ตอนที่ 643-1 ทะเลขั้วโลกเหนือ

พันธกานต์ปราณอัคคี

ช่านหรานเจินจุนมองทั้งสองพลางยิ้มตาหยี

มั่วชิงเฉินยืนเคียงข้างเยี่ยเทียนหยวน จับมือเขาเงียบๆ ถูกลางฝ่ามือเบาๆ แล้วจึงปิดประสาทสัมผัสทั้งห้าของตน

เยี่ยเทียนหยวนชะงักมือเล็กน้อย จ้องมองช่านหรานเจินจุน “อนุชนกับศิษย์น้องมีเรื่องบางอย่างต้องทำ ยังไม่รีบจากไป ไม่รบกวนเวลาเจินจุนแล้ว”

ช่านหรานเจินจุนตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด ก่อนว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ ศิษย์พี่เจ้าสำนัก ข้าขอตัวก่อนล่ะ”

พริบตาเดียว ช่านหรานเจินจุนก็จากไปไกล ซีอวิ๋นเจินจุนจึงว่า “ลั่วหยาง ชิงเฉิน ในเมื่อพวกเจ้ามีเรื่องที่ต้องทำ ก็ไปเถิด ถ้าต้องการความช่วยเหลือค่อยส่งสัญญาณบอกข้า”

เยี่ยเทียนหยวนประสานมือขอบคุณ แต่มั่วชิงเฉินกลับเฉยเมย

ซีอวิ๋นเจินจุนกวาดตามองไป พบว่านางคอตกลงมาครึ่งหนึ่ง ใบหน้าไร้ซึ่งความรู้สึก จึงอดสงสัยไม่ได้ หันไปถามเยี่ยเทียนหยวน “ลั่วหยาง ชิงเฉินเป็นอะไรไป”

เยี่ยเทียนหยวนควบคุมจิตใจคนไม่เก่ง แต่กลับไวต่อความผิดปกติของมั่วชิงเฉิน พอนึกได้ว่า นางเป็นเช่นนี้ตั้งแต่ตอนที่ช่านหรานเจินจุนเอ่ยปากพูด ก็ลังเลใจเล็กน้อย ก่อนว่า “ศิษย์น้องเผชิญกับเรื่องมากมายในกำแพงถ่ายทอด น่าจะรู้สึกเหนื่อย ไม่เป็นไรหรอก”

“เช่นนี้ ข้าก็ขอพาศิษย์เหล่านี้กลับไปก่อน รอให้พวกเจ้ากลับจากต่างแดนค่อยมาพักที่สำนักฉางซู่ก็แล้วกัน” ซีอวิ๋นเจินจุนพูดจบ ก็เรียกผู้ติดตามซึ่งเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดมายืนข้างกาย เหยียบเมฆมงคลแล้วหันกายหมายจากไป

แต่ตอนนี้เอง มือของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดที่ยืนอยู่ใกล้ซีอวิ๋นเจินจุนมากสุดก็ขยับ แสงสีขาวพุ่งเข้าใส่เขาอย่างรวดเร็ว

พร้อมกับเสียงร้องของมั่วชิงเฉิน “เจินจุนระวัง!”

เพิ่งสิ้นเสียง สิ่งแวดล้อมในสายตากลุ่มคนก็เปลี่ยนไปทันที ขุนเขาและป่าลึกที่มีอยู่แต่เดิม กลายเป็นทุ่งหิมะขาวโพลน

“โย่วหลิน เจ้าทำอะไรน่ะ!” เสียงเอ็ดตะโรของซีอวิ๋นเจินจุนดังมา

ไม่มีใครตอบ

ซีอวิ๋นเจินจุนพลันพบว่า ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดในที่นี้ล้วนกลายเป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่ลอบจู่โจมเขาแบบเดียวกับโย่วหลินเจินจวิน แม้ผู้มีความสามารถระดับถอดดวงจิตอย่างเขา ก็ยังแยกแยะไม่ออก

เยี่ยเทียนหยวนก็แอบตกใจเหมือนกัน แม้เขาไม่รู้จักโย่วหลินเจินจวิน แต่กลับพบว่านอกจากซีอวิ๋นเจินจุนแล้ว ทุกคนล้วนมีหน้าตาเหมือนกันหมด และพอหันควับมาดูผู้ที่เขาจับมืออยู่ ก็เปลี่ยนไปเช่นกัน

โชคดีที่ว่า ความรู้สึกที่ผู้จับมือมีให้เขานั้น ไม่เปลี่ยนแปลง

เยี่ยเทียนหยวนโล่งอกเล็กน้อย จึงลอบส่งเสียงอย่างระมัดระวัง “ศิษย์น้อง…”

ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับจากฝ่ายตรงข้าม

ขณะนั้น มีเสียงร้องโหยหวนดังมา ผู้บำเพ็ญเพียรคนหนึ่งพูดขึ้นอย่างขุ่นเคือง “ศิษย์น้องโย่วหลิน ทำไมเจ้าถึงลอบจู่โจม หรือ…เจ้าคือศิษย์ทรยศ!”

