ส่วนที่ 1 ภาคเมื่อครั้งเป็นนักเรียน ตอนที่ 266 ผู้คนที่ไม่อยากเข้าสู่ยามราตรี

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

เถิงเสี่ยวหมิงกับหลิวเสี่ยวหวั่นคู่สามีภรรยายืนอยู่ด้านนอกทุ่งหญ้า มองไปยังขอบฟ้าด้านนอกเห็นพระอาทิตย์กำลังแขวนอยู่ตรงนั้น

หลิวเสี่ยวหวั่นเอ่ยว่า “ได้ยินมาว่าพระอาทิตย์ที่ทุ่งหญ้านี้จะไม่ลับขอบฟ้า ดังนั้นถึงถูกเรียกขานว่าที่ราบทุ่งหญ้าสุริยาไม่หลับใหล…ทว่าสิ่งที่ทำให้ข้ายิ่งไม่เข้าใจก็คือ ถ้าหากไม่มีผู้คนรอดชีวิตออกมาจากทุ่งหญ้าแห่งนี้ เช่นนั้นแล้วที่ราบทุ่งหญ้าสุริยาไม่หลับใหลผู้ใดจะมองเห็นได้เล่า?”

เถิงเสี่ยวหมิงยิ้มออกมาใสซื่อมิได้เอ่ยสิ่งใด เขารู้ว่าภรรยามิได้เอ่ยถามจริงจังแต่อย่างใด เพียงแค่จิตใจไม่ค่อยสงบเท่านั้นเอง

“คาดไม่ถึงว่าหนุ่มน้อยหมาป่าผู้นั้นจะแบกคนคนหนึ่งวิ่งเข้าทุ่งหญ้า…ถึงแม้เขาจะเสียชีวิตอยู่ที่นี่ เช่นนั้นพวกเราจะทำอย่างไรเล่า? หรือต้องรอคอยจนกว่าจะมั่นใจว่าพวกเขาได้เสียชีวิตไปแล้ว”

หลิวเสี่ยวหวั่นมองไปยังดวงตาของเถิงเสี่ยวหมิง ในใจครุ่นคิดว่าสามีของตนฝึกบำเพ็ญด้วยพละกำลังมหาศาลรุนแรง ถ้าหากอยู่ด้านนอกสวนโจว เหตุใดจะต้องไล่ล่าเป็นเวลานานเช่นนี้ กลับไล่ตามหนุ่มน้อยเผ่าหมาป่าที่ถูกพิษไม่ทัน แน่นอนว่าหากเป็นเมื่อก่อน เฉินฉางเซิงและคนอื่นจะต้องถูกสังหารไปนานแล้ว เพียงเพราะว่าเข้าสู่สวนโจว พวกเขาสองสามีภรรยาได้ทุ่มเทสิ่งแลกเปลี่ยนอย่างแสนสาหัส

เถิงเสี่ยวหมิงรู้ว่าภรรยากำลังคิดสิ่งใด ยื่นมือเข้าไปลูบผมนางเบาๆ เอ่ยปลอบว่า “ข้ายินยอม”

ผู้ใดก็ไม่ล่วงรู้ ภารกิจแทรกแซงเข้ามาในสวนโจวครั้งนี้ของเผ่ามาร เป็นขุนพลเผ่ามารสองสามีภรรยาได้ร้องขอ เพราะว่า…พวกเขาเบื่อหน่ายในการต่อสู้กับเผ่ามนุษย์โดยมิได้หยุดหย่อน ปรารถนาจะออกจากกองทัพ กลับบ้านเกิดทำไร่ทำสวน อย่างไรก็ตามพวกเขาชัดเจนยิ่งนัก ราชามารจะต้องไม่ยินยอมตามความต้องการของตน ทั่วทั้งดินแดนมารมีเพียงแค่กุนซือถึงจะช่วยพวกเขาให้บรรลุตามความประสงค์ได้

ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงตามหากุนซือ จากนั้นกุนซือจึงให้พวกเขาเข้ามาจัดการในสวนโจว เพราะเหตุนี้ พวกเขาจึงลดระดับวิทยายุทธ์ อย่างน้อยก็สูญเสียพลังปราณแท้ไปสองร้อยปี แต่ถ้าหากสามารถทำเรื่องนี้สำเร็จ ก็สามารถกลับไปบ้านเกิด เช่นนั้นจึงเป็นดังที่เถิงเสี่ยวหมิงกล่าว พวกเขายินยอม

