หมาป่าหนึ่งตัว อสูรเขาเดี่ยวหนึ่งตัว อีกาหนึ่งตัว ร่วมกับดอกเบญจมาศแดงอีกหนึ่งดอก สี่สหายยืนเรียงแถวหน้ากระดานบนพื้น ราวกับทอดเกี๊ยวอย่างไรอย่างนั้น มั่วชิงเฉินเห็นแล้วก็พูดไม่ออก
“อู๋เย่ว์ แดงน้อย พวกเจ้าก็อยากเข้าร่วมสนุกด้วยหรือ”
อีกาไฟมีท่าทีเสียใจ กวาดตามองมั่วชิงเฉินอย่างเศร้าสร้อย
มั่วชิงเฉินสะท้านวาบ ไม่กล้าล้อเล่นแล้ว หันมองดอกเบญจมาศแดง
ดอกเบญจมาศแดงยืดตัวตรง “นายท่าน ข้าช่วยท่านแจกผลทารกให้ชายชาตรีทั้งสอง หมาป่าน้อยกับเขาน้อยได้นะเจ้าคะ”
“ชายชาตรี?” ริมฝีปากมั่วชิงเฉินสั่นขณะเปล่งคำนี้ออกมา เกือบลืมหายใจ
แต่หมาป่าน้อยกับเขาน้อยได้ยิน กลับได้ใจจนยืดอกขึ้น
พอนึกแปะคำนี้ลงบนร่างของทั้งสอง แล้วพวกมันก็ทำท่าทางพึงพอใจในตัวเองประกอบ มั่วชิงเฉินก็ได้แต่รู้สึกเศร้าใจ รีบละสายตาไปมองดอกเบญจมาศแดง ก่อนกัดฟันพูด “ใครบอกให้เจ้าเรียกเช่นนี้”
อีกาไฟได้ยิน ก็ถอยหลังไปหนึ่งก้าวเงียบๆ
ดอกเบญจมาศแดงยังไม่รู้ตัว สั่นกลีบว่า “พี่หญิงอู๋เย่ว์บอกเจ้าค่ะ นางว่าเขาน้อยกับหมาป่าน้อยแปลงกายแล้วจะกลายเป็นผู้ชาย มนุษย์ผู้หญิงเวลาแสดงความชื่นชมผู้ชายคนหนึ่ง ก็จะเรียกเช่นนี้…”
ว่าพลางมองหมาป่าน้อยอย่างเขินอาย
“อู๋เย่ว์!” มั่วชิงเฉินพลันหันกาย ไปจ้องมองอีกาไฟที่ถอยครูดไปถึงมุมถ้ำ “เจ้าแค้นพวกมันทั้งสองหรือ”
อีกาไฟรีบสั่นศีรษะ
“เช่นนั้นก็แค้นข้า?” มั่วชิงเฉินถามต่อ
อีกาไฟสั่นศีรษะอีก
มั่วชิงเฉินกำกำปั้น กัดฟันพูด “เมื่อเป็นเช่นนี้ วันหลังเจ้าก็อย่าพูดจามั่วซั่วให้พวกมันเข้าใจผิดอีก มิเช่นนั้นข้าจะมอบผลทารกทั้งหมดให้คนอื่น ให้เจ้าแปลงกายไม่ได้ตลอดไป!”