เพิ่งสิ้นเสียง ก็เห็นผู้บำเพ็ญเพียรอีกคนจ้องมองเขาอย่างแปลกใจไม่หาย “ศิษย์น้องโย่วหลิน เจ้ากำลังพล่ามเรื่องไร้สาระอะไร”

ผู้บำเพ็ญเพียรที่อยู่ตรงหน้าตื่นตกใจ “ศิษย์พี่จั่วเซิน ท่านว่าใครคือโย่วหลิน”

ผู้บำเพ็ญเพียรอีกคนขมวดคิ้ว “ศิษย์น้องโย่วหลิน สายตาเจ้ามีปัญหาแล้ว ไม่เพียงมองคนอื่นเป็นตัวเจ้าเอง ยังคิดว่าข้าเป็นศิษย์พี่จั่วเซิน ทั้งๆ ที่ ศิษย์พี่จั่วเซินยืนอยู่ข้างๆ เจ้า”

ผู้ที่ยืนอยู่ข้างผู้บำเพ็ญเพียรคนก่อนถลึงตามอง “ศิษย์น้องซั่งเสียน ดวงตาเจ้านั่นแหละที่มีปัญหา ข้าคือปั้นอวี้ ศิษย์พี่จั่วเซินไม่ได้อยู่ตรงนั้นหรอกหรือ” ว่าแล้วก็ชี้ไปที่คนคนหนึ่ง

ผู้ที่ถูกชี้อึ้ง “ข้าไม่ใช่จั่วเซิน เจ้าก็ไม่ใช่ปั้นอวี้ เป็นโย่วหลินชัดๆ…”

ผู้บำเพ็ญเพียรทุกคนล้วนหน้าเปลี่ยนสี ดวงตาเต็มไปด้วยความกังขาขณะมองคนอื่นๆ

ไม่รู้ใครเป็นผู้ลงมืออีกครั้ง ทุกคนจึงต่อสู้กันอย่างสะเปะสะปะภายใต้ความหวาดระแวง

และซีอวิ๋นเจินจุนตัวจริงก็ถูกม้วนรวมไปในนั้นด้วย

ผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านี้เป็นศิษย์ระดับก่อกำเนิดของสำนักฉางซู่ที่รอดชีวิต แม้เขาเห็นว่าทุกคนล้วนมีลักษณะเช่นเดียวกันกับโย่วหลิน แต่ก็ทนไม่ได้ที่จะเห็นสำนักสูญเสีย ภายใต้สภาวะหยิกเล็บเจ็บเนื้อ จึงได้แต่หลบหลีกการจู่โจมจากคนรอบข้าง

เยี่ยเทียนหยวนเข้าไปอยู่ในการต่อสู้สะเปะสะปะ เขาดึงมั่วชิงเฉินให้หลบหลีกจากการจู่โจมตลอด การเพิ่งตระหนักรู้ในมรรคาแห่งความทนทาน ทำให้เขาได้อิทธิฤทธิ์ใหม่…ทนทานเก้าชั้นฟ้า

ทนทานเก้าชั้นฟ้าใช้ป้องกันการจู่โจมของศัตรู แบ่งออกเป็นเก้าชั้น ความแข็งแกร่งที่ได้จะเพิ่มขึ้นทีละชั้นจากด้านนอกสู่ด้านใน

เพียงแต่เขาเพิ่งรับการถ่ายทอดตระหนักรู้ได้ไม่นาน ตอนนี้จึงสำแดงอิทธิฤทธิ์ได้เพียงสามขั้น

แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ เขากับมั่วชิงก็ยังได้รับการคุ้มครองอย่างแน่นหนาจากกลุ่มผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดที่ต่อสู้กันอย่างสะเปะสะปะ สักพักเขาจึงกระโดดออกจากวงล้อมการต่อสู้ มายืนดูอย่างเย็นชา

เคล็ดวิชาลวงตาของหลิงเฮ่อเจินจุนสูงส่งไร้เทียมทาน ในสายตาของซีอวิ๋นเจินจุน ไม่เพียงผู้บำเพ็ญเพียรทุกคนมีหน้าตาเหมือนกัน กระทั่งท่าทางการร่ายคาถาก็เป็นไปในแนวทางเดียวกันด้วย ทำให้จนปัญญาจะแยกแยะ

มีเพียงสองคนที่เพิ่งกระโดดออกจากวงล้อมการต่อสู้ ซึ่งอิทธิฤทธิ์ของหนึ่งในนั้น ทำให้เขาค้นพบความรู้สึกที่คุ้นเคย