พวกเขาเป็นขุนพลเผ่ามารที่แข็งแกร่งขั้นรวบรวมดวงดาวระดับกลาง ไม่ว่าจะลดวิทยายุทธ์ถึงระดับทะลวงอเวจี แต่ความสามารถในการต่อสู้ของผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรขั้นทะลวงอเวจีก็ยากจะเทียบได้ คนที่เคยปีนป่ายขึ้นอยู่ที่สูงสุด เดินเชื่องช้าอยู่บริเวณเนินเขา ก้าวย่างไปตามใจ หากกล่าวตามเหตุผลแล้ว ผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรที่อยู่ในสวนโจวเหล่านี้ นอกจากสวีโหย่วหรง พวกเขาล้วนแต่สังหารได้สบายๆ

เพียงแค่พวกเขาคิดไม่ถึงว่าหญิงรับใช้ของท่านหนานเค่อคู่นั้น เพียงเพื่อต้องการเอาชนะการต่อสู้จึงทำเรื่องวุ่นวายเช่นนี้มากมาย ยิ่งคาดคิดไม่ถึงว่าหนุ่มน้อยเผ่ามนุษย์จะมีศาสตราวิเศษล้ำค่าเป็นจำนวนมาก กระทั่งแม้แต่เจ๋อซิ่วยังแสดงพละกำลังที่แข็งแกร่งและจิตใจที่แน่วแน่ออกมาก็เหนือกว่าความคาดคิดของพวกเขาแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะวิ่งไปยังที่ราบทุ่งหญ้าสุริยาไม่หลับใหลสำเร็จ

ถึงแม้เข้าไปยังทุ่งหญ้าจะเป็นหนทางแห่งความตาย แต่ในที่สุดก็มิใช่ถูกพวกเขาสังหาร

ที่นี่เป็นบริเวณชายขอบด้านนอกของทุ่งหญ้า พระอาทิตย์ดวงนั้นที่คล้ายกับว่าจะไม่ตกไปตลอดกาล ที่จริงแล้วเพียงแค่ตกลงช้าไปกว่าเดิมเล็กน้อย ตามกาลเวลาที่หมุนเวียนผ่านไป พื้นผิวของดวงอาทิตย์ถูกทุ่งหญ้ากลืนไปสองในสาม ท้องฟ้ากลายเป็นมืดสลัว หลิวเสี่ยวหวั่นเอ่ยออกมา “รอดูสถานการณ์ในช่วงนี้ กินข้าวก่อนเถิด”

เถิงเสี่ยวหมิงจึงตอบอืมด้วยความซื่อตรง วางหาบที่หนักอึ้งจากไหล่ลง หยิบฟืนกับหินอิฐก่อกองไฟ หลิวเสี่ยวหวั่นหยิบข้าวสารใหม่และน้ำจากเทือกเขาน้ำตกหยกออกมา เริ่มซาวข้าวเพื่อเตรียมหุง แต่เมื่อมองน้ำใสไหลรินลงก้นกระทะถึงคิดขึ้นได้ ก่อนหน้านี้เมื่ออยู่ที่ริมทะเลสาบ รูกระทะใบใหญ่นี้ถูกเฉินฉางเซิงแทงทะลุ

หลิวเสี่ยวหวั่นตกตะลึงงัน บนใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยความอบอุ่นและสนิทชิดเชื้อ ในที่สุดจึงเผยความรู้สึกขุ่นเคืองออกมา “เจ้าหนุ่มเฉินฉางเซิงไม่รู้หรือว่าการทำให้กระทะและเตาพังเป็นเรื่องที่น่าโกรธเคืองที่สุดในต้าลู่”

เถิงเสี่ยวหมิงยิ้มซื่อๆ ออกมา พลางเอ่ยว่า “พวกเราจะต้องสังหารเขา เขาจะทำอะไรได้”

หลิวเสี่ยวหวั่นร้องออกมาราวกับว่าเป็นหญิงสาว เอ่ยออกมาอย่างไม่ยินดี “โดยสรุปแล้วความแค้นนี้ข้าจดจำได้ ถ้าหากเจ้าเด็กสองคนนั้นยังไม่อาจสังหารเขาได้ ข้าก็คงไม่ให้เขามีความสุขเป็นแน่”

เถิงเสี่ยวหมิงเอ่ยปลอบโยน “หลังจากกลับบ้านแล้ว พวกเราก็ไม่ต้องทะเลาะกับผู้ใดอีกแล้ว นำกระทะขายเป็นเศษเหล็ก มีเงินเพียงเล็กน้อยก็นับว่าไม่เลวแล้ว”

