บทที่ 54 การแทรกแซง
หนึ่งในคุณสมบัติพิเศษของผงขัดพลังปราณคือ มีเพียงเมื่อยามที่จะใช้ออกพลังต้นกำเนิดเท่านั้น ถึงจะสามารถสังเกตเห็นได้ว่าพวกเขาถูกพิษ
คุณสมบัติพิเศษนี้ทำให้หลายคนที่ถูกพิษของมัน ไม่มีทางรู้ว่าตนได้ถูกวางยาจนกว่าพวกเขาจะลงมือเคลื่อนไหว
และความผิดพลาดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของหลางเตา ก็คือเขาประเมินซูเฉินไว้ต่ำเกินไป
หลางเตาไม่เคยคาดคิดว่าซูเฉินจะกล้าวางยาลงในเหล้าของตน เพราะอย่างไรเสียซูเฉินก็เป็นเจ้าของร้านเหล้า วางยาในเหล้าของลูกค้าในร้านของตัวเอง นี่มันเรื่องตลกอะไรกัน? เขายังต้องการทำธุรกิจต่ออยู่หรือไม่?
วิธีคิดแบบสามัญทั่วไปนี้ ส่งผลให้หลางเตาติดกับ
เขาไม่เคยคิดเลยว่าร้านเหล้าที่ซูเฉินเปิดนั้น แตกต่างจากร้านอื่น ๆ อย่างไร
หุบเขามรกตนี้มีร้านเหล้าอยู่เพียงแห่งเดียว หากเจ้าไม่ต้องการดื่มที่นี่เจ้าก็จะต้องไปหาที่อื่น
นอกจากนี้เรื่องนี้ หลางเตาเองก็เป็นฝ่ายยั่วยุก่อน ส่วน ซูเฉินเพียงแค่ตอบโต้เพื่อป้องกันตัวเองเท่านั้น แม้ว่าวิธีการป้องกันตัวเองและการโต้กลับนี้เป็นการแหกข้อห้ามไปบ้าง แต่ก็นับว่าอยู่ในระดับที่สามารถเข้าใจได้
ยิ่งกว่านั้นบทลงทัณฑ์สีเลือดของซูเฉินกินเวลาเพียง 100 วัน เขาไม่จำเป็นจะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบเกินไปว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นตามมาในอนาคต
สิ่งสำคัญที่สุดคือศัตรูของเขาได้มาข่มขู่เขาถึงประตูหน้า แล้วมันจะมีอะไรสำคัญไปกว่าการเอาตัวรอดอีก?
ข้อจำกัดทางความคิดนี้ทำให้หลางเตาไม่ได้เตรียมตัวรับมือกับวิธีการเช่นนี้ของซูเฉินเลย และเมื่อถึงเวลาที่เขารู้ตัวว่าถูกวางยาพิษ มันก็สายเกินไปแล้ว
ทั้งตัวหลางเตาเองและพี่น้องทั้ง 2 ของเขาต่างก็ถูกวางยา ทั้ง 3 กินเนื้อและดื่มเหล้า “ฟรี” ไปนับไม่ถ้วน ผงขัดพลังปราณที่พวกเขากินเข้าไปนั้น มากเกินพอที่จะทำให้พวกเขาไม่สามารถใช้พลังต้นกำเนิดได้อย่างน้อยถึง 2 วัน 2 คืน
หากไม่มีพลังต้นกำเนิด พวกเขาก็เป็นเพียงคนธรรมดา ความแข็งแกร่งของคนพวกนี้นั้นไม่ดีไปกว่าผู้ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ทั่วไป
ซูเฉินเดินออกมาจากด้านหลังเคาน์เตอร์อย่างช้า ๆ “หินพลังต้นกำเนิด 1,507 ก้อน โปรดจ่ายมา”
“จ่ายให้มารดาเจ้าสิ!” ซานเสี่ยวผู้เป็นน้องชายของหลางเตาตอบสนองออกไปก่อนใคร ดูเหมือนว่าสมองของเขาจะรับรู้ค่อนข้างช้า เพราะเขายังคงตะโกนและมุ่งตรงไปหาซูเฉิน
