ตอนที่ 532 เพลิงไหม้

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 532 เพลิงไหม้

“คุณชายอย่าเข้าไปเจ้าค่ะ ให้บ่าวเข้าไปช่วยพระชายาออกมาดีกว่า นางมีบุญคุณใหญ่หลวงต่อบ่าว ครานี้ถึงเวลาที่บ่าวต้องตอบแทนแล้วเจ้าค่ะ” คำพูดนี้เป็นของหมิงซินที่อยู่รับใช้ข้างกายอันหลิงเกอมาโดยตลอด นางเป็นสาวใช้ที่ตัวติดกับอันหลิงเกอมากและย่อมมีความลึกซึ้งมากกว่าผู้ใด

“ตกลง มิว่าอย่างไรก็ต้องช่วยนางออกมาให้จงได้”

หมิงซินได้ยินคำกำชับของไป๋หลี่เฉินแล้วก็ทำการสวมเสื้อผ้าหนาที่ชุบน้ำให้ชุ่ม จากนั้นใช้ผ้าเช็ดหน้าเปียกน้ำปิดจมูกและวิ่งฝ่าเข้าไปในกองเพลิง ก่อนหายตัวไปจนมิเห็นแม้แต่เงา หลังฝ่าเข้ามาแล้วควันไฟที่ตลบอบอวลทำให้หมิงซินแทบมิสามารถลืมตาได้ แต่นางก็ยังฝืนอ้าปากเรียกอันหลิงเกอ “พระชายา พระชายาอยู่ตรงไหนเจ้าคะ ? ”

หลังจากพร่ำเรียกชื่ออยู่ครู่หนึ่งก็ยังมิมีเสียงตอบรับกลับมา หมิงซินกลัวว่าอันหลิงเกอหมดสติไปแล้วจึงรีบจ้องมองให้ทั่วบริเวณ ครั้นเข้าไปในห้องนอนก็เห็นว่าคานห้องถูกเผาจนไหม้เกรียมและในที่สุดก็เห็นอันหลิงเกอกำลังนอนห่มผ้าอยู่บนเตียง หมิงซินจึงรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก “พระชายา บ่าวมาช่วยแล้วเจ้าค่ะ”

ส่วนไป๋หลี่เฉินที่อยู่ด้านนอกก็รู้สึกร้อนใจมาก แต่หลังจากครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ก็เพิ่งตระหนักได้ว่าตนควรหาสาเหตุของการเกิดเพลิงไหม้ครานี้ เนื่องจากมู่จวินฮานมิอยู่ก็มีแค่ตนเท่านั้นที่ช่วยได้

ดังนั้นไป๋หลี่เฉินจึงเดินวนเวียนอยู่รอบเรือนร้างและในที่สุดก็พบคราบน้ำมันที่ลุกไหม้อยู่ตรงมุมหนึ่งของเรือน

ทำให้ไป๋หลี่เฉินสามารถคาดเดาเรื่องราวที่เกิดขึ้นว่าต้องมีคนคิดทำร้ายอันหลิงเกอและคนร้ายที่จุดไฟก็ยังอยู่ในเรือนร้างแห่งนี้แน่นอน

ไฟที่ลุกโชติช่วงค่อย ๆ บรรเทาลงภายใต้การช่วยเหลือของเหล่าองครักษ์และบ่าวรับใช้ภายในเรือนร้าง

“เวลานี้พระชายาเป็นตายอย่างไรมิอาจรู้ได้ พวกเจ้าทุกคนจงเฝ้าอยู่ตรงนี้ให้ดี เช่นนั้นคงกลายเป็นหัวข้อสนทนาในวันพรุ่งนี้แน่” ไป๋หลี่เฉินออกคำสั่ง

แม้คนที่อยู่ตรงนี้มิทราบสถานะของไป๋หลี่เฉิน ทว่าก็เคยเห็นเขามาเยือนจวนอ๋องในฐานะแขกอยู่บ่อยครั้งจึงยอมเชื่อฟังคำสั่งของเขาทันที