สวรรค์ ต่อไปถ้าเหล่าอสูรวิญญาณของนางต่างเรียกกันและกันว่าชายชาตรี นางมิเสียหน้าแย่หรือ
“แดงน้อย นำผลทารกให้หมาป่าน้อย” มั่วชิงเฉินโยนขวดหยกให้ดอกเบญจมาศแดง แล้วจึงหันไปมองอีกาไฟพลางทอดถอนใจ
“อู๋เย่ว์ จิตใจเจ้าอยากได้อยากมี แม้บอกว่าเขาน้อยกับหมาป่าน้อยอายุน้อยกว่าเจ้า แต่เรื่องของวาสนาไม่เข้าใครออกใครเป็นที่สุด สิ่งที่ควรเป็นของเจ้า ก็ต้องเป็นของเจ้า สิ่งที่ไม่ควรเป็นของเจ้า เรียกร้องอย่างไรก็ไม่มีทางได้ บลาๆๆๆ…”
มั่วชิงเฉินรู้ว่าอีกาไฟรู้สึกไม่สบอารมณ์กับเรื่องนี้ จึงตักเตือนซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นครั้งแรก
ซึ่งอีกาไฟคิดขัดจังหวะอยู่หลายรอบ แต่ก็ถูกนางหยุดยั้งไว้
“พอแล้ว อู๋เย่ว์ ที่ข้าอยากพูดก็มีเท่านี้ เจ้าจำได้หรือเปล่า”
“จำได้เจ้าค่ะ” อีกาไฟยกปีกทั้งสองข้างขึ้นปิดหน้า
มั่วชิงเฉินรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง “เจ้าปิดหน้าทำไม จริงสิ เมื่อครู่เจ้าอยากพูดอะไร”
อีกาไฟยังคงใช้ปีกปิดหน้าต่อ พลางตอบ “นายท่าน ข้าแค่อยากบอกท่านว่า หมาป่าน้อยกับเขาน้อยกินผลทารกลงไปแล้ว…”
มั่วชิงเฉินได้ยินก็ตกใจ เหงื่อไหลท่วมตัว หันควับและพุ่งมาอยู่ตรงหน้าหมาป่าน้อยกับเขาน้อย
แต่ตอนนี้ ผลทารกได้เข้าไปกระตุ้นพลังปีศาจในร่างของหมาป่าน้อยกับเขาน้อยแล้ว ตลอดทั้งร่างพวกมันถูกแสงวิญญาณล้อมรอบ เข้าสู่ภาวะแปลงกาย
สีหน้ามั่วชิงเฉินบัดเดี๋ยวเขียวบัดเดี๋ยวขาว จ้องมองดอกเบญจมาศที่กอดขวดหยกไว้ พลางเอ็ดเสียงดัง “แดงน้อย ใครบอกให้เจ้าให้ผลทารกกับเขาน้อย”
“หา?” ดอกเบญจมาศแดงทำหน้างุนงง “นายท่าน ก็ท่านเป็นคนสั่งมิใช่หรือ”
สีหน้ามั่วชิงเฉินกำลังจะดำคล้ำ “ข้าให้เจ้าเอาให้หมาป่าน้อย!”
“โฮ นายท่าน ข้า ข้าผิดไปแล้ว ฮึก…” ดอกเบญจมาศแดงถูกดุจนร้องไห้ไปสะอึกไป “เขาน้อยมิได้แปลงกายด้วยหรือ ท่านไม่ได้บอกว่าไม่ให้เขานี่นา ถ้าท่านไม่ให้ ทำไมไม่บอกข้าก่อน ท่านไม่บอก ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรเล่า…”
พอได้ยินดอกเบญจมาศแดงร้องไห้คร่ำครวญ มั่วชิงเฉินก็รู้สึกเย็นวาบขึ้นในใจ เกิดความคิดที่น่ากลัวความคิดหนึ่ง
ต่อไปดอกเบญจมาศแดงแปลงกายแล้ว คงไม่ใช่พระถังซัมจั๋งในรูปแบบผู้หญิงหรอกนะ