ต้องรู้ว่า ที่พวกเขาเข้าไปในกำแพงถ่ายทอด สิ่งที่ได้รับมาก็คือมรดกตกทอดจากสมัยโบราณ และมรดกเหล่านั้น เมื่อเทียบกับมรดกสมัยปัจจุบัน ย่อมมีส่วนที่คล้ายคลึงกัน

และเป็นเพราะซีอวิ๋นเจินจุนเพิ่งออกมาได้ไม่นานด้วย จึงมีความรู้สึกกับเรื่องนี้มากเป็นพิเศษ

เขาสะบัดแขนเสื้อ ใส่ผู้บำเพ็ญเพียรที่จู่โจมเข้ามาให้ล่าถอยไป ก่อนทะยานร่างกระโดดออกมายืนด้านข้างผู้บำเพ็ญเพียรสองคนที่จับมือกัน “ลั่วหยาง ชิงเฉิน ใช่พวกเจ้าหรือไม่”

เยี่ยเทียนหยวนรู้สึกประหลาดใจ ขณะมองซีอวิ๋นเจินจุนที่จู่ๆ ก็กระโดดออกมายืนข้างผู้บำเพ็ญเพียรสองคน จากนั้นก็ตะโกนเรียกชื่อเขากับศิษย์น้อง เขาอยากร้องเตือน แต่ไม่ทันการ

ตะขอสีดำคมกริบอันหนึ่งลอยออกจากแขนเสื้อของหนึ่งในสองผู้บำเพ็ญเพียร พุ่งเข้าเจาะไหล่ซ้ายของซีอวิ๋นเจินจุนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ พวกเขา

ในสายตาของเยี่ยเที่ยนหยวน ทุกคนแม้เป็นแบบเดียวกัน แต่ผู้บำเพ็ญเพียรที่สามารถทำให้ซีอวิ๋นเจินจุนมองเห็นภาพลวงตา เข้าใจว่าเป็นเขากับศิษย์น้อง ย่อมเป็นศัตรู มิใช่มิตร

เยี่ยเทียนหยวนจึงไม่ลังเลใจ เสกห่วงทองคำออกมา ซัดเข้าใส่คนทั้งสอง

และในตอนนี้เอง มั่วชิงเฉินที่เอาแต่ก้มหน้า พลันเงยหน้าขึ้น เหนี่ยวสายธนู แล้วปล่อยอย่างรวดเร็ว ศรน้ำแข็งยะเยือกพุ่งออกดุจฝนดาวตก ใส่หนึ่งในผู้ที่ต่อสู้กันสะเปะสะปะ

ตั้งแต่ต้นจนจบ สีหน้ามั่วชิงเฉินไร้ซึ่งอารมณ์ตลอด ดวงตาไม่มีแววแม้แต่น้อย

คนผู้นั้นหลบเลี่ยงได้อย่างแยบยล แต่ศรน้ำแข็งยะเยือกที่เผาไหม้อยู่กลับเหมือนมีดวงตางอกออกมา ตามติดอย่างไม่ลดละ

“ซีอวิ๋นเจินจุน ผู้ที่ถูกศรน้ำแข็งยะเยือกไล่ล่าก็คือหลิงเฮ่อเจินจุน!” เสียงซึ่งไม่แฝงอารมณ์แม้เพียงครึ่งของมั่วชิงเฉินดังมา

ซีอวิ๋นเจินจุนถูกตะขอเหนือลิขิตฟ้าเกี่ยว จึงรีบดีดตัวออก แล้วตามเงาร่างที่ถูกศรน้ำแข็งยะเยือกไล่ล่าไป

มั่วชิงเฉินคลายมือออกจากเยี่ยเทียนหยวน ทะยานร่างเหาะตาม “ศิษย์พี่ สามีภรรยาฉางอวี้มอบให้ท่านจัดการแล้ว ข้าต้องไปช่วยซีอวิ๋นเจินจุนต่อสู้”

“ศิษย์น้อง!” เยี่ยเทียนหยวนรีบเรียก

มั่วชิงเฉินไม่หันหลังกลับ น้ำเสียงยังคงไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ “ศิษย์พี่ เคล็ดวิชาลวงตาของหลิงเฮ่อเจินจุนสูงส่งไร้เทียมทาน มีเพียงข้าที่แยกประสาทสัมผัสทั้งห้าออกแต่แรก จึงไม่ติดอยู่กับภาพลวงตา ซีอวิ๋นเจินจุนถูกตะขอเหนือลิขิตฟ้าเกี่ยวจนบาดเจ็บ เกรงว่าจะเสียเปรียบเมื่อต่อสู้กับหลิงเฮ่อเจินจุน ถ้าพวกเขาต้องการตัดสินแพ้ชนะ จุดจบก็ถูกกำหนดไว้แล้ว ข้าต้องไปช่วยซีอวิ๋นเจินจุนอีกแรง”