จากนั้นไป๋หลี่เฉินก็คอยเฝ้าสังเกตผู้ต้องสงสัยรอบกาย หากคนที่วางเพลิงยังอยู่ในจวนอย่างไรก็ต้องปะปนอยู่ในสถานที่วางเพลิงแห่งนี้แน่นอน

ในขณะที่ทุกคนมิกล้าขยับก็มีคนผู้หนึ่งสบโอกาสหนี องครักษ์มีปฏิกิริยาตอบสนองว่องไวจึงตามจับสาวใช้ที่คิดหลบหนีได้อย่างทันท่วงที

ในตอนที่กำลังรุดหน้าเข้าไปถามนั้นก็เห็นอันหลิงเกอประคองหมิงซินออกมาจากกองเพลิง ไป๋หลี่เฉินเห็นว่าร่างกายของอันหลิงเกอนอกจากเปื้อนไปด้วยเขม่าควันไฟแล้วก็มิได้รับบาดเจ็บอันใดจึงวางใจ

ส่วนหมิงซินแล้วเพื่อช่วยชีวิตอันหลิงเกอจึงถูกคานไม้ที่ไหม้หล่นกระแทกตัวจนแทบเอาชีวิตมิรอด นางคิดแต่ช่วยเหลือเจ้านายจึงมิตระหนักถึงชีวิตตน อันหลิงเกอจึงรีบออกคำสั่งให้ไปตามหมอหลวงมาช่วยเหลือโดยด่วนทั้งยังแบกนางเข้าไปในเรือนฝูหลิงด้วย

“โชคดีที่เจ้าปลอดภัย ข้าผิดเองที่ปกป้องเจ้ามิได้” หลังกล่าวจบแล้วไป๋หลี่เฉินก็โอบกอดอันหลิงเกอไว้ ดูท่าเรื่องนี้ทำให้เขาเป็นกังวลมิน้อย

“ข้ามิเป็นไร โชคดีที่หมิงซินมาช่วยไว้ทัน ข้าจึงรอดพ้นจากความตายมาได้” อันหลิงเกอตอบกลับด้วยเสียงเบาเนื่องจากสูดดมควันไฟเข้าไปจำนวนมาก น้ำเสียงของนางจึงเปลี่ยนไปมิน้อย

ปี้จูที่เห็นพระชายาออกมาได้อย่างปลอดภัยก็เริ่มเข้าไปช่วยเช็ดตัวให้

“จับคนร้ายได้หรือไม่ ? ”

อันหลิงเกอและไป๋หลี่เฉินรู้กันดี นางจึงเอ่ยถามเพราะรู้ว่าไป๋หลี่เฉินต้องหาคนร้ายเจอแล้วเป็นแน่ นางมองตามสายตาของไป๋หลี่เฉินออกไปและเห็นสาวใช้แปลกหน้าผู้หนึ่ง

สาวใช้ผู้นั้นมีท่าทางค่อนข้างสงบ ทำให้อันหลิงเกอเกิดความมิพอใจอย่างมาก เหตุใดบรรดาสาวใช้และขันทีในวังคนนั้นจึงมีท่าทีถือตัวเยี่ยงนี้

“เหตุใดต้องวางเพลิงเรือนร้าง ? ” หลังจากที่อันหลิงเกอได้พักผ่อนเล็กน้อยก็เริ่มถามสาวใช้ผู้นั้น แม้เสียงเบามาก ทว่าก็หนักแน่นมากทีเดียว

ครั้นเห็นสาวใช้ถูกองครักษ์มัดด้วยเชือกจนขยับตัวมิได้และเห็นท่าทางกำลังค้นหาอันใดบางอย่างจากในอ้อมแขน อันหลิงเกอจึงออกคำสั่งค้นตัวนาง คาดมิถึงว่าสิ่งที่ถูกหยิบออกมาจะทำให้ทุกคนพากันตกตะลึงเพราะนั่นคือตรายืนยันคำสั่งของมู่จวินฮาน

“ท่านอ๋องบัญชาให้ข้าสังหารพระชายาแต่ให้ทำเหมือนเป็นอุบัติเหตุ ครานี้ข้าทำมิสำเร็จและยังถูกจับตัวได้ก็คงมีแค่ตายเพื่อชดใช้ความผิดเท่านั้น” หลังจากสาวใช้นำตรายืนยันคำสั่งออกมาและสารภาพอย่างตรงไปตรงมาแล้วก็ใช้ดาบขององครักษ์ปลิดชีพจนเลือดสาดกระเซ็น