จึงตัดสินใจหยิบดอกเบญจมาศแดงโยนกลับเข้าไปในถุงอสูรวิญญาณ จากนั้นก็ได้ยินเสียงของเยี่ยเทียนหยวนดังมา “ศิษย์น้อง เป็นอย่างไรบ้าง เอ่อ หมาป่าน้อยเริ่มแปลงกายแล้วหรือ”
มั่วชิงเฉินหันกายมา พอเห็นเยี่ยเทียนหยวนก็อยากร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตา “ศิษย์พี่ ท่านกลับมาแล้ว”
เยี่ยเทียนหยวนถือถุงเก็บวัตถุมาหนึ่งใบ “ล่าอสูรปีศาจมาสิบตัว น่าจะพอให้หมาป่าน้อยกินนะ”
อสูรวิญญาณประเภทกินเนื้อแบบหมาป่าน้อย ระหว่างอยู่ในขั้นตอนการแปลงกาย ต้องคอยให้กินเนื้อสัตว์สดๆ ที่มีปราณวิญญาณในปริมาณมากบำรุงร่างกาย
เดิมที มั่วชิงเฉินตัดสินใจให้หมาป่าน้อยแปลงกายก่อน รอจนมันผ่านขั้นเคราะห์อัสนีแปลงกายไปได้ ค่อยให้เขาน้อยเริ่มแปลงกาย จึงได้ให้เยี่ยเทียนหยวนออกไปล่าอสูรปีศาจมาจำนวนหนึ่ง กลับไม่คาดคิดว่า ไม่ทันระวังนิดเดียว จะเกิดข้อผิดพลาดได้
นายของอสูรวิญญาณแปลงกายสามารถแบ่งเบาเคราะห์อัสนีของพวกมันมาส่วนหนึ่ง ตอนนี้ดีไหมล่ะ อสูรวิญญาณสองตัวแปลงกายพร้อมกัน นี่มันให้นางเสี่ยงตายเล่นชัดๆ!
เสียงฟ้าร้องดัง ครืนๆ ค่อยๆ คืบคลานจากขอบฟ้า
เยี่ยเทียนหยวนเงยหน้าขึ้นด้วยความสงสัย “แปลก เคราะห์อัสนีแปลงกายสายแรก คล้ายมีพละกำลังค่อนข้างมหาศาล”
“ไม่แปลก เพราะเขาน้อยก็กำลังแปลงกายด้วย” มั่วชิงเฉินตอบอย่างอ่อนแรง
“เขาน้อยด้วยหรือ” เยี่ยเทียนหยวนอึ้ง
หมาป่าน้อยกับเขาน้อยล้วนมีพันธสัญญากับมัวชิงเฉินอยู่กับตัว ลมปราณจึงไม่ขัดแย้งกัน หลังจากกินผลทารกลงไปพร้อมกัน เข้าสู่ภาวะแปลงกายพร้อมกัน และเนื่องจากอยู่ใกล้กัน แสงวิญญาณจึงห่อหุ้มพวกมันไว้ด้วยกัน เยี่ยเทียนหยวนที่เพิ่งเข้ามา ถึงเพิ่งรู้ความจริง
“ศิษย์น้อง…”
มั่วชิงเฉินยกมือห้าม “ศิษย์พี่ ไม่ต้องพูดแล้ว ยังดีที่ระดับบำเพ็ญเพียรของข้าในตอนนี้ไม่เป็นปัญหา สามารถรับเคราะห์อัสนีแปลงกายของพวกมันพร้อมกันได้ ท่านรีบคุ้มกันให้พวกเราก็แล้วกัน”
เยี่ยเทียนหยวนยังคงกังวลใจอยู่บ้าง แต่ก็รู้ว่าเรื่องนี้ นอกจากมั่วชิงเฉินแล้ว คนอื่นล้วนช่วยอะไรไม่ได้ จึงได้แต่พยักหน้า ทะยานร่างไปยืนในที่ที่ไม่ไกลกันนัก คอยตรวจดูสถานการณ์รอบบริเวณ
