บทที่ 68 พายุและสายฝนที่โหมกระหน่ำ

ระบบเติมเงินข้ามภพ

บทที่ 68 พายุและสายฝนที่โหมกระหน่ำ NewNovel

บทที่ 68

พายุและสายฝนที่โหมกระหน่ำ

หลังจากที่ข่าวแพร่สะพัดไปทั่วเมือง หอการค้าหยูเย่ก็ตกอยู่ในความตื่นตระหนก แม้ว่าตัวเสี่ยวหยู และซูฉีเจี่ยยังมีท่าทีที่ผ่อนคลาย แต่ลูกจ้างภายในหอการค้านั้นดูกระวนกระวายเป็นอย่างมาก แม้ว่าจะเหลือเยื่อใยอยู่บ้างแต่พวกเขาไม่อยากโดนหางเลขจากเหตุการณ์ครั้งนี้ ลูกจ้างบางส่วนจึงตัดสินใจลาออก และไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับหอการค้าหยูเย่อีก

การจากไปของลูกจ้างเหล่านั้นทำให้เศรษฐกิจ และบรรยากาศภายในหอการค้าหยูเย่ทวีความตึงเครียดมากกว่าเดิม ยิ่งไปกว่านั้นถ้าไม่ได้เสี่ยวหยู และซูฉีเจี่ยคอยปลอบประโลมลูกจ้างที่เหลือล่ะก็พวกเขาต้องลาออกตามๆกันไปเป็นแน่ ถึงแม้ว่าตัวเย่เย่เองจะไม่ได้ใส่ใจว่าใครจะอยู่ใครจะไปมากนักแต่เขาก็อดเก็บมาคิดไม่ได้อยู่ดี จนกระทั่งเสวี่ยหยูมาขอเข้าพบกับเขาด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก

เสวี่ยหยูสัมผัสได้ถึงความรู้สึกผิดบาปภายในใจเย่เย่ แต่นางก็ต้องจำใจบอกเย่เย่ให้ทราบถึงข่าวร้าย “ท่านเย่ ขอประทานอภัยนะเจ้าคะ ทางหอการค้าตงหยวนนของข้าเองขอยกเลิกการเป็นหุ้นส่วนกับหอการค้าหยูเย่ของท่านตั้งแต่ ณ บัดนี้เป็นต้นไป น่ะ..แน่นอนว่าตัวข้าคัดค้านอย่างสุดกำลังแล้วนะเจ้าคะ! แต่นี่เป็นการตัดสินใจของเหล่าผู้อาวุโสของตระกูลเสวี่ยเจ้าค่ะ!”

ตั้งแต่การลงสัญญารวมหุ้นในครั้งนั้น หอการค้าหยูเย่และหอการค้าตงหยวนได้มีข้อตกลงที่ระบุไว้ในสัญญาร่วมกันว่าหอการค้าตงหยวนนั้นสามารถถอนตัวจากการเป็นหุ้นส่วนได้ทุกเมื่อ และหอการค้าหยูเย่ต้องจ่าย 40% ที่เป็นส่วนของหอการค้าตงหยวนโดยไม่มีเงื่อนไข ดังนั้นเย่เย่จึงต้องจำใจควักกระเป๋าออกมาให้เสวี่ยหยู 40% ของมูลค่าหอการค้าหยูเย่ในปัจจุบัน

สำหรับหอการค้าตงหยวนนนั้นการลงทุนในครั้งนี้ดูท่าจะคุ้มทุนเสียทีเดียว เมื่อมองจากเม็ดเงินที่

เสวี่ยหยูได้ลงทุนไปในครั้งแรกเป็นจำนวน 3 ล้านหยวนแม้เป็นเพียงแค่ 40% ของมูลค่าของ

หอการค้าหยูเย่ แต่มูลค่าปัจจุบันกลับดีดสูงถึง 10 ล้านหยวนเลยทีเดียว หากมองในแง่ธุรกิจการตัดสินใจถอนตัวของหอการค้าตงหยวนนั้นไม่ใช่เรื่องผิดบาปแต่อย่างใด

จากการถอนตัวของหอการค้าตงหยวนนั้นยิ่งทำให้หอการค้าหยูเย่ตกในที่นั่งลำบาก เปรียบเสมือนรถลากที่ติดหล่มอยู่ในโคลนตมยากที่จะหลุดออกมาได้โดยง่าย

