บุตรอสูรบรรพกาล ตอนที่ 275 แผนยึดครองอาณาจักร
แผนยึดครองอาณาจักรชู
“มารอย่างพวกเจ้า คงหนีไม่พ้นกบดานอยู่ในถ้ํากระมัง” ระหว่างเดินทางข้ามจากอาณาจักรอุมายังอาณาจักรชู อยู่ๆหยงเว่ยก็พูดออกมาลอยๆราวกับพูดอยู่คนเดียว เพียงแต่คําพูดดังกล่าวดันไปกระทบหูมารตนหนึ่งเข้าให้
“ใครบอก พวกข้าน่ะมีปราสาทหลังใหญ่อลังการแถมมีคนคุ้มกันนับพันอีกต่างหาก ไม่ไปฝึกวิชาในถ้ําอย่างเจ้าหรอก”ริษยาว่า พลางส่งเสียงจิจะไม่พอใจกับคําสบประมาทของหยงเว่ย
“เหรอ แล้วปราสาทที่ว่ามันอยู่ไหนล่ะ หรือว่าเป็นปราสารทในจินตนาการของเจ้า” หยงเว่ยหัวเราะพลางมองไปรอบๆ ตอนนี้มันอยู่ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของอาณาจักรชู หารจะคลําหาเส้นทางตาม พวกมารไปนั้นจําเป็นต้องหาเบาะแสเสียก่อน ซึ่งหยงเว่ยก็มียัยปากเปราะยุง่ายอยู่ในร่างอยู่แล้วเสียด้วย
“ไม่ใช่ปราสาทในจินตนาการเสียหน่อย ราคะยึดมันมาจากเจ้าเมืองทิศเหนือ แถมยังเอาคนของเจ้าเมืองมาป้องกันปราสาทด้วย”ริษยาโวยด้วยน้ําเสียงไม่พอใจ แต่พอได้ยินหยงเว่ยกลับยิ้มออกมาพลางมุ่งหน้าไปทางทิศเหนือทันที
ระหว่างที่หยงเว่ยกําลังเดินทางไปยังทิศเหนืออยู่นั้น กลุ่มมารเกือบทั้งหมดก็ไม่ได้อยู่ในที่ๆริษยาบอกอีกแล้ว พวกมันกําลังออกเดินทางเพื่อเข้าไปในวังหลวงของอาณาจักรชูต่างหาก
“เตรียมขบวนแห่มาซะยิ่งใหญ่แบบนี้เจ้าจะทําอะไรกันแน่อัตตา”ตะกละชายร่างอ้วนที่นั่งอยู่บนรถม้าถาม พลางมองกลุ่มทหารนับหมื่นคนที่กําลังเดินทางเข้าเมืองหลวงพร้อมเหล่ามารที่นั่งอยู่บนเกี้ยวอย่างกับราชา
“มันเป็นข้อตกลงของข้ากับราคะ” อัตตาชายในชุดคลุมหรูหรา พูดพลางนั่งอย่างสง่าผ่าเผยบนเกี้ยวที่มีคนหามร่วม 30 คน หากบอกว่าพวกมันเป็นคณะเดินทางของราชาอาณาจักรใดอาณาจักรหนึ่งก็ยังดูน่าเชื่อถือเลย
“อ๋อ แบบนี้นี่เอง” ตะกละพยักหน้าเข้าใจพลางล้วงมือเข้าไปในรถม้าที่ตนนั่งมา ก่อนจะเอาของกินออกมานั่งเคี้ยวเล่นระหว่างเดินทาง ดูเหมือนว่าอัตตาจะอยากเป็นราชาของอาณาจักรชู ก็เลยร่วมมือกับราคะเพื่อสร้างกองทัพขึ้นเพื่อเข้ายึดวังหลวงของอาณาจักรชู