ร่างของซูเฉินกะพริบไหว เขาเอื้อมมือออกไปคว้าแขนของซานเสี่ยวไว้แล้วบิดมันกลับไปด้านหลัง เสียงกระดูกแขนหักลั่นดัง ‘แกร๊ก’ แขนของซานเสี่ยวเป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องของความแข็งแกร่ง มาตอนนี้ได้ถูกซูเฉินทำลายลง จากนั้นขาของซูเฉินก็วาดออกไป ก่อนจะกระแทกลงที่ขาของซานเสี่ยว เสียงกระดูกหัก ‘แกร๊ก’ ดังขึ้นอีกครั้ง ขาของซานเสี่ยวถูกทำลายลง เป็นผลให้ร่างของเจ้าปีศาจภูผาร่วงลงไปคุกเข่าในทันที
“ซานเสี่ยว!” หลางเตาตะโกนร้องด้วยความโศกเศร้าและความโกรธ ขณะที่วิ่งตรงเข้าไป
ทว่าหลางเตาไม่สามารถใช้พลังต้นกำเนิดได้ เขาจึงไม่มีวิธีที่จะเพิ่มความเร็วหรือความแข็งแกร่งของตน แม้แต่ดาบหมาป่าสวรรค์กลืนจันทร์แห่งดวงจันทร์กลืนก็กลับกลายเป็นเพียงแค่เครื่องประดับ
ร่างของซูเฉินกะพริบขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะหลบการโจมตีของหลางเตาไปได้อย่างง่ายดาย เด็กหนุ่มคว้าข้อมือของอีกฝ่ายไว้แล้วบิดกลับไปด้านในจนหัก จากนั้นก็กระแทกซ้ำเข้าไปที่ท้อง ส่งผลให้หลางเตาเจ็บปวดมากยิ่งขึ้น
ซูเฉินถอยร่นหลบการโจมตีของหงหยิง เขาดึงทักษะออกมาใช้เพิ่มความเร็วร่างกายเต็มกำลัง จนทำให้เหลือเป็นร่างเงาทิ้งไว้ เด็กหนุ่มปลดปล่อยการโจมตีออกไปอย่างคล่องแคล่วว่องไวขณะเคลื่อนที่ไปมาระหว่างทั้ง 3 พร้อมกับเสียงแตกหักของบางสิ่งที่ดังขึ้น
เมื่อทุกอย่างสงบลง ภาพติดตาของซูเฉินก็หายไป จากนั้นเขาก็ปรากฏตัวขึ้นในสายตาของทุกคนอีกครั้ง ร่างกายของหลางเตา หงหยิงและซานเสี่ยวสั่นเทา ก่อนจะร่วงลงไปกองกับพื้นพร้อม ๆ กัน และไม่ลุกขึ้นมาอีก
เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผู้ที่เฝ้ามองอยู่ต่างก็รู้สึกได้ถึงความหวาดกลัว
หน้ากากปีศาจนี้ไม่เพียงแต่จะน่ากลัวและร้ายกาจ ทว่าคนผู้นี้ยังโหดร้ายมากอีกด้วย เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เคยคิดที่จะปล่อยพวกหลางเตาไปตั้งแต่แรกแล้ว
“หินพลังต้นกำเนิด 1,507 ก้อน หากเจ้าไม่คิดจะจ่ายมา เช่นนั้นข้าจะเก็บเอามันมาเอง” ซูเฉินกล่าวแล้วคว้าเอากระเป๋าที่อยู่บนร่างของหลางเตาไป
ข้างในเป็นแร่ดาราเงินที่หลางเตารวบรวมมาเป็นเวลานาน
เมื่อเปิดมันขึ้นมาดูแล้ว ซูเฉินก็เก็บมันไปแล้วพูดสบาย ๆ ว่า “น้อยมาก มีเพียงเท่านี้เองหรือ? สำหรับแร่ส่วนนี้ข้าให้ราคาเจ้า 200 หินพลังต้นกำเนิด”
หลางเตาเบิกตากว้างจ้องมองซูเฉินอย่างโกรธเคือง กระเป๋าของเขาเก็บแร่ดาราเงินเอาไว้ตั้ง 10 จิน หากเทียบราคาประมาณคร่าว ๆ แล้ว มันมีราคามากถึง 2,000 หินพลังต้นกำเนิดเลยทีเดียว แต่ซูเฉินกลับลดราคาลงเหลือเพียงแค่ 200 อย่างไรก็ตามมันก็ยังไม่ได้แย่มากเมื่อเทียบกับดาบหมาป่าสวรรค์กลืนจันทร์ ที่ถูกตัดราคาจากมูลค่าเกือบ 10,000 เหลือเพียง 500 หินพลังต้นกำเนิดเท่านั้น ปัญหาคือคางของหลางเตาที่ถูกซูเฉินบีบเอาไว้อย่างแรง แม้ว่าเขาต้องการที่จะพูด แต่เขาก็ไม่สามารถทำได้