สีหน้าของเสวี่ยหยูนั้นเต็มไปด้วยความผิดหวัง และรู้สึกผิดที่นางไม่สามารถหว่านล้อมให้ผู้อาวุโสในตระกูลเสวี่ยสนับสนุนหอการค้าหยูเย่ได้อีกต่อไป นางทำได้เพียงเชื่อมั่นในตัวเย่เย่ว่าจะผ่านพ้นวิกฤตินี้ได้

“ท่านหญิงเสวี่ยหยู ท่านอย่าได้เป็นกังวลกับความผิดที่ท่านไม่ได้ก่อเลยนะ เรื่องธุรกิจน่ะข้าเข้าใจดี เช่นนั้นแล้วข้าจะให้เสี่ยวหยู และลูกจ้างคนอื่นๆตรวจสอบสินทรัพย์ และโอนของที่เป็นของหอการค้าตงหยวนกลับไปให้เอง !”

แม้ว่าเย่เย่จะดูใจเย็น แต่น้ำเสียง และวิธีการพูดของเขานั้นราวกับเสวี่ยหยูเป็นคนอื่นคนไกล แม้เสวี่ยหยูจะรู้สึกได้ถึงมัน แต่นางก็ทำอะไรมากกว่านั้นไปไม่ได้ นางได้แต่มองดูแผ่นหลังของเย่เย่เดินจากไปจากสายตาของนาง

เสี่ยวหยูได้ยินบทสนทนาของเย่เย่และเสวี่ยหยูทั้งหมด ใบหน้าเรียวบางของเสี่ยวหยูเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองใจ นางตรงดิ่งไปถามไถ่เรื่องราวทั้งหมดกับเสวี่ยหยูในทันที อย่างไรก็ตามเมื่อเย่เย่เห็นดังนั้นจึงรีบห้ามเสี่ยวหยูไว้ได้ทัน

“ปล่อยให้ท่านหญิงเสวี่ยจัดการธุระของนางให้เสร็จ แล้วค่อยส่งนางกลับเถอะนะ”

แม้ว่าในใจลึกๆของแม่นางเสี่ยวหยูนั้นเต็มไปด้วยความขุ่นข้อง แต่นางกลับเลือกที่จะทำตามที่เย่เย่บอกแต่โดยดี

หลังจากที่เสี่ยวหยู และลูกจ้างที่เหลือช่วยกันนับสินทรัพย์ในส่วนของหอการค้าตงหยวนเสร็จสิ้น ก็นำรายการเหล่านั้นให้เสวี่ยหยูตรวจสอบในทันที

“นี่ของเจ้า! เอาไปตรวจสอบให้ดีๆล่ะ ถ้าผิดพลาดตรงไหนก็บอกข้าด้วยละกัน!”

เสี่ยวหยูส่งมอบรายการทรัพย์สินของหอการค้าตงหยวนให้ตรวจสอบอย่างไม่เต็มใจนัก และเดินกลับไปทำงานต่ออย่างไม่แยแส

เสวี่ยหยูแสดงสีหน้าที่เศร้าสร้อยออกมา แต่ตัวนางรู้ดีว่านางไม่ได้รับอนุญาตให้พูดอะไรไปมากกว่านี้ในที่แห่งนี้อีกแล้ว นางจึงรีบจัดเก็บตั๋วทอง เรียกคนของนางให้ขนของ และออกจากหอการค้าหยูเย่อย่างเงียบๆ

“ฮึ่ม!! นี่จะมากเกินไปแล้วนะ!”

เสี่ยวหยูมองไปรอบๆหอการค้าหยูเย่ที่ว่างเปล่า น้ำตาของนางค่อยๆรินไหลออกมาอาบสองแก้ม พร้อมกับสบถด้วยความโกรธที่มีต่อเสวี่ยหยู ซูฉีเจี่ยไม่สามารถปลอบประโลมนางได้เลย จึงทำได้แต่ยืนถอนหายใจเป็นเพื่อนนางเท่านั้น

ใบหน้าของเย่เย่ยังดูใจเย็นเช่นเดิม เขาไม่ได้รู้สึกท้อแท้เมื่อเผชิญกับเหตุการณ์เช่นนี้ แต่ถึงกระนั้นเขาก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันมหาศาลที่เขาไม่เคยได้พบเจอมาก่อนหน้า ถ้าเย่เย่ไม่รีบฟื้นฟูกิจการของเขาในเร็ววัน หอการค้าหยูเย่อันเลื่องชื่อของเขาต้องพบกับความมืดมิดที่ปลายอุโมงค์เป็นแน่แท้

