ภาคที่ 4 ตอนที่ 67 พวกเจ้ามีความผิด

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

เสียงร้องสรรเสริญค่อยๆ หายไป 

 

 

ความตื่นเต้นฮึกเหิม ความสงสัยใคร่รู้บนใบหน้าชาวบ้านที่มุงดูอยู่ก็สลายไปด้วย ที่มาแทนที่คือไม่รู้จะทำอย่างไร 

 

 

ผู้ร่ำเรียนหนังสือเหล่านี้ชาวบ้านทั้งหลายนับถือย่างสูง เรื่องที่พวกเขาทำ คำที่พวกเขาพูด เวลาส่วนใหญ่ฟังไม่เข้าใจ แต่รู้ว่ามีเหตุผลยิ่ง 

 

 

เวลานี้เห็นนักเรียนและบัณฑิตเหล่านี้สวมชุดผ้าป่านยาว สีหน้าเคร่งขรึมนั่งหลังตรง ไม่ร้องไห้ตะโกนกล่าวโทษ แต่ทุกคนก็รู้ทันทีว่าเกิดเรื่องสำคัญมาก 

 

 

ภาพนี้คลับคล้ายว่าเคยเห็นมาก่อน ครั้งนั้นรัชทายาทจากไปเพราะประชวร อดีตฮ่องเต้ประกาศให้ฉีอ๋องเป็นรัชทายาทสืบทอดราชบัลลังค์ บรรดาขุนนางฮือฮา เหล่าบันฑิตก็ไม่อยู่เฉย เหล่าขุนนางสวมชุดขุนนางคุกเข่าขอร้องอยู่หน้าพระราชวัง ส่วนเหล่านักเรียนและบัณฑิตสนับสนุนการสืบสันติราชวงศ์อยู่นอกเมือง 

 

 

ไม่รู้ว่าครั้งนี้พวกเขาจะเรียกร้องอะไรอีก ทำไมต้องด่าเฉิงกั๋วกงว่าเป็นทหารล่มชาติด้วย? 

 

 

อีกอย่างการเรียกร้องของพวกเขาครั้งก่อนถูกองครักษ์เสื้อแพรผู้ประหนึ่งพยัคฆ์ประหนึ่งสุนัขป่าทำลาย ไม้กระบองดาบหอกโลหิตกลั่นกลายเป็นโศกนาฏกรรมที่ทำให้คนพูดถึงก็ใจผวา 

 

 

ถ้าเช่นนั้นครั้งนี้เล่า? 

 

 

สายตาของชาวบ้านทั้งหลายมองไปทางกองทหารของเฉิงกั๋วกงด้านนั้น 

 

 

ทหารหลายพันที่ตั้งกระบวนทัพเวลานี้หยุดยืนนิ่ง นอกจากธงในกองทัพที่ถูกลมพัดขยับก็เงียบไปหมด คันศรสะพายอยู่ด้านหลัง ดาบหอกห้อยอยู่ด้านข้าง บรรยากาศฆ่าฟันเต็มเปี่ยม 

 

 

เทียบกับองครักษ์เสื้อแพร ทหารเหล่านี้หากลงมือสังหารคงยิ่งน่ากลัวกระมัง 

 

 

“ทำไมพูดเช่นนี้ จะเอาเฉิงกั๋วกงมาเทียบกับองครักษ์เสื้อแพรได้อย่างไร” มีคนเอ่ยพึมพำ “ถ้าอย่างนั้นเฉิงกั๋วกงจะกลายเป็นอะไรเล่า” 

 

 

ขุนนางชั่วช้าข้าราชการผู้โหดเหี้ยม? 

 

 

นั่นยังเป็นเฉิงกั๋วกงที่ทุกผู้คนเลื่อมใสในคำเล่าลืออีกหรือ? 

 

 

หรือ คำเล่าลือก็เป็นเพียงคำเล่าลือ? 

 

 

คำเล่าลือเป็นเพียงคำเล่าลือ 

 

 

เล่าลือว่าทุกผู้คนเคารพขอบคุณที่พวกเขาปกบ้านป้องเมือง ทว่าตอนนี้สิ่งที่พวกเขาเห็นคืออะไร? 