เมฆดำที่ขอบฟ้าค่อยๆ ลอยมาถึงท้องฟ้าเบื้องบน และกองหนาขึ้นเรื่อยๆ จนท้องฟ้าในรัศมีสิบลี้มีสีดำทะมึน แต่ที่อื่นๆ กลับสว่างไสว
เสียงฟ้าร้องอันเครียดขึ้งเต้นเร่าอยู่ในเมฆดำอันหนาทึบ ส่งเสียงที่ทำให้หงุดหงิดใจ ในความเครียดขึ้งยังมีความกระตือรือร้นที่ข่มกลั้นไว้ไม่อยู่ด้วย
เป็นลักษณะเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ยิ่งมาก็ยิ่งมีเมฆดำกระจุกตัวรวมกันที่ท้องฟ้าเบื้องบนมากขึ้น จนสุดท้ายเมฆดำหนาทึบก็เคลื่อนลงต่ำราวกับท้องฟ้ารับน้ำหนักไม่ไหว ทำท่าจะหล่นลงมาทุกขณะ
เจ็ดวันเจ็ดคืนผ่านพ้น ปราณวิญญาณคลุ้มคลั่งในรัศมีสิบลี้ที่พุ่งเข้ามาจากทุกทิศทุกทางนับไม่ถ้วน ล้วนถูกเมฆดำกลืนกินไปหมด เสียงฟ้าร้องที่แฝงตัวมากับเมฆดำก็ชัดขึ้นเรื่อยๆ
สภาวะที่ผิดปกติเช่นนี้ ทำให้ผู้บำเพ็ญเพียรนับไม่ถ้วนตื่นตระหนก มีไม่น้อยที่รีบรุดมาดู แต่พอเห็นว่าผู้คุ้มกันเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขั้นปลายท่านหนึ่ง จึงรู้กาลเทศะ จากไปภายใต้ใบหน้าเย็นชาของผู้คุ้มกัน และทำได้เพียงเฝ้าดูจากที่ที่อยู่ไกลออกมา
“เชิญจากไปเสีย” เยี่ยเทียนหยวนมองด้วยสายตาเย็นชา เล่นเอาผู้บำเพ็ญเพียรที่รีบรุดมาจำนวนหนึ่งตกใจจนต้องถอยออก จากนั้นค่อยแหงนหน้ามองเมฆดำบนท้องฟ้า
ดูตามสภาพการณ์ เคราะห์อัสนีแปลงกายกำลังจะเริ่มต้นขึ้น
ทว่าเงาร่างสีฟ้าครามสายหนึ่งกลับตกลงมาอย่างเงียบๆ
ราวกับเยี่ยเทียนหยวนมีดวงตางอกขึ้นที่ด้านหลัง เขาหันหลังทันที แล้วเลิกคิ้วรูปกระบี่ขึ้น “เจ้าปีศาจ?”
ผู้มาสวมชุดยาวสีฟ้าคราม รูปร่างเล็ก ใบหน้าอ่อนเยาว์ ดูๆ ไปก็คือเด็กหนุ่มอายุสิบสี่สิบห้าคนหนึ่ง ซึ่ง
หลังออกจากมิติแปรปรวน ก็ไม่ได้พบหน้ากันอีก
พอเจ้าปีศาจลั่วเฟิงปรากฏตัว เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรที่เฝ้ามองจากระยะไกลก็รีบจากไปอย่างเงียบๆ ทันที
ผู้บำเพ็ญเพียรระดับถอดดวงจิตในจงหลาง ไม่เหมือนในทวีปแห่งเทพที่แทบจะดำรงชีวิตอยู่อย่างในตำนาน แต่ทั่วทั้งจงหลาง กลับพบเจอได้ยากมาก โดยชั่วชีวิตของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีใครได้พบเจอ
ซึ่งคนอย่างเจ้าปีศาจ พวกเขาไม่สามารถตอแยด้วยอยู่แล้ว เพราะถ้าเผลอถูกฟาดตายจะไปเอาเรื่องกับใครได้
