ตอนที่ 520 - พูดแทนตัวเอง

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ【之全能大師 】

Ep.520 – พูดแทนตัวเอง 

 

 

  

 

 

ปืนสลายอนุภาคยิ่งระดับสูง พลังทำลายล้างยิ่งมาก อานุภาพของมันแน่นอนว่าทรงพลัง ถึงกระนั้น มันก็ยังมีข้อเสียใหญ่หลวงอยู่อย่างหนึ่ง 

 

 

  

 

 

นั่นคือหากมิใช่ในกรณีถึงคราววิกฤต อย่างอาจตกตายไปด้วยกันจริงๆ มิสมควรยกมันขึ้นมาใช้โดยเด็ดขาด 

 

 

  

 

 

นั่นเพราะ ราคาของเจ้าสิ่งนี้ มันแพงจนไม่คุ้มค่า 

 

 

  

 

 

ปืนสลายอนุภาคของฉินเฟิง แต่ละนัด มีมูลค่าเทียบเท่ากับเงิน 50 ล้าน ห้านัดเมื่อครู่ เทียบเท่ากับ 250 ล้าน แต่ฉินเฟิงกลับยิงมันแบบตาไม่กระพริบ 

 

 

  

 

 

‘เจ้าหมอนี่ ถ้าไม่ใช่คนบ้า ก็คงเป็นเศรษฐีมั่งคั่ง!’ 

 

 

  

 

 

ฝูงชนพึมพำ แต่มุมมองที่มีต่อฉินเฟิง กลับกลายเป็นความยำเกรง เพราะแม้การยิงเมื่อครู่จะเป็นเรื่องบ้าสำหรับพวกเขา แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ ว่าการต่อสู้ที่เพิ่งจบไป มันเท่มากจริงๆ เจนจัด หล่อซะไม่มี 

 

 

  

 

 

ฉินเฟิงลดระดับฮอลศึกลงบนลานกว้างขนาดใหญ่ ฮอลศึกลำอื่นๆที่ไล่ตามมาตลอดจากเบื้องหลัง มาถึงในเวลาเดียวกัน 

 

 

  

 

 

คนอื่นๆที่ตามมาสมทบ เมื่อย้อนนึกไปถึงฉากก่อนหน้านี้ ที่ฉินเฟิงจัดการอินทรีย์ยักษ์โบราณเกือบ 20 ตัวก็อดรู้สึกหวาดๆในตัวเขาไม่ได้ แต่นั่นก็แค่ชั่วขณะ ไม่นานความรู้สึกนั้นก็หายไป 

 

 

  

 

 

เพราะสงครามชายแดนเป็นเรื่องเร่งด่วน การต่อสู้จำเป็นต้องอาศัยสมาธิและห้วงอารมณ์ที่สงบนิ่ง มันไม่สำคัญว่าคนอื่นๆจะสังหารสัตว์ร้ายได้อย่างไร แต่สิ่งสำคัญคือการปกป้องบ้านเมืองของตนเอง 

 

 

  

 

 

ช่วงเวลานี้ บางคนยังเกิดความรู้สึกชื่นชมในความเด็ดขาดและทรงพลังของฉินเฟิง 

 

 

  

 

 

“ทุกคน ลงจากฮอลศึกได้แล้ว” เสียงฉินเฟิงดังขึ้น 

 

 

  

 

 

ผู้คนในห้องโดยสาร สะดุ้งตื่นจากห้วงฝัน 

 

 

  

 

 

ณ ขณะนี้พวกเขาถึงค่อยสังเกตว่า ประตูฮอลศึกเปิดออก และลงจอดเรียบร้อยแล้ว 

 

 

  

 

 

“อา โทษที โทษที” 

 

 

  

 

 

“จริงสิน้องชาย ทักษะในการใช้ปืนของนายไม่เลวเลย จากนี้สนใจมาร่วมทีมกับฉันไหม?” 

 

 

  

 

 

“เฮ้ เฮ้ พวกเราเดินทางมาด้วยกันไม่ใช่หรอ? แล้วนายลืมชวนฉันได้ยังไง?” 