เมื่อเอ่ยประโยคนี้จบ เขาหยิบกระทะอีกใบออกมาจากตะกร้า รับข้าวมาจากมือนาง จากนั้นจึงเริ่มซาวข้าว เตรียมที่จะหุง

“ตอนเย็นจะกินอะไรดี” หลิวเสี่ยวหวั่นเอ่ยถาม

เถิงเสี่ยวหมิงทอดสายตามองไปยังทุ่งหญ้า ได้ยินคล้ายกับว่าเป็นเสียงคำรามดังแว่วมา เอ่ยด้วยความลังเล “ข้างในคงจะมีสัตว์อสูรจำนวนไม่น้อย ข้าไปจับมาสักสองตัว เดินไปไม่ไกลก็คงไม่เป็นไร”

“เสี่ยงภยันตรายเพียงเพราะอาหาร…พวกเราไม่ใช่นก และก็ไม่ใช่เผ่ามนุษย์” หลิวเสี่ยวหวั่นเอ่ยด้วยอารมณ์ไม่สู้จะดีนัก จากนั้นจึงเดินไปยังขอบตะกร้า พลิกไปพลิกมาเป็นเวลานาน ตามหาของสิ่งหนึ่ง หยิบขึ้นมาเอ่ยว่า “ตอนที่เดินเมื่อครู่ ข้านำมือซ้ายของหญิงรับใช้ฝั่งซ้ายมาด้วย วางไว้บนกระทะนึ่งจนสุก จากนั้นจิ้มกับน้ำจิ้มกินดีหรือไม่”

อยู่ที่ริมทะเลสาบก่อนหน้านี้ ตามความหมายของคำว่ายุติธรรม นางจึงได้ตัดมือข้างหนึ่งของหญิงสาวที่สง่าผ่าเผยผู้นั้น

ขณะนี้นางกำลังถืออยู่ ส่วนที่ขาดของมือข้างนั้นยังคงมีร่องรอยของเศษโลหิตอยู่

เถิงเสี่ยวหมิงรับมือข้างที่ขาดนั้นมา ใช้น้ำจากน้ำตกล้างให้สะอาด เปิดฝาหม้อ เพิ่มหม้อนึ่งเข้าไปอีกหนึ่งชั้น แล้วหาจานดินเผาวางลงไป

“ร่างหญิงรับใช้ทั้งสองใกล้เคียงกับวิญญาณ พลังวิญญาณของมือนี้ก็มีเพียงพอ เกรงแค่ว่าจะทำให้ย่อยยากไปเสียหน่อย” เขาครุ่นคิด แล้วเอ่ยว่า “หรือว่าไม่ต้องใช้น้ำจิ้มแล้ว รออีกสักครู่ค่อยใส่หญ้าซิงเฉ่า”

แต่ไหนแต่ไรมาในบ้านล้วนแต่เป็นเขาที่ทำอาหาร หลิวเสี่ยวหวั่นมิได้ถนัดกับเรื่องเหล่านี้เสียเท่าไหร่ เป็นธรรมดาที่จะไม่ออกความคิดเห็น

น้ำในกระทะยังไม่เดือด หนุ่มน้อยทั้งสองที่อยู่ในทุ่งหญ้าไม่รู้ว่าเสียชีวิตไปหรือยัง

หลิวเสี่ยวหวั่นกับเถิงเสี่ยวหมิงนั่งเคียงไหล่กันอยู่บนก้อนหิน จ้องมองพระอาทิตย์ที่กำลังค่อยๆ ร่วงต่ำลง

“นานแล้วที่ไม่ได้เป็นเช่นนี้”

“อืม”

“เจ็ดสิบสามปีก่อน เจ้ายังเป็นนายทหาร เหตุใดถึงใจกล้าเชิญข้าไปดูพระอาทิตย์ตกดินเล่า?”

“อืม…แพ้พนันกับเจ้าพวกนั้น”

หลิวเสี่ยวหวั่นจ้องเขม็ง เอ่ยว่า “ในที่สุดเจ้าก็พูดความจริงแล้ว”

เถิงเสี่ยวหมิงครุ่นคิด เอ่ยออกมาซื่อ “ข้าได้ยอมรับเป็นครั้งที่สี่ร้อยสี่สิบเอ็ดแล้ว”

หลิวเสี่ยวหวั่นมิได้สนใจเขาอีก พิงบนไหล่ของเขา มองไปยังดวงอาทิตย์ที่อยู่ไกลออกไป เอ่ยด้วยความอิ่มเอมใจ “สวยงามจริงๆ”