“มิน่าล่ะเจ้าถึงเลือกร่างนั้น แผนสูงจริงๆนะ” โลภะที่นั่งมาด้วย พูดพลางส่ายหน้าช้าๆ มันไม่ได้มาร่วมมือกับอัตตาเพราะหวังบัลลังก์อะไรหรอก แต่มันอยากจะเข้าไปในคลังสมบัติของราชวงศ์ชูดูเท่านั้นเอง คราวก่อนพวกมันไปบุกวัดในอาณาจักรอู๋ ในคลังแทบไม่มีสมบัติอะไรเลย ดีที่มีรูปปั้นหยกเยอะหน่อยมันเลยพอได้กําไรบ้าง หากไม่ใช่เพราะวัดแห่งนั้นมีตํารามารเยอะมาก พวกมันคงไม่ลงแรงไปด้วยกันถึง 3 ตนแบบนี้แน่ๆ
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น” ทางฝั่งจักรพรรดิแห่งอาณาจักรซูเมื่อเห็นกองทัพเดินทางเข้ามาในเขตวังหลวงก็พลันเกิดความหวาดระแวงทันที ข่าวการยึดครองอาณาจักรของอาณาขจักรอู๋และอาณาจักรชูพึ่งถูกส่งออกไปข้างนอก หรือว่าอาณาจักรอื่นจะมาบุกตีเพื่อลดทอนอํานาจของอาณาจักรชูกัน?
“องค์จักรพรรดิ พวกมันเป็น..” หัวหน้าองครักษณ์พูดพลางเพ่งมองผ่านกล้องส่องทางไกลด้วยท่าทีตื่นตะลึง มันเป็นกองทัพของอาณาจักรใด ทําไมหัวหน้าองครักษณ์ถึงตื่นตระหนกเช่นนั้น
“พวกมันเป็นยอดฝีมือของเราขอรับ”ได้ยินที่หัวหน้าองครักษณ์ตอบ แม้แต่องค์จักรพรรดิก็แสดงสีหน้างุนงงเช่นกัน หลังจากได้รับฟังที่หัวหน้าองครักษณ์รายงานรายชื่อของยอดฝีมือทีละคนๆ ดวงพระพักตร์ขององค์จักรพรรดิก็ยิ่งหมองซีดลงทุกที ในกองทัพที่กําลังเดินทางมายังวังหลวง ปรากฏยอดฝีมือของทางเหนือในอาณาจักรชูเองมากมาย แถมส่วนใหญ่ยังเป็นยอดฝีมือที่จงรักพักดีกับราชวงศ์ของอาณาจักรชูมาอย่างยาวนาน แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่พวกนั้นจะคิดทรยศ
“นี่มันอะไรกัน ข้าทําอะไรผิดงั้นหรือ”องค์จักรพรรดิพูดด้วยสีหน้าราวกับจะร้องให้ หลังจากร่วมมือกับอาณาจักรอู๋ การแก้ปัญหาเรื่องเสบียงอาหารก็จบลง พอการค้าระหว่างอาณาจักรอู๋และชูเปิดออก สภาพความเป็นอยู่ของชาวบ้านก็ดีขึ้นมาก ยิ่งทางเหนือนั้นยิ่งแล้วใหญ่ สภาพขาดแคลนอาหารก่อนหน้านี้แทบจะหายไปแล้ว แล้วทําไมคนของมันถึงยังรวมตัวกันเดินทางมายังเมืองหลวงอีก หรือพวกมันไม่พอใจที่จักรพรรดิแห่งอาณาจักรชูก้มหัวให้จักรพรรดิแห่งอาณาจักรอู๋กัน?