 

 

  

 

 

ทุกคนต่างประทับใจในฝีมือของฉินเฟิง เลยเป็นธรรมดาที่อยากร่วมสู้ไปด้วยกัน 

 

 

  

 

 

หากได้รับความช่วยเหลือจากมือปืนเช่นเขา มันต้องสามารถสังหารสัตว์ร้ายจำนวนมากได้แน่ๆ 

 

 

  

 

 

“เอาล่ะๆ ทุกคน อันดับแรกช่วยลงจากฮอลศึกก่อน ผมจำเป็นต้องเก็บมัน” 

 

 

  

 

 

ไม่รั้งรอ ฉินเฟิงออกจากที่นั่งคนขับ ผู้ใช้พลังคนอื่นๆเลยไม่อาจอยู่ต่อได้ พากันเดินลงไป 

 

 

  

 

 

ฉินเฟิงวาดมือ เก็บฮอลศึกลงพื้นที่มิติโดยตรง 

 

 

  

 

 

หลังจากเก็บเมฆคราม ภายในฮอลศึกลำอื่นๆที่มาถึง ประตูห้องโดยสารก็ทยอยเปิดออกทีละบาน ทีละบาน ผู้คนก้าวเดินลงมา 

 

 

  

 

 

“มิน่าเล่า ที่แท้ก็เป็นฉินเฟิงนี่เอง!” เลเวล B คนหนึ่งมองไปทางฉินเฟิง พึมพำในหัวใจ  

 

 

  

 

 

อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าทุกคนจะรู้จักฉินเฟิง มีหลายคนที่ยุ่งมากๆ จนไม่มีเวลาได้ไปดูงานประลองลูกรักของพระเจ้า  

 

 

  

 

 

“คุณจะไม่รับหน้าที่คอยยิงสกัดจากบนฟ้าหรือ? ทำไมถึงเก็บฮอลศึกล่ะ” คนที่ร่วมเดินทางมากับเมฆครามเอ่ยถามฉินเฟิง 

 

 

  

 

 

“เรื่องนั้นปล่อยให้คนอื่นจัดการดีกว่า” ฉินเฟิงตอบตามตรง 

 

 

  

 

 

ยังไงก็ตาม คำเหล่านี้ เห็นได้ชัดว่าไม่อาจตอบสนองต่อความอยากรู้อยากเห็นของคนอื่นได้ 

 

 

  

 

 

“อ้าว ฮีโร่ต้องไม่ปรากฏตัวแค่เพียงครั้งเดียวสิ สงครามยังไม่จบนะ หรือว่าฮอลศึกหมดพลังงานแล้ว?” 

 

 

  

 

 

“เรื่องนั้นช่างมันเถอะน่า ว่าแต่นายดัดแปลงฮอลศึกเมฆครามแบบไหนกัน?” 

 

 

  

 

 

“ใช่ ฉันอยากจะซื้อมันบ้าง” 

 

 

  

 

 

เมื่อถูกถามคำถามนี้ ฉินเฟิงไม่คิดตระหนี่คำพูด ยอมเฉลยมันออกมาอย่างว่าง่าย “หลังสงครามจบลง พวกคุณสามารถไปยังกลุ่มเฟิงหลี และทำการดัดแปลงมันให้เป็นแบบเดียวกับเมฆครามได้” 

 

 

  

 

 

“กลุ่มเฟิงหลี?” 

 

 

  

 

 

“ฉันไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนเลยแฮะ” 

 

 

  

 

 

“อา! ฉันรู้จักมัน! ฉันเคยเห็นโฆษณาผ่านๆเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา” 

 

 

  

 

 

บางคนที่รู้จักฉินเฟิง อยากจะหัวเราะแต่ก็ไม่กล้าหัวเราะ เพราะฉินเฟิงผู้นี้ เห็นเป็นคนเด็ดขาด เคร่งขรึม แต่พอถึงเวลา กลับเสนอขายของ ประกาศศักดากลุ่มเฟิงหลีซะงั้น อย่างไรก็ตาม เมื่อลองย้อนคิดไปถึงประวัติความเป็นมาของฉินเฟิง ทุกคนก็รู้สึกว่านี่สมเหตุสมผล เพราะไม่ใช่ว่าฉินเฟิงคนนี้ คือคนที่สามารถยึดเมืองลอยฟ้าของเผ่ากริมหรอกหรือ? และกลุ่มเฟิงหลีเอง ก็ยังขายอาวุธปืนที่พัฒนามาจากมัน! 

