บทที่ 1592+1593

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 1592 ข้าจะต้องได้รับคำอธิบายสำหรับเรื่องนี้

สองพี่น้องสบตากันแวบหนึ่ง ระหว่างที่ดื่มสุราอยู่ในห้องรับรองเช่นนี้มีจอกสุราตกแตกบ้างก็เป็นเรื่องธรรมดายิ่งนัก ไม่จำเป็นต้องตระหนกตกใจเลย

หลัวจั่นอวี่เงี่ยหูฟังครู่หนึ่ง ห้องข้างคล้ายว่าจะมีเสียงคนอยู่จำนวนหนึ่ง ดูเหมือนจะมีคนหกเจ็ดคนกำลังดื่มสุรากัน

เขาถอนหายใจอย่างโล่งอก เอ่ยขึ้นว่า “จิ่วเอ๋อร์ เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่? บอกพี่ได้นะ น้องสาวของพี่ไม่มีทางปล่อยให้คนอื่นมารังแกแล้วจากไปได้!”

กู้ซีจิ่วไม่คิดจะทำให้ตัวเองกลายเป็นร่างอวตารของเมียเซียงหลิน[1] พร่ำรำพันถึงความโชคร้ายของตน ดังนั้นเธอเพียงแค่หมุนจอกสุราไปมา “ไม่เป็นไร เพียงแค่จู่ๆ ก็พบว่านิสัยเข้ากันไม่ได้เท่านั้น จากนั้นจึงแยกทางกัน”

เห็นได้ชัดว่าหลัวจั่นอวี่ไม่เชื่อว่าเธอจะเลิกราด้วยเหตุผลสามัญประจำบ้านเช่นนี้ ถามต่อเนื่องกันอีกหลายครั้ง จนปัญญาที่ว่าถ้าเป็นเรื่องที่กู้ซีจิ่วไม่อยากพูด ไม่ว่าเขาจะหลอกถามอย่างไรก็หลอกถามออกมาไม่ได้

หลัวจั่นอวี่ร้อนรนแล้ว “จิ่วเอ๋อร์ ถ้าเจ้ายังไม่พูดอีก พี่จะไปสอบถามที่จวนทูตสวรรค์ด้วยตัวเองแล้วนะ! ข้าจะต้องได้รับคำอธิบายสำหรับเรื่องนี้!”

กู้ซีจิ่วรู้สึกเหนื่อยแล้ว “ท่านต้องการคำอธิบายอันใดเล่า?”

“เจ้า…ถึงแม้พวกเจ้าจะไม่ได้แต่งกันที่โลกภายนอก แต่เจ้าก็ออกเรือนกับเขาในเขตหวงห้ามแล้ว! เขาจะมาบอกว่าเลิกก็เลิกไม่ต้องการเจ้าแล้วได้อย่างไร?!”

“ความหมายที่ท่านจะพูดก็คือ ข้าถูกเขากินมาแปดปีจะให้กินเปล่าๆ ไม่ได้ใช่หรือไม่?” กู้ซีจิ่วหยักยิ้มมุมปาก

หลัวจั่นอวี่คาดไม่ถึงว่าเธอจะพูดออกมาตรงๆ เช่นนี้ ตะลึงงันไปครู่หนึ่ง ไม่เห็นด้วยยิ่งนัก “จิ่วเอ๋อร์!”

กู้ซีจิ่วโบกมือไปมา “พี่ ข้ารู้ว่าท่านหวังดีต่อข้า แต่เรื่องของข้ากับเขาข้าไม่ต้องการให้คนอื่นสอดมือเข้ามายุ่ง ยังมีอีกข้าย้ายร่างแล้ว ยามนี้ร่างนี้ของข้าใหม่เอี่ยมหมดจด ยังบริสุทธิ์อยู่ และครั้งนี้ก็เป็นข้าเองที่บีบให้เขาถอนหมั้น หากว่าเขาไม่ยอมถอนหมั้น ข้าจะรับสวามีข้างตั่ง”

หลั่วจั่นอวี่ตกตะลึง

เขาตาค้างอ้าปากหวอ ผ่านไปพักใหญ่ถึงได้บ่นขึ้นมา “จิ่วเอ๋อร์ ข้าไม่เข้าใจเลยจริงๆ เจ้ารักเขาถึงเพียงนั้น เพื่อเขาแล้วเกือบเอาชีวิตของตนเข้าแลกตั้งหลายครั้ง เขาผิดปกติเพียงเล็กน้อยเจ้าก็กระวนกระวายแทบตายแล้ว เหตุใดจึงบีบให้เขาถอนหมั้นเล่า? นี่ไม่เหมือนตัวเจ้าเลย ที่แท้เกิดอะไรขึ้นกันแน่? ยังมีอีก ย้ายร่างอันใดกัน?”