 

 

“ทำไม?” เหลยจงเหลียนเอ่ยพึมพำ 

 

 

เผชิญหน้ากับพ่อค้าเหล่านั้นที่ขวางทาง เขายอมรับคำอธิบายว่าชาวบ้านผู้ก่อความวุ่นวายสร้างเรื่องได้ แต่บัณฑิตกับนักเรียนเหล่านี้เล่า? 

 

 

พวกเขาเป็นผู้ร่ำเรียนหนังสือ พวกเขารู้แจ้งเหตุผล รู้จักละอายบาป พวกเขาย่อมไม่ใช่ชาวบ้านผู้ก่อความวุ่นวาย นอกจากนี้เรื่องที่พวกเขาทำก็ย่อมมีเหตุผลแน่นอน เป็นเรื่องที่ถูกต้อง 

 

 

พวกเขาถูก ถ้าอย่างนั้นพวกเราคนเหล่านี้ก็เป็นคนผิดหรือ? 

 

 

ทำไม? ทำไมต้องทำเช่นนี้กับพวกเรา? 

 

 

ครั้งนี้คนด้านข้างก็ยังคงยิ้มหยัน แต่ไม่ได้เยาะหยันมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นเช่นนั้นอย่างก่อนหน้า 

 

 

“ไหนเลยมีทำไมมากปานนั้น” จินสือปาเพียงเอ่ยเย็นชา 

 

 

ความคิดของพวกทหารทั้งหลายกับเหลยจงเหลียน จ้าวฮั่นชิงกลับไม่มีอย่างสิ้นเชิง มองเห็นคนขวางทางก็ปลดคันศรควบม้าจะไปข้างหน้าทันที 

 

 

แม่ทัพหลายคนตกใจสะดุ้งโหยง พวกเขาล้วนรู้ว่าเด็กสาวคนนี้กล้าฆ่าคนจริงๆ  

 

 

ไม่เพียงสังหารโจรจิน กระทั่งประชาชนต้าโจวก็ฆ่า ขอแค่สั่งคำเดียว 

 

 

กองทหารชิงซานเหล่านี้แม้ไม่ใช่แค่ไม่กี่สิบคนอย่างในอดีตอีกต่อไปแล้ว แล้วก็กลายเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของพวกเขาแล้ว แต่ในใจพวกเขาล้วนรู้ชัดยิ่ง พูดถึงอิทธิพลในกองทหารชิงซาน พวกเขายังสู้เด็กสาวสองคนไม่ได้ 

 

 

“แม่นางเสี่ยวชิง แม่นางเสี่ยวชิง ครั้งนี้ลงมือฆ่าไม่ได้” พวกเขารีบร้อนตะโกนเรียกนางไว้ 

 

 

จ้าวฮั่นชิงรั้งม้ามองพวกเขาอย่างไม่เข้าใจ 

 

 

“ทำไมเล่า? พวกเขาขวางทางนะ” นางเอ่ย 

 

 

แต่พวกเขาเป็นปัญญาชน เป็นคนมีการศึกษา เป็นขุนนางฝ่ายพลเรือน เป็นบัณฑิต 

 

 

เดิมทีแม่ทัพฝ่ายทหารต่อหน้าปัญญาชนก็ต่ำกว่าขั้นหนึ่งอยู่แล้ว ไหนเลยจะเข่นฆ่าสังหารพวกเขาได้? 