เถิงเสี่ยวหมิงครุ่นคิด คิดว่าเวลานี้ควรที่จะโกหกออกไป กล่าวตอบ “อืม”

หลิวเสี่ยวหวั่นเผยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความวาดฝัน เอ่ยว่า “หลังจากกลับบ้านเกิดแล้ว พวกเราก็จะได้นั่งดูพระอาทิตย์เช่นนี้ทุกวัน”

เถิงเสี่ยวหมิงครุ่นคิด รู้สึกว่าไม่อยากโกหกอีกต่อไป มิเช่นนั้นแล้วภายภาคหน้าจะลำบากใจ เอ่ยออกมาตรงๆ “คงจะน่าเบื่อ”

หลิวเสี่ยวหวั่นขมวดคิ้วเล็กน้อย ตอบออกไป “มองข้านานแล้ว เจ้าก็คงจะเบื่อ”

เถิงเสี่ยวหมิงมิได้คิดแม้แต่น้อย และก็ไม่ได้โกหก เอ่ยด้วยความจริงใจ “ไม่เบื่อ”

……

……

หญิงสาวที่งดงามเพียงใด ถ้าหากมองเพียงแค่ความสวยงาม เช่นนั้นแล้วสักวันก็คงจะเบื่อ

เฉินฉางเซิงมิได้มีประสบการณ์ทางด้านนี้ แต่เขาสามารถพูดเรื่องการมองพระอาทิตย์ได้ดีอย่างยิ่ง เพราะว่าแต่ไหนแต่ไรเขามองพระอาทิตย์ไม่เคยเบื่อ ทุกวันตื่นตอนเช้าตรู่เวลาห้ายาม ฟ้ายังไม่สาง ล้างหน้าล้างตาเสร็จเรียบร้อยแล้ว ยืนอยู่ใต้ต้นเหมย หรือไม่ก็ด้านข้างวัด หรือไม่ก็ริมทะเลสาบ หรือไม่ก็บนต้นไทรย้อย มองพระอาทิตย์ที่ขึ้นตามปกติทุกวัน เป็นเรื่องที่เขามีความสุขที่สุด

เวลากลางคืนก็มักจะนอนหลับ จึงรู้สึกแปลกประหลาดต่อยามกลางคืน อีกทั้งเพราะว่าสาเหตุนี้ เขาไม่ชื่นชอบกลางคืน ไม่ว่าจะเป็นคืนที่งดงามหรือว่าคืนที่เหน็บหนาว ไม่ว่าจะเป็นค่ำคืนอย่างไรล้วนแต่ไม่ชื่นชอบ ไม่ว่าจะเดินด้วยความอบอุ่น หรือว่าเข้าไปด้วยความโกรธแค้น เขาล้วนแต่ไม่ต้องการ

เขาเกรงกลัวความตาย เพราะว่าเขาไม่อยากเสียชีวิต

เขาไม่เกรงกลัวความตาย เพราะว่าเขาผ่านพ้นความตายมาหลายครั้งแล้ว

ด้วยเหตุนี้ก่อนที่เขาจะถึงแก่ความตาย มักจะมีพลังที่ยากจะจินตนาการได้ชนิดหนึ่งปรากฏขึ้นมา

มังกรดำเคยเห็นมาแล้ว

จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เคยเห็นมาแล้ว

โก่วหานสือก็เคยเห็นมาแล้ว

ขณะนี้ เปลี่ยนมาเป็นเหล่าคู่ต่อสู้ของเขาที่จะได้เห็นพลังนี้

บนไหล่ของเหลียงเสี้ยวเซียวมีรอยแผลกระบี่แผลหนึ่ง มีโลหิตไหลซึมออกมา

บนร่างกายที่แข็งแกร่งของหญิงงามเผ่ามารทั้งสองคนเต็มไปด้วยร่องรอยของกระบี่ ใบหน้ามิได้เปื้อนรอยยิ้มนานแล้ว หลงเหลือเพียงแค่ความเคร่งขรึมและจริงจัง

มือซ้ายของเฉินฉางเซิงถือร่ม มือขวาถือกระบี่ สีหน้าซีดเผือด มิได้มีสีโลหิตแม้แต่น้อย พลังปราณแท้ได้ใช้ไปจนหมดแล้ว

ทว่าท่าทางของเขายังคงจริงจัง

ตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงขณะนี้ เขาก็จริงจังเช่นนี้

ในเวลาเช่นนี้ เขาตั้งใจที่จะมีชีวิตอยู่ มีชีวิตเพื่อให้ความตายดู