[ 1 จิน (斤) เท่ากับ 0.5 กิโลกรัม ]
ซูเฉินไม่ได้สนใจหลางเตาเลยแม้แต่น้อยและยังคงค้นหากระเป๋าของหงหยิงกับซานเสี่ยวต่อ เขาพบแร่ดาราเงินอีก 8 กับ 7 จิน ตามลำดับ พวกมันถูกซูเฉินเก็บไปในราคาที่ต่ำกว่า 10 เท่าของราคาทั่วไป
กระเป๋าทั้ง 3 ยังมีของอย่างอื่นอยู่อีก 2-3 อย่าง ทว่าซูเฉินก็แสร้งทำราวกับว่าไม่ได้มีอยู่ แน่นอนว่าสำหรับพวกมันเขาได้กำหนดราคาแบบสุ่มให้ไป
“บวกกับดาบนี่ รวมทั้งหมดแล้วก็หินพลังต้นกำเนิด 1,000 ฉะนั้นเจ้ายังติดข้าอยู่อีก 507 ” ซูเฉินเก็บดาบไป จากนั้นตบหน้าของหลางเตาแล้วกล่าวว่า “แต่ข้ายังคิดวิธีเก็บส่วนที่เหลือไม่ออก … หลี่ชู่”
“ข้าน้อยอยู่นี่แล้วขอรับ” หลี่ชู่วิ่งออกมาในทันที
“พาพวกมันไปให้ข้า ตั้งแต่วันพรุ่งนี้ ทำให้พวกมันทำงานที่นี่จนกว่าจะชำระหนี้ครบ”
“ขอรับ นายท่าน” หลี่ชู่ก้าวออกมาข้างหน้าเพื่อพาตัวทั้ง 3 ไป
“หน้ากากปีศาจ นี่มันจะไม่มากเกินไปหน่อยหรือ?” ทันใดนั้นก็มีเสียงพูดดังขึ้นมา
เมื่อซูเฉินหันมองไปรอบ ๆ เขาก็ได้พบกับชายหญิงคู่หนึ่งที่นั่งอยู่ไม่ไกล
ซูเฉินจำชายหญิงคู่นี้ได้ พวกเขาเป็นคู่สมรสกัน ชายผู้นั้นถูกเรียกว่าไป๋ฟานและพวกเขา ก็เป็นผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดระดับด่านก่อเกิดลมปราณ ผู้ที่พึ่งกล่าวไปคือฝ่ายหญิง
ตอนนี้นางกำลังจ้องมาที่ซูเฉินและกล่าวว่า “สิ่งที่พวกมันทำก็เพียงแค่กินเนื้อและดื่มเหล้าของเจ้าเท่านั้นเอง แค่ดาบเล่มนั้น มันก็เพียงพอที่จะแลกเปลี่ยนเป็นเหล้าในร้านเจ้าได้มากกว่า 10 ไหแล้ว เจ้าต้องการให้พวกมันไปรับใช้เจ้าเหมือนทาสมันจะไม่มากเกินไปหน่อยหรือ?”
“โอ้? จริงหรือ?” ซูเฉินมองผู้หญิงกลับไปที่ผู้หญิงนางนั้น “เช่นนั้น แม่นางไป๋ก็เลยทนดูไม่ได้จึงต้องการเข้ามาแทรกแซง?”
“เพื่อความถูกต้อง” ผู้หญิงคนนั้นตอบกลับอย่างหนักแน่น
ซูเฉินยิ้มขบขัน น่าเสียดายที่หน้ากากปีศาจปกปิดใบหน้าของเขาเอาไว้ จึงไม่มีใครได้เห็นรอยยิ้มของเด็กหนุ่ม
จากนั้นซูเฉินก็พูดว่า “ข้าไม่รู้มาก่อนเลยว่าแม่นางไป๋ช่างเป็นผู้ที่มีจิตใจกล้าหาญอย่างยิ่ง แล้วเหตุใดแม่นางผู้กล้าหาญถึงได้ไม่พูดเช่นนี้ เมื่อยามที่พวกมันทั้ง 3 ไม่เต็มใจที่จะจ่ายค่าอาหารและเหล้าที่พวกมันกินไปกัน?”
ใบหน้าของแม่นางไป๋เปลี่ยนกลายเป็นสีแดงไปในทันที “มันก็แค่เหล้ากับเนื้อมิใช่รึ? มันคุ้มค่ากับการทะเลาะกันงั้นหรืออย่างไร?”
ซูเฉินพยักหน้า “เป็นเช่นนี้เอง ถ้าอย่างนั้นข้าก็ควรจะปล่อยพวกมันไปตามที่แม่นางไป๋ได้กล่าว?”