ในขณะที่บรรยากาศในหอการค้าหยูเย่อึมครึมอยู่นั่นเอง เฉิงอี้ตัน เถ้าแก่ของหอการค้าตันเซียงที่ต้องการรับเย่เย่เข้ามาเป็นศิษย์ในครั้งก่อนก็ได้ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้ดูเหมือนว่าเขาจะเข้าใจสถานการณ์ภายในหอการค้าหยูเย่ และเขายังรู้อีกว่าหอการค้าตงหยวนได้ถอนตัวจากการเป็นหุ้นส่วนอีกด้วย ใบหน้าของเฉิงอี้ตันที่เปี่ยมไปด้วยความโกรธจากการที่ถูกเย่เย่ปฏิเสธเมื่อครั้งก่อนกลับแสดงความพึงพอใจออกมา

“เหอะ!! ที่นี้รู้รึยังล่ะ ว่าศัตรูที่เจ้าเผชิญอยู่นั้นแข็งแกร่งเพียงใด? ทันทีที่ปราการหลิงหยวนประกาศตัวเป็นศัตรูกับเจ้า เจ้าก็จะไม่มีผู้ใดที่จะยืนหยัดเคียงข้างเจ้าอีกต่อไป !!”

เฉิงอี้ตันผู้ที่ใส่เสื้อคลุมสีน้ำเงินที่ดูบ้านๆ แม้มันจะดูไม่สมฐานะของเขา แต่ก็เข้ากับนิสัยใจคอของเขาได้เป็นอย่างดี ครั้งนี้เขาไม่ได้มาด้วยข้อเสนอไร้สาระแบบครั้งก่อน เขาได้ชักชวน เย่เย่ไปเป็นเถ้าแก่ของหอการค้าตันเซียงอย่างตรงไปตรงมา หลังจากที่เฉิงอี้ตันมาถึงหอการค้าเขาก็ได้วิเคราะห์สถานการณ์ปัจจุบันไว้ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง แต่ทว่า..

“ท่านผู้เฒ่าเฉิง ขออภัยที่ข้าต้องพูดเช่นนี้ ธุรกิจการภายในของข้าข้าจัดการเองได้ ปัญหาเพียงแค่นี้ไม่พอที่จะทำให้หอการค้าของข้าล้มละลายแต่อย่างใด!”

เย่เย่มองมาที่เฉิงอี้ตันที่กำลังตกตะลึงกับคำพูดของเย่เย่ แม้ว่าเย่เย่จะสัมผัสถึงความจริงใจของเฉิงอี้ตันที่มีมากกว่าครั้งไหนๆ แต่เขาก็ไม่ได้สนใจข้อเสนอนั้นแต่อย่างใด

เฉิงอี้ตันนั้นรับรู้ถึงการไม่สนใจไยดีของเย่เย่ในคำพูดของเขา สายตาที่เขามองเย่เย่ก็เปลี่ยนไป ดวงตาของเขาเปี่ยมไปด้วยไฟแห่งโทสะ และความเกลียดชังที่มีต่อเย่เย่ “ทำไมเจ้าถึงดื้อรั้นถึงขนาดนี้กันนะ? เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าพยายามโน้มน้าวผู้อาวุโสท่านอื่นๆในหอการค้าตันเซียงขนาดไหน แม้ว่าหอการค้าของพวกเราจะเป็นแค่ 1 ในขั้วอำนาจของหลิงเฉิง แต่ความห่างชั้นของพวกเรากับปราการหลินหยวนนั้นราวฟ้ากับเหว เจ้าต้องรู้จักเสียสละเสียบ้าง! มาเข้าร่วมกับข้าเถอะ!”

ถึงแม้ว่าปราการหลิงหยวนส่งเฉินเทียนหนานเข้าการประลองหลิงหยวนเพียงแค่ต้องการหยุดเย่เย่ แต่เฉิงอี้ตันนั้นมั่นอกมั่นใจมากว่า ต่อให้เย่เย่ถอนตัวจากการประลอง เฉินเทียนหนาน และปราการหลิงหยวนนั้นไม่ยอมรามือเพียงเท่านี้แน่!