 

 

เฉิงกั๋วกงอมยิ้มเอ่ยต่อ 

 

 

“ไปลองถามพวกเขาก่อนเถอะว่าขวางทางทำไม” เขาเอ่ย 

 

 

บรรดาแม่ทัพทั้งหลายก้าวออกมาทันที 

 

 

“ท่านกั๋วกงพวกเราไปถามเอง” พวกเขาเอ่ยขึ้นเสียงพร้อมเพรียง ยากปิดบังความโกรธแค้น 

 

 

คนเหล่านี้รังแกกันเกินไปแล้ว หากท่านกั๋วกงไปพบพวกเขาเช่นนี้ เสียหน้าเกินไปแล้วจริงๆ 

 

 

เฉิงกั๋วกงยกมือห้าม 

 

 

“ไม่ต้อง” เขาเอ่ยขึ้น 

 

 

แน่นอนเวลานี้เฉิงกั๋วกงออกหน้าย่อมโน้มน้าวผู้คนได้มากกว่า แสดงให้เห็นว่าถ่อมตัวใกล้ชิดประชาชน 

 

 

บรรดาแม่ทัพคิดในใจ กลับเห็นเฉิงกั๋วกงพยักหน้าให้จ้าวฮั่นชิง 

 

 

“ฮั่นชิงก็พอแล้ว” เขาเอ่ย 

 

 

เอาเถอะ ท่านกั๋วกงก็คือท่านกั๋วกงจริงๆ 

 

 

จัดการพ่อค้าก็แม่นางน้อยคนนี้ จัดการนักเรียนและปัญญาชนเหล่านี้ก็แม่นางน้อยเหมือนกัน เสมอภาคเท่าเทียมจริงๆ 

 

 

บางครั้งเสมอภาคเท่าเทียบกลับเป็นการเหยียดหยามอย่างหนึ่ง 

 

 

“มีคำสั่งไม่ปฏิบัติตาม ตีได้ไหม?” จ้าวฮั่นชิงเอ่ยถาม 

 

 

“แน่นอน” เฉิงกั๋วกงอมยิ้มเอ่ย 

 

 

ตี ตีจริงหรือ? 

 

 

บรรดาแม่ทัพทั้งหลายสีหน้าลังเล เพราะแนวคิดขวาฝ่ายพลเรือนซ้ายฝ่ายทหารซึมลึกอยู่ในจิตใจคน แม้พวกเขาตำแหน่งขุนนางไม่เล็ก แต่ผู้มีการศึกษาเหล่านี้ต่อให้ตัวเปล่าก็ยังยำเกรงอยู่บ้าง 

 

 

ไม่ ก็ไม่อาจพูดว่าขุนนางฝ่ายทหารล้วนกลัวปัญญาชน มีคนฐานะหนึ่งที่ไม่กลัว นั่นก็คือองครักษ์เสื้อแพร 

 

 

ความคิดแล่นผ่านบนใบหน้าก็ผุดรอยยิ้มขมขื่น 

 

 

พวกเขาออกหน้าพรั่งพรมโลหิตร้อนร้อยสงครามกลับมา ไม่กล้าเรียกตนเองว่าภักดีกล้าหาญ แต่ก็คิดไม่ถึงว่าจะตกต่ำจนมีภาพลักษณ์เยี่ยงองครักษ์เสื้อแพร 

 

 

จ้าวฮั่นชิงไม่ลังเลสักนิดควบม้าเร็วรี่จากไป 

 

 

เสียงกีบเท้าม้ากุบกับท่ามกลางกองทัพที่นิ่งขรึมสะดุดหูอย่างยิ่ง ตัดผ่านกองทัพ หยุดอยู่กลางถนนตรงหน้าเหล่าปัญญาชนกับนักเรียน 

 

 

“นี่ พวกเจ้าก็ไม่พอใจคำสั่งอะไรของทางการเหมือนกันหรือ?” จ้าวฮั่นชิงเอ่ยถาม 

 

 

นักเรียนหลายคนที่อยู่หน้าสุดเงยหน้าขึ้น เห็นเด็กสาวปรากฎตัวตรงหน้าไม่ได้ประหลาดใจ แล้วก็ไม่ได้ไม่พอใจที่สตรีก้าวออกมาถาม 

 

 

พวกเขาสีหน้านิ่งสงบ 

 

 

“หาใช่ไม่” บัณฑิตคนหนึ่งที่เป็นหัวหน้าเอ่ยขึ้น “พวกเราไม่ได้ไม่พอใจอะไรต่อทางการ” 

 

 

ไม่รึ? 