“เจ้าก็รับเงินและดาบไปแล้ว การปล่อยคนไปมันจะไม่สมเหตุสมผลได้อย่างไร?” แม่นางไป๋โต้กลับ
ซูเฉินไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่เจตนาฆ่าในใจของเขากำลังพุ่งสูงขึ้น
ทุกคนรู้ดีว่าเหตุผลที่หลางเตากับพรรคพวกถูกจัดการลง ไม่ใช่เพราะพวกเขาสู้ฝีมือซูเฉินไม่ได้ แต่เป็นเพราะพวกเขาถูกวางยา
การปล่อยพวกเขาไปก็เทียบได้กับการปล่อยเสือกลับเข้าป่า แล้วอีกวัน 2 วันให้หลังพวกเขาก็จะกลับมาฆ่าอีกฝ่ายอยู่ดี
ไม่มีใครต้องการผลลัพธ์เช่นนั้น ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดคือการฆ่าพวกเขาทิ้งซะ จะได้ไม่มีปัญหาตามมาในอนาคต
แต่ซูเฉินก็ไม่ได้ฆ่าพวกเขาและเลือกที่จะให้คนพวกนี้มาทำงานเป็นคนใช้แทน ภายใต้การดูแลของเด็กหนุ่ม พวกเขาก็จะไม่ต้องมาลำบากทุกวัน เมื่อวันหนึ่งที่การขุดเหมืองที่นี่และธุรกิจสิ้นสุดลง เมื่อนั้นซูเฉินก็จะปิดร้านและจากไป ทั้ง 3 ก็จะยังคงอยู่รอดต่อไปได้ แม้ว่าพวกเขาอาจจะโดนดูถูกหรือทำให้เสียหน้า ทว่ามันก็นับได้ว่าเป็นการช่วยชีวิตคนพวกนี้เอาไว้
ถึงจะไม่ใช่แขกทุกคนในโรงเตี๊ยมที่เข้าใจเจตนาของซูเฉิน แต่บรรดาผู้ที่สั่งสมประสบการณ์ทางโลกมามาก คนพวกนี้ล้วนเข้าใจเป็นอย่างดีว่าซูเฉินได้ช่วยชีวิตพวกเขาเอาไว้
แต่ตอนนี้การที่แม่นางไป๋มาร้องขอให้ปล่อยตัวคนพวกนี้ไป กลับทำให้นี่ไม่ใช่เรื่องของการช่วยชีวิตผู้คนอีกต่อไป แต่เป็นเรื่องของการฆ่าคน!
มันเป็นการ ยืมมีดฆ่าคน!
ซูเฉินจะต้องฆ่าหลางเตา
ไม่เช่นนั้นหลางเตาจะฆ่าซูเฉิน
ซูเฉินไม่รู้ว่าแม่นางไป๋จงใจหรือไม่ แต่การกระทำของนางนั้นได้ล้ำเส้นขีดจำกัดขั้นต่ำของซูเฉินไปแล้ว
สายตาของซูเฉินได้ย้ายไปจับจ้องไป๋ฟาน เมื่อเห็นว่าไป๋ฟานไม่ได้เคลื่อนไหวอะไรเลย
เขาก็เข้าใจในทันที
อีกฝ่ายลงมือโดยเจตนาแฝง
แม้ว่าซูเฉินจะจัดการหลางเตากับพวกได้ แต่มันก็เป็นเพราะความช่วยเหลือจากกลอุบาย
เพราะเป็นกลราคาถูก มันจึงไม่สามารถโน้มน้าวใจผู้คนได้หมด และทำให้หน้าใหม่ ๆ สามารถกระโดดเข้ามาร่วมได้อย่างง่ายดาย
นั่นคือความแตกต่างที่ใหญ่ที่สุดระหว่างการจัดการโดยใช้กลอุบายและการจัดการโดยใช้ความแข็งแกร่ง
มีแต่ความแข็งแรงเท่านั้นที่สามารถโน้มน้าวใจผู้คนได้!
คนอื่น ๆ ก็เข้าใจดีเช่นกัน ดังนั้นพวกเขารอและเฝ้าดูจากด้านข้างต่อไป
‘ดูเหมือนไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าก็ยังต้องฆ่าใครสักคนในวันนี้’ ซูเฉินถอนหายใจอยู่ในใจ
จากนั้นเขาก็พูดว่า “ถ้าอย่างนั้น ข้าจะยกมันให้เจ้า”
เช่นนี้เองหลางเตาจึงถูกส่งไปหาแม่นางไป๋ด้วยแรงเตะของซูเฉิน
“กล่าวได้ดี” แม่นางไป๋ยิ้มและเอื้อมมือไปหาหลางเตา ทันทีที่นางคว้าตัวเขา สามีของนางที่อยู่ข้าง ๆ ก็ตะโกนออกมาด้วยความตกใจ “ภรรยาระวังด้วย!”
แม่นางไป๋ชะงักไปชั่วครู่
จากนั้นนางก็สังเกตเห็นแสงบางอย่างปรากฏอยู่บนหน้าอกของหลางเตา มันสว่างไสวราวกับว่าพระจันทร์สีเงิน
ช่างงดงาม! นางคิด