 

 

  

 

 

มือปืนทุกคนในบรรดาฝูงชน จดจำเรื่องนี้เอาไว้อย่างลับๆ และตัดสินใจจะไปดัดแปลงฮอลศึกของตนในภายหลัง ผู้ใช้พลังบางคนที่ได้ยินก็ตั้งใจจะไปซื้อฮอลศึกของกลุ่มเฟิงหลีบ้าง และขอดัดแปลงในด้านความเร็ว จะได้สามารถหนีในทุ่งล่าได้ 

 

 

  

 

 

รักษาชีวิตรอดเป็นยอดดี! 

 

 

  

 

 

ในตอนนั้นเอง เสียงคำรามจากระยะไกล ดังสะท้อนเข้ามา ฝูงชนที่กำลังสนทนา ไม่มีเวลาสนใจถามรายละเอียดอีกต่อไป ส่วนใหญ่มุ่งหน้าตรงไปยังกำแพงชายแดนทันที บางส่วนกลับไปขับฮอลศึก แล้วคอยช่วยสนับสนุนจากเบื้องบน 

 

 

  

 

 

ที่นี่อยู่ห่างจากแนวกำแพงราวๆ 100 เมตร! 

 

 

  

 

 

ฉินเฟิงกับไป๋หลีเดินเคียงข้าง ก้าวเท้าไปด้วยกัน เพียงชั่วพริบตา ทั้งสองก็กลายเป็นผู้นำทุกคนอีกครั้ง 

 

 

  

 

 

แน่นอน ว่าฉินเฟิงไม่ได้คิดแสดงพลังอันยิ่งใหญ่ของเขา เพียงแต่เขาว่องไวมาก เพียงระเบิดออกด้วยเทคนิคก้าวมังกร ก็ไม่มีใครสามารถตามได้ทัน 

 

 

  

 

 

ผู้ใช้พลังเลเวล C บางคนเมื่อเห็นฉากนี้ บังเกิดความรู้สึกเหลือเชื่อ ในขณะที่เลเวล B ไม่คิดแข่งขันอีกต่อไป เพราะทั้งหมดรู้ดีว่าฉินเฟิงคือใคร 

 

 

  

 

 

อย่างไรก็ตาม กลับบังเกิดความอยากรู้อยากเห็นขึ้นในหัวใจของพวกเขา 

 

 

  

 

 

‘ก่อนหน้านี้ ฉินเฟิงได้รับรางวัลมากมายจากหุบเหวตอนเหนือ ฉันอยากจะเห็นจริงๆ ว่าเขาแข็งแกร่งถึงขนาดไหน’ 

 

 

  

 

 

‘ได้ยินมาว่าฉินเฟิงคนนี้ทรงพลัง แต่จะทรงพลังถึงขนาดไหนกันนะ?’ 

 

 

  

 

 

‘ถ้าฉินเฟิงเป็นเหมือนกับในบันทึกหุบเหวตอนเหนือจริงๆล่ะก็ กองทัพสัตว์ร้ายในครั้งนี้ เกรงว่าแค่อาศัยเขาเพียงลำพัง ก็น่าจะสยบมันได้’ 

 

 

  

 

 

แน่นอน แม้ผู้คนจะคิดเช่นนั้น แต่ฉินเฟิงไม่ได้คิดเหมือนกับพวกเขา อาศัยความแข็งแกร่งเพียงลำพัง มิอาจต่อกรกับกองทัพศัตรูได้ เพราะพลังของคนๆเดียว อย่างไรย่อมมีจำกัด 

 

 

  

 

 

บทบาทที่สำคัญของผู้แข็งแกร่ง ยามอยู่ท่ามกลางกองทัพสัตว์ร้าย คือลดทอนการสังหารของพวกมัน ช่วยให้ฝั่งเดียวกันรอดชีวิตต่างหาก  

 

 

  

 

 

การดำรงอยู่ของตัวตนทรงพลัง หน้าที่ของพวกเขาในยามสงคราม มิใช่สำแดงอำนาจ แต่คือไม่ปล่อยให้คนอ่อนแอถูกเข่นฆ่า! 