 

 

จ้าวฮั่นชิงงุนงงเล็กน้อย 

 

 

“พวกเราเพียงไม่พอใจต่อเฉิงกั๋วกงเท่านั้น” บัณฑิตเอ่ยต่อ 

 

 

เฉิงกั๋วกงบอกเพียงว่าคนที่ไม่พอใจต่อทางการฆ่าได้ แต่ไม่ได้บอกว่าหากไม่พอใจเขาให้ทำอย่างไร จ้าวฮั่นชิงไม่ได้เอาคันศรดาบหอกออกมาแล้วก็ไม่ได้ออกคำสั่ง ยื่นมือนวดหว่างคิ้ว 

 

 

“ถ้าเช่นนั้นพวกเจ้าต้องการอย่างไร?” นางเอ่ยถาม 

 

 

“พวกเราขอให้เฉิงกั๋วกงลงจากม้า สลายทหาร ถอดเกราะวางหมวก สวมเครื่องจองจำขอรับโทษหน้าวังหลวง” บัณฑิตที่เป็นหัวหน้าเอ่ยด้วยสีหน้าขึงขัง 

 

 

ขอรับโทษ? 

 

 

ชาวบ้านรอบด้านฮือฮา 

 

 

ราชสำนักบอกว่าจะพระราชทานรางวัลให้เฉิงกั๋วกงชัดๆ ทำไมคนเหล่านี้จะให้เขาขอรับโทษ? 

 

 

ผู้มีการศึกษาเอ่ยวาจาย่อมต้องมีเหตุผลอยู่ประมาณหนึ่ง บรรดาชาวบ้านทั้งหลายสีหน้าประหลาดใจไม่เข้าใจ แต่ก็แค่พากันถกเถียงเสียงเบา ไม่มีใครออกปากโต้แย้ง 

 

 

“ทำไม?” จ้าวฮั่นชิงถามคำถามที่ทุกคนสงสัยออกมา “เฉิงกั๋วกงมีความดีความชอบอยู่ชัดๆ” 

 

 

คำพูดนี้ออกจากปาก แม่ทัพทั้งหลายในกระบวนทัพพลันสีหน้าร้อนรน 

 

 

คำนี้ถามไม่ได้นะ 

 

 

อย่างไรก็เป็นเด็กคนหนึ่ง ตนเองสงสัยไม่เข้าใจก็หลุดปากถามแล้ว 

 

 

นาทีนี้เวลานี้ไม่อาจให้คนเหล่านี้มีโอกาสพูดได้นะ 

 

 

พวกเขาอดไม่ได้จะก้าวออกไป แต่สายไปเสียแล้ว 

 

 

“เฉิงกั๋วกงไร้ความชอบมีความผิด” 

 

 

บัณฑิตด้านนั้นสีหน้าเคร่งขรึมเอ่ยขึ้นเสียงใสกังวาน ไม่รอจ้าวฮั่นชิงเอ่ยถามอีกก็มองมาทางกระบวนทัพด้านนี้แล้วยกมือขึ้น 

 

 

“ความผิดประการที่หนึ่ง ไม่เชื่อฟังบัญชาฮ่องเต้ ละโมบความชอบบุ่มบ่ามบุกจนทหารหลายหมื่นจบชีวิต” 

 

 

“ความผิดประการที่สอง จิตใจเจ้าเล่ห์ แก่งแย่งยึดติดอำนาจ จนไม่สนความปลอดภัยของชาติความสงบสุขของประชาชน” 

 

 

“ความผิดประการที่สาม ชอบศึกกระหายสงครามจนอาวุธไม่ได้วาง สิ้นเปลืองท้องพระคลัง ลำบากประชาชนสูญเสียทรัพย์” 

 

 

“ความผิดประการที่สี่ กำเริบเสิบสานหลงระเริง เรียกร้องรางวัลต้องการชื่อเสียง ชักนำให้ขุนนางผู้อื่นลอกเลียนทำลายการปกครองกองทัพ” 

 

 