เขามองพิจารณาเธอตั้งแต่หัวจรดเท้าอีกครา “ข้าเห็นว่าเจ้าดูอ่อนเยาว์ลงกว่าแต่ก่อนอยู่บ้าง แต่พลังยุทธ์ยังคงแข็งแกร่งยิ่งนักนี่ ไม่มีอะไรต่างจากเมื่อก่อนเลย…”

เขาเป็นหมอ คราแรกไม่ได้สังเกต ยามนี้หลังพินิจดูกู้ซีจิ่วอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็มองออกว่านางยังเป็นสาวพรหมจรรย์อยู่จริงๆ

เขาโง่งมไปแล้ว มึนงงดั่งน้ำเข้าสมอง

กู้ซีจิ่วนวดคลึงหว่างคิ้ว เรื่องนี้ถ้าอธิบายขึ้นมาก็ต้องอธิบายกันโขยงใหญ่ ยกตัวอย่างเช่นร่างโคลนนิ่งเอย ทัณฑ์สวรรค์เอย ฐานะเทพศักดิ์สิทธิ์ของตี้ฝูอีเอย บุญคุณความแค้นข้อพิพาทของหลานจิ้งเคอกับตี้ฝูอีเอย…

เรื่องโขยงใหญ่เหล่านี้ถ้าอธิบายขึ้นมาก็ต้องพูดกันอยู่หนึ่งชั่วยาม ตอนนี้เธอเหนื่อยใจแล้ว ไม่อยากอธิบายมากมากถึงเพียงนี้

ยิ่งไปกว่านั้นคือเรื่องของเขากับเธอต่อให้เล่าให้หลัวจั่นอวี่ทราบทั้งหมดแล้ว ก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาอันใดได้ รังแต่จะทำให้คนใกล้ชิดพลอยกลัดกลุ้มไปด้วย

ดังนั้นกู้ซีจิ่วจึงยิ้มแวบหนึ่ง “เอาเถอะ เรื่องนี้ให้สิ้นสุดกันตรงนี้ ข้าไม่อยากพูดถึงมันอีก อ่อ ข้าจำได้ว่าท่านทำขนมกุ้ยฮวาอบชนิดหนึ่งเป็น ข้าอยากกินขนมอบประเภทนั้น เห็นแก่ที่ข้าช้ำรักอยู่ มิสู้ท่านปลอบใจข้าหน่อย ทำให้ข้าสักชุดได้หรือไม่?”

เมื่อเธอกล่าวมาถึงตรงนี้ หลัวจั่นอวี่ก็ไม่สะดวกจะถามต่อแล้ว จึงตัดสินใจว่าจะหาจังหวะไปสอบถามต้นสายปลายเหตุจากตี้ฝูอีโดยตรง

กู้ซีจิ่วคล้ายว่าจะเดาความคิดของเขาออก จึงเอ่ยขึ้นว่า “พี่ หากว่าท่านเป็นห่วงข้าจริงๆ ก็อย่าได้ไปหาเขา ระหว่างข้ากับเขาเป็นไปไม่ได้อีกแล้ว! ท่านไปหาเขามีแต่จะทำให้ข้าลำบากใจกว่าเดิม”

หลัวจั่นอวี่เงียบงัน

“พี่ รับปากข้าสิ! มิเช่นนั้นท่านจะไม่ได้พบหน้าข้าอีกต่อไป! ข้าพูดจริงทำจริงนะ!” กู้ซีจิ่วกล่าวด้วยสุ้มเสียงจริงจัง