ด้านมู่จวินฮานเมื่อได้ทราบข่าวว่าไฟไหม้เรือนร้างก็ตกตะลึงและรีบกลับจวนทันที ระหว่างทางเขาเอาแต่โทษตนเองและเกลียดชังตนที่มิรีบไปรับอันหลิงเกอมาอยู่ข้างกาย พอมาถึงเขาก็เห็นสาวใช้ผู้นี้ฆ่าตัวตายไปแล้ว อันหลิงเกอท้อแท้หมดกำลังใจและมู่จวินฮานมาถึงก็มิสามารถพิสูจน์อันใดได้อีก

มู่จวินฮานได้ยินบทสนทนาเมื่อครู่แต่ก็มิอาจแก้ตัวได้เพราะก่อนหน้านี้เรื่องที่ตนโปรดปรานทัวป๋วหลิวลี่จนขาดการยับยั้งชั่งใจก็เป็นเรื่องที่รู้กันในจวนเท่านั้น และการฉกฉวยโอกาสกำจัดพระชายาเอกย่อมสมเหตุสมผล ยิ่งไปกว่านั้นคนที่กระทำความผิดยังมีตรายืนยันคำสั่งของเขาด้วย แม้กล่าวอันใดไปตอนนี้ก็ไร้ประโยชน์

“เพื่อสตรีคนเดียว ท่านถึงขั้นสั่งสังหารข้าเชียวหรือ จวินฮาน ท่านช่างใจร้ายยิ่งนัก”

ยามที่พูดอันหลิงเกอก็สบสายตากับมู่จวินฮาน จากนั้นน้ำตาแห่งความผิดหวังก็ไหลรินโดยมิรู้ตัว ครานี้นางเสียใจมากจริงๆ ความเข้าใจผิดเรื่องเก่าก็ยังมิได้รับการคลี่คลายก็ต้องเจอเรื่องใหญ่ยิ่งกว่า

แม้ในใจของอันหลิงเกอยังเกิดความสงสัย แต่คำพูดที่เอ่ยออกมาในตอนนี้ล้วนเต็มไปด้วยความน้อยใจทั้งสิ้น

เมื่อเห็นท่าทางท้อแท้สิ้นหวังของนาง มู่จวินฮานก็อยากเข้าไปกอดและอยากเช็ดน้ำตาให้เหลือเกิน “ฟังข้าอธิบายก่อนได้หรือไม่ ? ” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความอ่อนแอแต่กลับได้ยินคำปฏิเสธ

“ยังต้องอธิบายอันใดอีก เรื่องที่ท่านทำ เหตุใดข้าจะมิรู้เจตนาของท่าน” อันหลิงเกอตวาดออกไปอย่างปวดร้าว

อันหลิงเกอก็มิรู้ว่าไปเอาเรี่ยวแรงมาจากที่ใดจึงสามารถตำหนิเขาไปเยี่ยงนี้ เห็นอยู่ว่านางนั้นหมดแรงไปกับการฝ่ากองเพลิงออกมา ตอนนี้ทำได้แค่ฝืนมิให้ล้มเท่านั้น ความทุกข์ระทมในใจของนางผู้ใดจักเข้าใจ

ทุกครั้งที่เกิดปัญหานางเอาแต่ผลักไสไล่ส่งเขา มู่จวินฮานเองก็เหนื่อยล้าเต็มทน มิรู้ว่าต้องรับมือเยี่ยงไร ราวกับทั้งสองคนกำลังวิ่งไปบนทิศทางตรงข้ามกันแล้วค่อย ๆ ห่างไกลออกไป

“มิว่าเจ้าเชื่อหรือไม่ก็ตาม ทว่าคำพูดของนางผู้นี้ล้วนเป็นเรื่องโกหก ข้ามู่จวินฮานมิมีวันทำเรื่องชั่วช้าเยี่ยงการคิดสังหารชายาของตนเด็ดขาด” มู่จวินฮานทำได้เพียงมองอันหลิงเกออย่างจนปัญญา