“องค์จักรพรรดิ ทําเช่นไรดี” หัวหน้าองครักษณ์ถามพลาง เก็บกล้องส่องทางไกลลง
“ปล่อยพวกมันเข้ามา ข้าอยากทราบว่าพวกมันต้องการอะไร”องค์จักรพรรดิตอบด้วยท่าที่นิ่งเรียบ รายชื่อยอดฝีมือที่ร่ายมาก่อนหน้านี้คือเหล่ายอดฝีมือครึ่งอาณาจักรชูเลยก็ว่าได้ กองกําลังในเมืองหลวงตอนนี้ไม่มีทางร้านรับได้เลย ต่อให้ส่งจดหมายเรียก แล้วยอดฝีมืออีกครึ่งอาณาจักรมาทัน ก็ยังไม่ทราบว่าจะชนะได้หรือไม่
ตึงตึง… กองมทัพของเหล่ามารหยุดลงที่หน้าวังหลวง เพียงแต่พวกมันไม่จําเป็นต้องบุกเข้าวังหลวงแต่อย่างไร เพราะเป้าหมายของพวกมันอยู่ตรงหน้าประตูหวังหลวงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“องค์จักรพรรดิแห่งอาณาจักรชู นายของข้าต้องการพบท่าน” ชายคนหนึ่งที่เคยเป็นยอดฝีมือของอาณาจักรชูพูดพลางชี้หน้าองค์จักรพรรดิอย่างไม่ให้เกียรติอย่างเห็นได้ชัด
“ให้นายของเจ้าออกมา”องค์จักรพรรดิว่าพลางมองกองทัพตรองหน้า พวกมันมีรถมาหลายคันรวมทั้งเกี้ยวแห่จํานวนหนึ่ง ไม่ทราบว่าหัวหน้าของพวกมันอยู่บนเกี่ยวไหนกันแน่
ตึง! เกี้ยวของอัตตาถูกแบกมาวางเบื้องหน้าองค์จักรพรรดิ ก่อนที่อัตตาจะเดินลงมาจากเกี้ยวที่มีผ้าสีดําปิดเอาไว้จนมิดชิด
………..” ทันทีที่อัตตาเดินลงมาจากเกี้ยว องค์จักรพรรดิและเหล่าขุนนางต่างตกตะลึงจนลืมหายใจ มันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นคนผู้นี้กลับมาอีกครั้ง
“ชูเฟิง” องค์จักรพรรดิหลั่งน้ําตามองใบหน้าของชูเฟิง บุตรชายที่คิดว่าตายจากไปแล้วด้วยท่าที่งุนงง มันจําได้ดี ชูเฟิงตายไปตอนพิธีอภิเษกของมันกับอู๋ซูหลาน ตัวมันพาร่างของชูเฟิงไปไว้ที่สุสานน้ําแข็งของอาณาจักรชูด้วยตนเอง หากร่างนี้เป็นร่างจําแลง ร่างขององค์ชายชูเฟิงสมควรนอนไร้วิญญาณอยู่ในก้อนน้ําแข็งสิถึงจะถูก
“เป็นไปไม่ได้ องค์ชายกลับมาได้อย่างไร” เหล่าขุนนางเอกก็สุนงงไม่แพ้กัน ชูเฟิงตายต่อหน้าทุกคน ไม่มีใครคาดคิดว่าจะได้เจอมันอีกแน่ๆ
“ลูกพ่อ เจ้าเกิดอะไรขึ้น” องค์จักรพรรดิถามพลางมองร่างของชูเฟิงด้วยท่าที่ปลื้มปริ่ม แม้อาณาจักรจะสงบแล้ว แต่เรื่องการเสียบุตรชายก็ไม่เคยหายไปจากใจขององค์จักรพรรดิเลย การได้เห็นลูกชายมายืนตรงหน้านั้นนับว่าน่าตื่นตันอย่างมาก
“จริงๆแล้วในวันนั้นข้าไม่ได้ตายขอรับเสด็จพ่อ” อัตตาในร่างของชูเฟิงตอบ พลางยิ้มบางๆราวกับเรื่องที่มันกําลังเล่าเป็นเรื่องจริงแท้แน่นอน