ตั้งแต่ที่ทั้งหอการค้าหยูเย่ และปราการหลิงหยวนขัดแย้งกัน หอการค้าหยูเย่ไม่มีท่าทีว่าจะยอมสยบง่ายๆ และถ้าหาก เฉินเทียนหนานพ่ายแพ้ในการประลอง ชื่อเสียงและความเชื่อมั่นของหอการค้าหยูเย่ต้องพุ่งทะยานอย่างแน่นอน แต่นั่นไม่ได้ทำให้ลบล้างความแค้นของปราการหลินหยวน และการไล่ล่าฆ่าฟันคงไม่หยุดแต่เพียงเท่านี้

ในขณะที่เฉิงอี้ตันได้ชักจูงผู้อาวุโสท่านอื่นๆในหอการค้าตันเซียง เขาก็ได้พูดถึงผลที่ตามมาอย่างชัดเจน แต่เขานั้นก็ยังเชื่อมั่นในศักยภาพของหอการค้าหยูเย่ว่าควรค่าแก่การนำมาเป็นพรรคพวก แม้ว่าค่าชดใช้ที่หอการค้าตันเซียงจะต้องจ่ายเพื่อระงับความโกรธของปราการหลิงหยวนนั้นจะสูงเสียดฟ้าก็ตาม

“น่าละอายใจยิ่งนักที่ข้าไม่สามารถรับความปรารถนาดีของท่านผู้เฒ่าเฉิงไว้ได้เช่นนี้ แต่ข้าไม่ใช่ผู้ที่จะขอร้องให้คนอื่นช่วยเหลือแม้ในยามอับจนหนทาง อีกอย่างปราการหลิงหยวนนั้นไม่ได้ทำให้ข้ารู้สึกเกรงกลัวเลยแม้แต่น้อย ฉะนั้นข้าต้องขอประทานอภัยด้วยท่านผู้เฒ่า กรุณากลับไปที่ของท่านเสียเถอะ!”

เย่เย่รู้สึกได้ถึงความปรารถนาดีของผู้เฒ่าเฉิง แม้ว่าจะเป็นข้อเสนอที่ไม่เลวเลย ถ้าหากเขาจะได้เรียนรู้การผลิตยาเพื่อพัฒนาทักษะด้านเภสัชกรรมของเขา อย่างไรก็ตามยาของเย่เย่นั้นล้วนมาจากการแลกเปลี่ยนภายในระบบทั้งสิ้น เขาจะไม่ยอมให้ของเหล่านี้ตกไปเป็นของหอการค้า

ตันเซียงโดยเด็ดขาด ดังนั้นเย่เย่จึงเลือกที่จะปฏิเสธเฉิงอี้ตันอย่างตรงไปตรงมา

หลังจากที่เห็นความมุมานะเด็ดเดี่ยวของเย่เย่ ผู้เฒ่าเฉิงก็ถอนหายใจออกมา และเดินจากไปอย่างเงียบๆ ฝูงชนที่รู้เห็นกับบทสนทนาเมื่อสักครู่ต่างมองมาที่เย่เย่ด้วยความงุนงง พวกเขาไม่เข้าใจว่าเย่เย่ตั้งใจจะทำอะไรต่อไปกันแน่

จากการจากไปของผู้เฒ่าเฉิง เหล่าคนที่สิ้นศรัทธาในหอการค้าหยูเย่ก็ค่อยๆทยอยออกไปจากหอการค้าอย่างเงียบงัน

ไม่มีใครพูดถึงแผนกต้อนรับของหอการค้าที่ว่างเปล่า และเงียบเชียบ เหลือเพียงร่องรอยความสับสนที่ปรากฏบนใบหน้าของเสี่ยวหยู ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องที่ทำใจได้ยากสำหรับนางที่จะต้องเห็นธุรกิจที่สร้างมากับมือด้วยความรักกำลังถูกลบออกไปจากหน้าประวัติศาสตร์ของเมืองหลิงเฉิงโดยที่นางไม่สามารถทำอะไรกับมันได้เลย แม้ว่าเจ้าของหอการค้านี้คือเย่เย่ แต่เสี่ยวหยูก็เป็นคนหนึ่งที่ลงทุนลงแรงกับมันไปมิใช่น้อย เมื่อนางมองไปรอบๆหัวใจของนางก็แทบแตกสลายจากความผิดหวัง

“ไม่ต้องห่วงหรอก ทุกอย่างจะดีขึ้นอย่างแน่นอน ข้ารับประกัน”

แม้ว่าเย่เย่จะไม่กล้าพูดแบบนี้กับทุกคน แต่เขาก็พูดกับเสี่ยวหยู และซูฉีเจี่ยด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ และแน่วแน่ หลังจากนั้นเขาก็เดินออกจากโถงกลับไปที่ลานฝึกของเขา