————————————————————————————-

บทที่ 1593 จะไม่ยอมถูกคนอื่นเห็นเป็นตัวตลกด้วย

“ได้!” หลัวจั่นอวี่ทำได้เพียงรับปาก

เขาเอ่ยปลอบใจเธอ “จิ่วเอ๋อร์ บนโลกนี้มีบุรุษดีๆ อยู่ถมเถไป! เจ้าก็ไม่ต้องเสียใจจนเกินไปหรอก ด้วยคุณสมบัติของเจ้าขอเพียงอยากหา สามีเช่นใดบ้างเล่าที่อยากได้แล้วจะหาไม่ได้? เขาเสียเจ้าไปเป็นเข้าที่เสียหายแล้ว ชั่วชีวิตนี้เขาจะหาสตรีที่เลิศล้ำเช่นเจ้าอีกไม่ได้แล้ว!”

กู้ซีจิ่วดื่มสุราอึกหนึ่ง ยิ้มนิดๆ “ข้าชอบถ้อยคำนี้! วางใจเถอะ พี่ ก็แค่อกหักครั้งหนึ่งเท่านั้น ข้าจะถือซะว่าเป็นฝันร้าย เมื่อตื่นขึ้นมาแล้วทุกอย่างย่อมดีขึ้น”

พลางกะพริบตาเร่งรัด “รีบไปทำขนมอบสิ!”

หลัวจั่นอวี่ปรับอารมณ์ตามไม่ทันแล้ว

เขายื่นมือไปลูบหัวกู้ซีจิ่ว “มองไม่ออกเลยว่าเจ้าก็เป็นตัวตะกละน้อยผู้หนึ่ง” พลางหันหลังก้าวออกไปทำขนมอบ

กู้ซีจิ่วมองแผ่นหลังเขาหายลับไปที่ปากบันได รอยยิ้มตรงมุมปากค่อยๆ จางลง

เธอเริ่มกินอาหารบนโต๊ะอย่างช้าๆ

ก็แค่อกหักเท่านั้น ฟ้าไม่ได้ถล่มเสียหน่อย เธอจะต้องก้าวข้ามไปให้ได้! ชั่วชีวิตของคนเรา มิได้มีเพียงความรักอย่างเดียว ยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่ควรค่าให้กระทำ

เชื่อว่าอีกไม่นาน เธอจะกลับไปเป็นแม่นางผู้มีจิตใจห้าวหาญคนนั้นได้อีกครั้ง

“ตี้ฝูอี เจ้าไปตายซะ! พี่สาวจะสลัดเจ้าทิ้งไปสุดขอบฟ้า จะไม่จดจำว่าเจ้าสลักสำคัญอันใดอีกแล้ว! เธอหยักยิ้มมุมปาก” งับอาหารอย่างดุดัน!

ถึงแม้ตอนนี้จะไม่มีความอยากอาหาร ถึงขั้นที่ชิมรสชาติของอาหารไม่ออกด้วยซ้ำ แต่เธอก็พยายามกินพยายามกลืนอย่างเต็มที่ พยาพยามจุนให้ตัวเองมีสุขภาพแข็งแรง

จะไม่ทำให้ตัวเองทุกข์ระทมเหมือนเมียเซียงหลินเด็ดขาด! จะไม่ยอมถูกคนอื่นเห็นเป็นตัวตลกด้วย!

เธอกระตุ้นตัวเองให้กระปรี้กระเปร่า เริ่มเคลื่อนทัพเข้าหาอาหารโอชะเหล่านั้น

….

เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าเป็นตอนกลางวัน ทว่าที่นี่กลับมีแสงดาวเจิดจ้าแยงตา

ตี้ฝูอีนั่งอยู่บนแท่นชมดาว ครั้งนี้เขาไม่ได้ชมดาวเฉกเช่นที่ผ่านมา แต่กำลังมองดูลูกแก้วขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางโต๊ะภายในห้องโถง บนลูกแก้วคล้ายมีแสงมงคลรายล้อมอยู่ ภาพแต่ละฉากค่อยๆ ฉายขึ้นบนนั้น เป็นร้านอาหารบำรุง เป็นกู้ซีจิ่วกับหลัวจั่นอวี่…