เยี่ยเทียนหยวนเหลือบตามองร่างในชุดเขียวที่เหาะจากไปอย่างลึกซึ้ง ก็ไม่ดึงดันอีก ดาบเปลวอัคคีปรากฏในมือ มังกรไฟสีม่วงสายหนึ่งพุ่งจากกลางอากาศ ม้วนตัวเข้าหาสามีภรรยาฉางอวี้

เมื่อผู้บำเพ็ญเพียรระดับถอดดวงจิตสองท่านประมือกัน พลันเกิดลมพัดเมฆเคลื่อน ฟ้าดินเปลี่ยนสี ทั้งสองต่อสู้กันไป เหาะขึ้นฟ้าไป ให้ลมที่อยู่สูงขึ้นๆ ไปตีร่าง

การต่อสู้ในที่สูงเช่นนี้ มั่วชิงเฉินไม่กล้าเข้าใกล้จริงๆ จึงได้แต่ใช้สายตาเย็นชา ยืนมองอยู่ในระยะไกล

ถ้าบอกว่าใช้สายตาเย็นชามองดู ก็ไม่ถูกต้องนัก เพราะนางมิได้ลืมตามอง

ประสาทสัมผัสทั้งห้าของผู้บำเพ็ญเพียรแบ่งเป็น ตา หู จมูก ลิ้น กาย เพราะต้องการหลีกเลี่ยงจากการถูกภาพลวงตาหลอกหลอน มั่วชิงเฉินจึงแยกประสาทสัมผัสทั้งห้าออกอย่างสิ้นเชิง ตั้งแต่หลิงเฮ่อเจินจุนเอ่ยปากพูดครั้งแรก โดยตัดสินใจพึ่งพาประสาทสัมผัสที่หกของตน…ใจ

มีเพียงความรู้สึกแท้จริงจากใจถึงไม่ลวงหลอก ไม่ถูกรูปลักษณ์ทำให้ไขว้เขว

เมื่อใจสงบไร้คลื่นลม ภาพลวงตาเจาะเข้าไม่ได้ ก็จะสลายไปเอง!

ซีอวิ๋นเจินจุนประมือกับหลิงเฮ่อเจินจุน พลางลอบขมวดคิ้ว

ตะขอเหนือลิขิตฟ้ามิใช่ของวิเศษทั่วไป ถ้าใช้ดีๆ ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดก็อาศัยมันทำร้ายผู้บำเพ็ญเพียรระดับถอดดวงจิตได้

บวกกับเขาในตอนนั้น ร่างอยู่ในภาพลวงตา ต้องรีบปลีกตัวออก อีกทั้งยังเชื่อมั่นในการวิเคราะห์ของตนมากจนเกินไป จึงติดกับดัก ถูกตะขอเหนือลิขิตฟ้าทำบาดเจ็บจนได้

อาการบาดเจ็บเช่นนี้ ถ้าเป็นยามปกติ จะไม่นับเป็นอะไร แต่สองผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงกำลังต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย แพ้ชนะวัดกันเพียงเสี้ยวเวลา

อีกด้านหนึ่ง เยี่ยเทียนหยวนก็พยายามต้านทานเต็มที่

แม้เขาได้รับถ่ายทอดมรรคาแห่งความทนทานมา แต่การเผชิญหน้ากับสองผู้บำเพ็ญเพียรที่มีระดับความสามารถใกล้เคียงและโดดเด่นพอๆ กัน เป็นไม่ได้ที่จะพลิกฟ้าเอาชนะคนทั้งสองได้อย่างง่ายดาย

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อสู้กันไปสักพัก ก็มองออกว่าเคล็ดวิชาอิทธิฤทธิ์ส่วนหนึ่งของสองสามีภรรยาฉางอวี้มีเงาของความโบราณกาลอย่างเห็นได้ชัด ก็ชัดเจนว่า ตอนนั้นที่พวกเขาตกลงมาจากบันไดสวรรค์ ไม่เพียงไม่ตาย กลับได้รับโอกาสและวาสนาดีอีกต่างหาก

มั่วชิงเฉินหลับตาลง โดยไม่หันศีรษะไปไหน ภาพทั้งหมดที่ปรากฏในหัว ยังคงไม่สามารถสร้างแรงกระเพื่อมภายในใจแม้แต่น้อย

จากนั้น ภายใต้แสงอาทิตย์ แหวนหยกขาวปานจื่อกะพริบแสงสีขาว ศรทองแหลมคม ศรน้ำแข็งยะเยือก ศรไม้ท้อ ก็พุ่งออกพร้อมกัน เข้าหาหลิงเฮ่อเจินจุน