“มิว่าเช่นไรก็ไร้ความหมายแล้วใช่หรือไม่ ตัวข้าในสายตาท่านไร้ความหมายอันใดแล้วใช่ไหม”

มู่จวินฮานเริ่มบันดาลโทสะ “เกอเอ๋อ เจ้าคิดทำอันใดกันแน่ ! ”

“คืนอิสระให้ข้าเถิด” อันหลิงเกอกล่าวพลางปาดน้ำตาและยกยิ้มเล็กน้อยพร้อมมองไปทางมู่จวินฮาน

“อ๋องมู่ได้โปรดฟังข้าก่อนได้หรือไม่ ? ” เวลานี้ไป๋หลี่เฉินมีเจตนาดีเพราะรู้ว่าหากทั้งสองคนยังพูดกันต่อไปก็เกรงว่าจะทะเลาะกันใหญ่โตเสียมากว่า

“มิต้องพูดหรอก” อันหลิงเกอออกคำสั่งและในเวลาเดียวกันก็เห็นใบหน้าที่ซ่อนอยู่ตรงมุมหนึ่ง

หึ ทัวป๋าหลิวลี่ เจ้าคงทนมิไหวแล้วกระมัง

อันหลิงเกอยิ้มเยาะอย่างเย็นชาจากนั้นก็หันไปมองมู่จวินฮาน

“ตั้งแต่บัดนี้ไปท่านกับข้าขาดกัน!”

แววตาของมู่จวินฮานวูบไหวและบังเกิดอารมณ์มิมั่นคง ทว่าสุดท้ายก็ซ่อนไว้อย่างรวดเร็ว

“ตกลง”

ได้ยินดังนั้นคนที่อยู่ตรงหัวมุมก็ซ่อนตัวมิได้อีกต่อไปจนก้าวมิทันระวังจึงเหยียบกิ่งไม้เกิดเสียงดังขึ้น

“ผู้ใด ! ”

มู่จวินฮานว่องไว เวลานี้จึงจับทัวป๋าหลิวลี่ออกมา

“เจ้ามาทำอันใดที่นี่ ? ”

เวลานี้มู่จวินฮานมิได้เกิดความสงสัยอันใดและถามไปโดยมิได้ตั้งใจเท่านั้น

“ข้า ช่วงนี้หลิวลี่มิต้องอยู่ดูแลเหล่าหวางเฟยแล้วจึงค่อนข้างนอนดึก ครั้นเห็นเปลวไฟที่ลุกโชติช่วงจึงรีบมาที่นี่เจ้าค่ะ”

ทัวป๋าหลิวลี่แสดงสีหน้าดีใจจนยากปกปิด หากทั้งสองคนขาดกันจริง เช่นนั้นคนที่มีโอกาสได้ขึ้นครองตำแหน่งพระชายาเอกที่สุดก็คือนาง

“ใช่หรือ ? ” อันหลิงเกอเดินรุดหน้าเข้ามา จากนั้นก็ชี้ไปยังสาวใช้บนพื้น

“เจ้ารู้หรือไม่ว่านางเป็นผู้ใด ? ”

“มิรู้แน่นอนอยู่แล้ว” ทัวป๋าหลิวลี่รู้ว่าผู้ก่อเหตุได้ตายไปแล้วจึงมิอาจเป็นหลักฐานได้และนางก็ไม่เกรงกลัว

“เช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าตรายืนยันคำสั่งนี้แตกต่างกันอย่างไร ? ”

ตรายืนยันคำสั่งหรือ ?

ทัวป๋าหลิวลี่อดถูมือมิได้ หรืออันหลิงเกอกำลังวางแผนอันใด ?

“ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าต้องการหลักฐาน ด้วยเหตุนี้…” สิ้นสุดเสียง มู่จวินฮานก็หยิบตรายืนยันคำสั่งนั้นออกมา “ด้านบนของมันและตัวข้าล้วนมีกลิ่นชะมดอยู่”

กลิ่นชะมด!

ทัวป๋าหลิวลี่รีบยกมือปกป้องครรภ์ของตนทันที