สีหน้าเขาซีดขาวจนแทบโปร่งแสงแล้ว นั่งนิ่งอยู่ตรงนั้นดั่งซากหินบรรพกาล สายตาไม่ละไปจากลูกแก้วนั้นเลยสักชั่วขณะ

ความจริงแล้วบนลูกแก้วฉายเพียงภาพเท่านั้น ไม่มีเสียง

แต่เขายังคงอ่านรูปปากของพวกเขาออกว่าพวกเขาคุยอะไรกัน

ช่วงสุดท้ายที่กู้ซีจิ่วพูดกับตัวเองดูคล้ายจะเด็ดเดี่ยวยิ่งนัก ทำให้เขายกมุมปากขึ้นอย่างห้ามใจไว้ไม่อยู่ ยิ้มอ่อนๆ

แต่แล้วรอยยิ้มจางๆ นั้นก็เลือนหายไป นิ้วมือเขาลูบลงบนลูกแก้วเบาๆ ราวกับกำลังลูบศีรษะของนางผู้เป็นที่รักอยู่ “ซีจิ่ว ขออภัยด้วย…”

เมื่อเขาลุกขึ้นยืนเบื้องหน้าพลันมืดมิด ส่ายโงนเงนเล็กน้อย ภาพบนลูกแก้วที่ต้องใช้พลังวิญญาณเกื้อหนุนอยู่ตลอดพลันเลือนหายไป

เขายืนอยู่ที่เดิมครู่หนึ่ง รอให้ความรู้สึกวิงเวียนนั้นหายไปแล้ว ถึงได้ก้าวออกมา

มู่เฟิงก้าวเข้ามาหา “นายท่าน”

เขามองเจ้านายของบ้านตนอย่างเป็นกังวล หลังจากท่านเทพศักดิ์สิทธิ์กลับมาจากใต้สมุทร สีหน้าก็ซีดเซียวยิ่งนักอยู่ตลอด ท่าทางเหมือนได้รับบาดเจ็บสาหัสมา

หลังจากกลับมาก็ไม่ได้กักตนฟักฟื้น สั่งการให้เขาไปจัดการเรื่องบางอย่างจากนั้นก็เข้าไปขลุกอยู่ในโถงชมดาวแห่งนั้น จวบจนยามนี้ถึงได้ออกมา

ผ่านมาสองวันแล้ว สีหน้าของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ยังคงดูไม่มีสีสันเลย ดูเหมือนจะซีดเซียวยิ่งกว่าเก่าด้วย…

“นายท่าน นายต้องการพักผ่อนสักหน่อยไหมขอรับ?” มู่เฟิงถามอย่างอดไม่อยู่

ตี้ฝูอีส่ายหน้า “ไม่ต้อง ข้ารู้ตัวดี ไม่ได้เป็นอะไร ไม่จำเป็นต้องพักผ่อน ใช่แล้ว เผ่าจิ้งจอกครามมีความเคลื่อนไหวอะไรไหม?”

มู่เฟิงกล่าวตอบ “หลานเยวี่ยแห่งตระกูลจิ้งจอกครามได้พาหลานไว่หูกลับไปที่เผ่าจิ้งจอกครามแล้วขอรับ จัดการหารือเรื่องงานวิวาห์แล้ว ยามนี้ทั้งเผ่าของเขากำลังจัดเตรียมงานวิวาห์อยู่”

————————————————————————————-

[1] เมียเซียงหลิน เป็นตัวละครหญิงในบทประพันธ์ของหลู่ซวิ่นนักเขียนชื่อดัง เนื้อเรื่องคือสามีของนางสิ้นชีพ ครอบครัวฝั่งสามีบังคับให้นางแต่งงานใหม่ นางจึงหนีไปทำงานที่บ้านสกุลหลูและได้แต่งงานใหม่ ต่อมาสามีใหม่เสียชีวิตนางจึงต้องกลับไปที่บ้านสกุลหลูอีกครั้ง สกุลหลูรังเกียจที่นางเป็นม่ายสามีตายถึงสองครั้ง จึงมอบเงินให้นางและขับไล่ออกไปวันขึ้นปีใหม่ สุดท้ายนางก็สิ้นชีพ