เย่เย่ไม่เคยแสดงพลังที่แท้จริงของเขาต่อหน้าสาธารณชนเลยตั้งแต่ที่เขาฝึกฝนฝ่ามือคลื่นพิโรธได้ถึงระดับสูง เขาเชื่อว่าตราบใดที่เฉินเทียนหนานยังก้าวไปไม่ถึงขั้นสูงสุดของเทพยุทธ์ เขายังคงมีชัยเหนือกว่าด้วยฝ่ามือคลื่นพิโรธที่เขาตั้งใจขัดเกลามาแรมปี

แผนดั้งเดิมของปราการหลิงหยวนคือการที่ส่งลูกศิษย์ของพวกเขาไปต่อกรกับเย่เย่ หากเย่เย่ฝ่าฟันมาถึงรอบที่ 3 ได้ อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่คิดไม่ฝันว่าเย่เย่จะสำแดงพลังของตัวเองมาตั้งแต่รอบแรก และหลังจากนั้นยังฆ่าจินหยูอีกด้วย ซึ่งทำให้แผนการของพวกเขานั้นล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่า

โชคยังดีที่โจวซง หัวหน้าของปราการหลิงหยวนได้ส่ง เฉิงเทียนหนานไปประมือกับเย่เย่ในรอบที่ 3 ซึ่งเป็นความหวังสุดท้ายในการกำจัดเย่เย่ในการงานประลองหลิงหยวนครั้งนี้ ถ้าเฉินเทียนหนานปราชัยต่อเย่เย่แล้ว ผลลัพธ์ที่พวกเขาวางแผนกันมาเป็นอย่างดีจะไร้ค่าไร้ความหมายในทันที อย่างไรก็ตามผู้ท้าประลองในงานประลองนี้ไม่มีใครรวบรวมความกล้ามากพอที่จะต่อกรกับเฉินเทียนหนานผู้แข็งแกร่งนอกไปเสียจากเย่เย่อีกแล้ว

การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของเฉินเทียนหนานในการประลองหลินหยวน สร้างความหวาด กลัวภายในจิตใจของผู้ท้าประลองทั่วทุกสารทิศ สายตาทุกคู่จับจ้องมาที่เขาก่อนที่การประลองรอบที่ 2 จะเริ่มต้นขึ้น

จากการตายของจินหยูโดยเงื้อมมือของเย่เย่ ทำให้ผู้คนต่างเริ่มสนใจการประลองของเย่เย่มาก กว่ารอบแรกเป็นเท่าตัว ความคิดของเหล่าผู้ชมที่ว่าเย่เย่เป็นม้านอกสายตาสำหรับพวกเขาตอนนี้ได้กลับตาลปัตรอย่างสิ้นเชิง

ในการแข่งขันรอบที่ 2 นั้นไม่มีผู้ใดจากผู้เข้าประลองทั้ง 3 คน โค่นเย่เย่ลงได้เลย และดูเหมือนว่าทั้ง 3 คนนี้ไม่ได้เป็นศิษย์แห่งปราการหลิงหยวนเลยด้วยซ้ำ กระนั้นผู้ท้าทายคนแรกของเขาไม่ได้อ่อนปวกเปียกอย่างที่เขาคิดเอาไว้ เพราะเขาคนนั้นคือ หยูฉิงฉิง ศิษย์ชั้นสูงแห่งสำนักฉิงเซีย หนึ่งใน 5 ขั้วอำนาจแห่ง หลิงเฉิง ถึงกระนั้นพลังของเขานั้นไม่ได้ต่างอะไรกับคนอื่นๆภายในสำนักมากนัก ทำให้เย่เย่เอาชนะเขาไปอย่างไม่ยากเย็นโดยที่ไม่จำเป็นเผยไพ่ตายของเขาอย่างฝ่ามือพิโรธให้เห็นแต่อย่างใด

การประลองรอบถัดๆมา คู่ประลองของเย่เย่ที่เหลือเมื่อเห็นว่าตนต้องมาเจอกับอะไรก็ยอมแพ้แต่โดยดี ทำให้ชื่อเสียงของเย่เย่นั้นดังกระฉ่อนจากเดิมยิ่งขึ้นไปอีก แต่ไม่มีผู้ชมหน้าไหนกล้าพอที่จะเดิมพันข้างเย่เย่ในรอบถัดไปแม้แต่คนเดียว…