“ข้ารอดชีวิตมาได้เพราะสหายของข้าช่วยเอาไว้ ข้าอยากให้ท่านพ่อได้พบนาง” ชูเฟิงพูดพลางมองไปบนเกี้ยวซึ่งมีร่างของหญิงงามคนหนึ่งนั่งอยู่ เมื่อชูเฟิงกล่าวถึงนาง ราคะก็ลุกขึ้นพลางเดินลงมาจากเกี้ยวอย่างช้าๆ เรือนร่างบอบบางและกลิ่นอายน่าหลงไหลของนางแผ่ซานไปทั่วบริเวณ ทําเอาเหล่ายอดฝีมือและขุนนางต่างมองนางด้วยสายตาเคลิ้มฝันไปชั่วอึดใจ
“องค์จักรพรรดิ ยินดีที่ได้พบเพคะ” ราคะพูดด้วยท่าที่อ่อนโยน พลางยิ้มหวานน้อยๆ
“เจ้าคือสหายของชูเฟิงหรือ” องค์จักรพรรดิถามด้วยท่าที่เก้ๆกังๆ ความงามของราคะไม่ใช่เพียงงาม แต่กลับมีเสน่ห์ยั่วยวนบางอย่างแผ่ออกมาตลอดเวลาด้วย
“เพคะ ข้าพาชูเฟิงกลับมาเพื่อทวงคืนบัลลังก์ของมัน”ได้ยินที่ราคะพูด องค์จักรพรรดิกลับไม่มีท่าทีแปลกใจอะไรเลย มันพยักหน้าช้าๆพลางยิ้มออกมา
“แน่นอน ในเมื่อชูเฟิงกลับมาแล้ว บัลลังก์ก็ยังคงเป็นของมัน” องค์จักรพรรดิว่าพลางยิ้มกว้าง ทําให้ราคะเองก็ยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจเช่นกัน ความจริงกองทัพวกนี้ไม่ได้จําเป็นอะไรเลย ขอแค่มีร่างของชูเฟิงและความสามารถของราคะ การทวงคืนบัลลังก์ก็ง่ายราวพลิกฝ่ามือ
“ที่นี่สินะ” ขณะที่พวกอัตตาเดินทางไปทวงบัลลังก์ ร่างของหยงเว่ยก็เดินทางมาถึงเมืองทางเหนือของอาณาจักรชูเสียที แม้จะได้พลังจากริษยามาเพิ่ม แต่การเดินทางด้วยวิชาตัวเบาก็สิ้นเปลืองแรงไม่น้อยเลย บางทีมันควรจะขอมังกรบินจากไป๋จูเหวินมาช่วยสักตัว ไม่มันไม่อยากไปรบกวนไป๋จูเหวินให้มากกว่านี้
“ไม่ใช่นะ ไม่ใช่ที่นี่สักหน่อย ใครบอกเจ้ากันว่าที่นี่คือปราสาทที่พวกข้าใช้นะ”ริษยายังคงโวยวายอยู่ในหัวของหยงเว่ย แม้นางจะโดนหลอกถามมาตลอดทางแล้วก็ตาม
“ไม่ใช่งั้นเหรอ มิน่าล่ะมันถึงดูเล็กแล้วก็คับแคบจริงๆ” หยงเว่ยหัวเราะพลางกระโดดลงจากหน้าผาเพื่อตรงไปยังเมืองที่ปราสาทของพวกมารตั้งอยู่
“เจ้ากล้าบอกว่าปราสาทหลังนี้เล็กงั้นเหรอ เจ้ารู้เอาไว้นี่คือปราสาทที่ใหญ่ที่สุดในภาคเหนือของอาณาจักรชูเชียวนะ ภายในมีห้องนับร้อย แม้แต่ห้องเพียงห้องเดียวก็ใหญ่กว่าบ้านของเจ้าอีก”ริษยาโวยวายโดยไม่ได้สํานึกเลยว่าตนเองพูดอะไรออกไปบ้าง ทําเอาหยงเว่ยและโทสะส่ายหัวด้วยความเหนื่อยใจก่อนที่หยงเว่ยจะเข้าไปในปราสาทอย่างง่ายดาย
“ไหนเจ้าว่ามีคนเฝ้าเป็นพันๆไง นี่ข้าไม่เห็นมีใครอยู่สักคน” หยงเว่ยว่าพลางมองไปรอบๆ ปราสาทถูกปล่อยทิ้งร้างราวกับไม่มีใครอยู่อาศัย ไม่มีคน ไม่มีทหาร ไม่มีแม้แต่มาร..
