูเสวียนเอ๋อสำลักทันที กลายเป็นพี่น้องกับตัวตนระดับทลายมิติ? เรื่องที่ราวกับความฝันเช่นนั้นน่ะรึ! แต่เมื่อคิดดีๆแล้ว หลิงฮันเองก็เป็นถึงนักปรุงยาระดับสวรรค์ หากเทียบกับตัวตนระดับทลายมิติแล้ว สถานะของพวกเขาก็ไม่ได้ต่างอะไรกันมากนัก พวกเขาล้วนแต่เป็นตัวตนสูงส่งที่ไม่ว่าใครก็ต้องเคารพ
หลิงฮันชะงักเล็กน้อย ฮันฮัน? เมื่อใดกันที่นางตั้งชื่อเช่นนี้ให้กับเขา?
ทุกคนกระโดดลงจากกำแพงเมืองและเปิดประตูเพื่อต้อนรับการกลับมาของเฟิงผั่วหยุน
“ปรมาจารย์เฟิง!”
“ปรมาจารย์เฟิง!”
ยิ่นเฉวยางและจอมยุทธระดับสวรรค์ทำการคารวะ ส่วนจอมยุทธคนอื่นๆนั้น พวกเขาไม่มีคุณสมบัติที่จะเปิดปากพูด ทำได้เพียงยืนมองจากระยะไกล
เฟิงผั่วหยุนพยักหน้าและพูด “ข้าติดหนี้บุญคุณหยินสามเอาไว้ ก่อนหน้านี้เขาได้ขอร้องข้าเอาไว้ว่าถ้าหากมีวิกฤตใดเกิดขึ้นกับเมืองหมื่นสมบัติ ขอให้ข้าลงมือช่วยเหลือให้ที เพราะงั้นพวกเจ้าจึงไม่ต้องรู้สึกขอบคุณข้าขนาดนั้น”
หยินสามไม่ใช่ชาวเมืองทั่วไป ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่มีคุณสมบัติจะทำให้ตัวตนระดับทลายมิติติดหนี้บุญคุณ! เขาคือผู้อาวุโสที่สามของตำหนักสมบัติวิญญาณ แซ่หยิน นามอีเก้อเทียน ผู้คนที่ใกล้ชนิดกับเขาจะเรียกเขาว่าหยินสาม
แต่ก็แน่นอนว่ามีเพียงตัวตนระดับทลายมิติเท่านั้นที่จะกล้าเรียกเขาแบบนั้น
ยิ่นเฉวยางเข้าใจทันที ถึงว่าทำไมผู้อาวุโสสูงสุดของตำหนักถึงกล้าพาผู้อาวุโสอีกเจ็ดคนไปด้วยทั้งหมด ที่แท้เขาก็มีการเตรียมการเอาไว้แล้วนี่เอง
มีตัวตนระดับทลายมิติคอยคุ้มกันเมืองอยู่ยังมีอะไรต้องกังวลอีกรึ? เพียงแต่ทำไมเฟิงผั่วหยุนถึงไม่ปรากฏตัวให้เร็วกว่านี้ พวกเขานึกว่าพวกเขาจะต้องตายเสียแล้ว แต่ใครกันจะกล้าเอ่ยปากถามคำถามกับตัวตนระดับทลายมิติ?
เฟิงผั่วหยุนมีจอมยุทธระดับสวรรค์หลายคนคอยรับรอง ส่วนจอมยุทธคนอื่นๆนั้นพวกเขาไม่มีคุณสมบัติที่จะทำเช่นนั้น แถมยังมีคนบางคนที่มีธุระอื่นต้องทำอีกด้วย
“ฮันหลิง คืนผลึกก่อเกิดข้ามา!” ใครบางคนตะโกนใส่หลิงฮัน
“ใช่แล้ว พวกเราไม่ต้องการตำแหน่งแล้ว พวกเราต้องการผลึกก่อเกิดของพวกเราคืน!”
“คืนผลึกก่อเกิดมา!”
ผู้คนที่ประมูลตำแหน่งในการหลบหนีออกจากเมืองร้อยเมื่อวานหนึ่งร้อยแปดสิบตำแหน่งตะโกนใส่หลิงฮัน เพื่อที่จะมีชีวิตต่อไป พวกเขาจึงต้องถูกขูดเลือดขูดเนื้อโดยหลิงฮัน แต่ตอนนี้วิกฤตได้หายไปแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงต้องการนำผลึกก่อเกิดคืนมา
นอกจากนั้นแล้ว หลิงฮันก็ยังเป็นเพียงจอมยุทธระดับบุปผาผลิบาน แม้เขากับหญิงสาวรอบกายเขาจะมีพรสวรรค์ที่ราวกับสัตว์ประหลาด แต่ตอนนี้พวกเขาก็ยังอ่อนแอเกินไป แค่ใช่อำนาจของจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณก็เพียงพอแล้ว
แถมที่นี่ยังมีผู้เชี่ยวชาญระดับก้าวสู่เทวาอยู่มากมาย
“ผลึกก่อเกิด!” ผู้คนนับไม่ถ้วนตะโกนใส่หลิงฮัน