ยังไม่จบ บัณฑิตมากกว่าเดิมลุกขึ้นยืน ยื่นมือชี้ทหารในกระบวนทัพ พวกเขาสีหน้าเจ็บปวดรวดร้าว แววตาโกรธแค้น 

 

 

“แต่ไหนแต่ไรมาพวกเจ้าชมชอบรบทัพจับศึก ถือสงครามเป็นเกียรติยศ ชายแดนไม่มีวันใดสงบ สงครามไม่มีวันจบสิ้น” 

 

 

“พวกเจ้ามีแต่ใจหวังผลประโยชน์ ไม่มองเรื่องของประเทศชาติ มองข้ามประชาชน การกระทำของพวกเจ้าเป็นการทำลายชาติทำร้ายประชาชนอย่างแท้จริง” 

 

 

“พวกเจ้ายังกล้าอวดความดีเรียกร้องความชอบเช่นนี้ เป็นเช่นนี้ต่อไปต้าโจวของพวกเราจักยิ่งไม่สงบ บ้านเมืองจะล่มด้วยน้ำมือของพวกเจ้า” 

 

 

“เฉิงกั๋วกงจูซานจึงเป็นขุนนางล่มชาติ พวกเจ้าจึงเป็นทหารล่มชาติ” 

 

 

แม้คนมากมายกำลังเอ่ยวาจาอยู่ แต่พวกเขาทุกคนเสียงชัดใสกระจ่าง กังวานมีพลัง แต่ละประโยคๆ ขว้างเข้ามาใส่กองทัพทหารด้านนี้ และดังกระจ่างชัดเจนในหูของชาวบ้านรอบด้าน  

 

 

เป็นเช่นนี้หรือ? 

 

 

ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง 

 

 

พวกเขาทำสงครามกล้าหาญไม่ใช่เรื่องดีอะไร แล้วก็ไม่ใช่มีความชอบตรงกันข้ามกลับมีความผิดสินะ 

 

 

พูดไปแล้วตอนแรกที่เกิดสงคราม ทุกคนก็อกสั่นขวัญแขวนวันคืนไม่วางใจ ตอนที่ได้ยินว่าจะเจรจาสงบศึกก็ดีใจอย่างที่สุดจริงๆ แต่เฉิงกั๋วกงกลับคัดค้านการเจรจาสงบศึกแล้วยังทำสงครามกับชาวจินอีก 

 

 

ชาวจินโกรธแค้นมากลั่นวาจาว่าจะส่งทหารมาอีกสิบหมื่น เป็นเช่นนี้ต่อไปสงครามคงไม่จบไม่สิ้นจริงๆ 

 

 

สิ้นเปลืองเงินทอง ร้านค้าล้วนเริ่มเรียกเก็บเงิน เบี้ยหวัดของขุนนางทั้งหลายก็หยุดจ่าย เห็นได้ว่าท้องพระคลังว่างเปล่าถึงขั้นใดแล้ว 

 

 

ที่สำคัญที่สุดคือทุกคนต้องใช้ชีวิตอย่างอกสั่นขวัญแขวนไม่มีสักวันได้สงบสุข 

 

 

ทหารคืออาวุธร้าย เป็นเช่นนี้จริงๆ 

 

 

สีหน้าของประชาชนทั้งหลายอารมณ์สับสนปนเป สายตาที่มองไปทางทหารทั้งหลายเหล่านี้ก็เปลี่ยนไปแล้ว 

 

 

บรรดาทหารทั้งหลายก็สีหน้าเปลี่ยนไปเช่นกัน 

 

 

แม้ถ้อยคำที่บัณฑิตพูดนี้ส่วนใหญ่พวกเขาฟังไม่เข้าใจ แต่ประโยคสุดท้ายฟังเข้าใจแล้ว 

 

 

ส่วนสายตาของประชาชนทั้งหลายรอบด้าน พวกเขาก็มองเข้าใจแล้ว 

 

 

ทหารผู้ล่มชาติ ทหารผู้มีความผิด 

 

 

ที่แท้พวกเขาคือตัวตนเช่นนี้หรือ?