“ไม่สิ” หยงเว่ยชะงักเท้าไปครู่หนึ่ง หลังจากสัมผัสถึงพลังมารที่ไหลออกมาจากประตูปราสาท ท่าทางปราสาทจะไม่ได้เงียบเหงาอย่างที่คิด
อีก….หยงเวยดันประตูปราสาทออกไปช้าๆ มันพบเพียงแรงต้านเล็กน้อยเท่านั้นก่อนที่ประตูปราสาทจะเปิดออก แม้มันจะสัมผัสพลังมารสายหนึ่งได้แล้ว แต่ก็สัมผัสได้แค่นั้น มีพลังมารเพียงจุดเดียวเท่านั้นในปราสาทแห่งนี้ แถมมันยังอยู่กลางห้องโถงอีกต่างหาก
“เจ้าเป็นมารที่ทําหน้าที่เฝ้าที่นี่เหรอ” หยงเว่ยถามพลางมองชายหนุ่มร่างกายมอมแมมที่นอนอยู่กลางห้องโถง ปราสาทหลังนี้ตกแต่งอย่างสวยงามทําให้พื้นยังทําจากพรมผืนใหญ่ที่ต่อ ให้นอนเล่นก็ยังสบายอย่าบอกใคร แม้จะแปลกนิดหน่อยที่มานอนกลางห้องโถงโล่งๆก็ตาม
“ข้าเหรอ” ชายหนุ่มถามพลางลุกขึ้นมาด้วยท่าทีขี้เกียจ ผมเผ้าของมันกระเซอะกระเซิงจนดูไม่ได้เลยทีเดียว
“ข้าไม่ได้เฝ้าที่นี่หรอก ข้าแค่ขี้เกียจไปกับพวกอัตตาเฉยๆ” เกียจคร้านตอบพลางเอนตัวลงนอนอีกครั้ง
“แต่เจ้าก็เป็นมารทั้ง 7 สินะ” หยงเว่ยถามพลางสัมผัสพลังมารของอีกฝ่าย พลังมารของเกียจคร้านนั้นพอๆกับริษยา นั่นก็คือมันอยู่ระดับเทียนเซียนขั้นที่ 10 และอาจจะเป็นยอดฝีมือคนหนึ่งเลยก็ว่าได้
“ก็ คงแบบนั้น แต่ถ้าเจ้ามีธุระกับอัตตา ข้าจะไม่ห้ามเจ้าหรอก แล้วก็ไม่อยากยุ่งด้วย”เกียจคร้านว่าพลางพลิกตัวไปฝั่งตรงข้ามกับที่หยงเว่ยยืน ก่อนจะหลับไปทั้งๆแบบนั้น
“ข้ามีธุระกับมารทุกตนนั่นล่ะ” หยงเว่ยว่าพลางเรียกดาบมรกตออกมา พริบตาที่มันฟาดลงไปร่างของเกียจคร้านก็พลันพลิกไปนิดหน่อยจนคมดาบฟันไปไม่ถึงตัวมัน หยงเว่ยเห็นแบบนั้นจึงลงดาบซ้ําไปหลายครั้งแต่เกียจคร้านกลับพลิกตัวหลบแถมยังนอนต่อได้หน้าตาเฉย
“อย่ากวนใจข้านักเลย ข้าอยากจะนอนต่อ” เกียจคร้านว่าพลางลุกขึ้นนั่งช้าๆ ในมือของมันปรากฏไม้เท้าสีเขียวราวกับทําจากไม้ไผ่หนึ่งด้ามค่อยๆยันตัวเองให้ลุกยืน แต่ถึงจะลุกมาแล้วมันก็ยังมีท่าทีเซื่องซึมราวกับคนนอนหลับกลางอากาศอยู่ดี