 

 

  

 

 

ด้วยวิธีนี้ จึงจะสามารถมีชัยเหนือสมรภูมิได้อย่างแท้จริง 

 

 

  

 

 

ฉินเฟิงกระโจนขึ้นมาบนกำแพงอย่างรวดเร็ว ในพริบตา กองทัพสัตว์ร้ายก็ปรากฏสู่สายตาเขา  

 

 

  

 

 

วัวกระหายเลือดสูงกว่า 10 เมตร กำลังอาละวาดไปทั่ว ภายใต้การระดมยิงของปืนใหญ่นับไม่ถ้วน ทำได้เพียงชะลอความเร็วของมัน ปัจจุบันมันเข้ามาใกล้ถึงระยะ 100 เมตรแล้ว 

 

 

  

 

 

ต้องรู้นะว่า ด้วยความสูงของวัวกระหายเลือดตัวนี้ ช่องว่างเพียง 100 เมตร มันแค่ชั่วอึดใจเท่านั้น 

 

 

  

 

 

วินาทีต่อมา พลังสมาธิของฉินเฟิงพลันเร่งเร้า ตามมาติดๆด้วยก้อนเปลวเพลิงขนาดใหญ่ ผุดขึ้นเหนือหัวของเขา 

 

 

  

 

 

เปลวเพลิงขยายตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพียงพริบตา มันก็มีเส้นผ่านศูนย์กลางถึงสิบเมตร ฉากนี้ ราวกับว่ามีดาวเคราะห์ลาวาขนาดเล็กลอยอยู่เหนือหัวของฉินเฟิง 

 

 

  

 

 

“ไปเลยยยย!” 

 

 

  

 

 

ฉินเฟิงชูสองมือขึ้นเหนือหัว ควบคุมดาวเคราะห์ลาวาที่กำลังลุกไหม้น่าหวาดกลัว และขว้างมันออกไป 

 

 

  

 

 

บรึ้ม! 

 

 

  

 

 

บอลไฟลาวา ทุ่มเข้าใส่วัวกระหายเลือดทันที 

 

 

  

 

 

วัวตัวนี้เป็นเพียงราชันย์เลเวล C2 ในขณะที่พลังสมาธิของฉินเฟิงเป็นจักรรพรรดิเลเวล C3 ดังนั้นผลลัพธ์รู้กันเห็นๆ อำนาจระดับจักรพรรดิ กดดันราชันย์ทันที 

 

 

  

 

 

เพียงพริบตา ดาวเคราะห์ลาวา ทุ่มเข้าใส่ราชันย์วัวกระหายเลือดอย่างโหดเหี้ยม ขาของราชันย์วัวจมลึกลงกับพื้น คล้ายกับว่าต้องการจะใช้ท่วงท่านี้ เพื่อลดทอนภาระจากการถูกกดดันให้ถอยหลัง แต่มันยังคงถูกบังคับต่อไปเรื่อยๆ ตลอดเส้นทางที่มันผ่าน เกิดเป็นร่องลึกขนาดใหญ่ ดาวเคราะห์ลาวาแผ่อำนาจอันร้อนแรง แผดเผาสัตว์ร้ายไประหว่างทาง 

 

 

  

 

 

“จังหวะนี้แหละ ช่วยกันโจมตีมัน!” พลปืนทหารชายแดนที่แต่เดิมถูกกดดันอย่างหนัก ร้องตะโกนสุดเสียง มองไปยังการโจมตีจากผู้ใช้อบิลิตี้ที่จู่ๆก็โผล่มาอย่างกะทันหัน 

 

 

  

 

 

แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาตื่นตะลึงพอๆกับดาวเคราะห์ลาวานี้ก็คือ ในสายตาของพวกเขา ผู้ใช้อบิลิตี้อย่างฉินเฟิง กระโดดลงจากกำแพงเมืองอย่างกะทันหัน กระโจนเข้าไปใจกลางกองทัพสัตว์ร้าย! 

 

 

  

 

 

พลปืนเหล่านี้ คล้ายจะเป็นลม 

 

 

  

 

 

‘ผู้ใช้อบิลิตี้คนนี้ บ้าไปแล้วหรือ? เขาจะกระโดดลงไปทำไม? นั่นฆ่าตัวตายชัดๆ!’ 

 

 

  

 

 

คนเหล่านี้ไม่สามารถหยุดฉินเฟิงได้ ทำได้เพียงมองอย่างไร้หนทาง เฝ้าดูเขาจมหายลงไปกลางกองทัพสัตว์ร้าย 

 

 

  

 

 

ยามเมื่อสองเท้าของฉินเฟิงหยั่งลง ฝูงสัตว์ร้ายโดยรอบ ก็ได้กลิ่นอาหารของพวกมันทันที