เจ้าปีศาจลั่วเฟิงชะเง้อมองไปทางมั่วชิงเฉิน ก่อนหันมายิ้มน้อยๆ กับเยี่ยเทียนหยวน “หกสิบกว่าปีไม่เจอกัน อสูรวิญญาณของนางล้วนแปลงกายแล้วหรือ ยินดีด้วยจริงๆ”
ในใจเยี่ยเทียนหยวนสะดุดกึก แต่สีหน้ากลับเย็นชาเหมือนเดิม ก่อนพูดอย่างสงบ “ขอบคุณเจ้าปีศาจที่ห่วงใย รอให้อสูรวิญญาณของศิษย์น้องแปลงกายสำเร็จ เราสองสามีภรรยาขอเชิญผู้อาวุโสดื่มสุราสักจอก”
มั่วชิงเฉินที่อยู่อีกด้าน เนื่องจากตำแหน่งของร่างอยู่ใต้อำนาจสวรรค์ จึงเคลื่อนที่สะเปะสะปะตามอำเภอใจไม่ได้ พอเห็นเจ้าปีศาจ ก็พลันส่งเสียงดำมืดในใจ แย่แล้ว
คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าขณะพวกหมาป่าน้อยแปลงกาย ปราณปีศาจจะพุ่งทะลุฟ้า ชักนำเจ้าปีศาจมา
หรือจะเป็นอย่างที่เขาว่ากันว่า กว่าจะประสบความสำเร็จ ต้องผ่านการเคี่ยวกรำอย่างหนัก
คิดจะผ่านขั้นเคราะห์อัสนีอย่างปลอดภัย อาศัยระดับบำเพ็ญเพียรอย่างเดียวไม่พอ สิ่งสำคัญยังคงเป็นจิตใจ
การทะลวงมรรคาแห่งการสังหารของเซียนสันโดษมาได้ ยกระดับความคิดจิตใจของมั่วชิงเฉินขึ้นมาก แม้รู้ว่ามีความยากลำบากที่ด้านนอก ก็ต้องรีบตัดสินใจ จึงจ้องมองเยี่ยเทียนหยวนอย่างลึกซึ้งแล้วหลับตาลง
เรื่องมาจนป่านนี้ มีเพียงต้องช่วยพวกหมาป่าน้อยแปลงกายให้เร็วที่สุดถึงจะถูก
ครืนๆๆ…
ทันใด สายฟ้าสายหนึ่งตัดผ่านเมฆดำหนาทึบ ผ่าลงมาเป็นครั้งแรก
เจ้าปีศาจลั่วเฟิงหรี่ตา ปลายเท้าเขย่งเล็กน้อย พุ่งเข้าหาเยี่ยเทียนหยวนราวกับไม่มีอะไร ก่อนหัวเราะเสียงดัง
“ฮ่าๆๆ เชิญเราดื่มสุราหรือ ไม่จำเป็นหรอก ข้าสนใจชีวิตพวกเจ้ามากกว่า!”
ทว่าหกสิบกว่าปีที่ไม่ได้เจอกัน แม้ระดับบำเพ็ญเพียรของพวกเขาไม่เปลี่ยนแปลง แต่ลมปราณที่เล็ดลอดออกมานั้น กลับทำให้เจ้าปีศาจหนาวเหน็บโดยไม่รู้ตัว พอมาดูอารมณ์ความรู้สึก ก็ยิ่งหนักแน่นมั่งคง ผิดไปจากผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขั้นปลายทั่วไป
จากสภาวะเช่นนี้ของพวกเขา หรือว่าขาดอีกก้าวเดียวก็…
เจ้าปีศาจลั่วเฟิงรู้อยู่แก่ใจว่าตนเป็นศัตรู มิใช่มิตรของพวกมั่วชิงเฉิน ถ้านางกับเยี่ยเทียนหยวนเข้าสู่ระดับถอดดวงจิต เช่นนั้นเขาก็ย่อมจบไม่สวย
คิดได้เช่นนี้แล้ว จะปล่อยให้พวกเขามีชีวิตอยู่ได้อย่างไร
เห็นเจ้าปีศาจลั่วเฟิงบอกว่าโจมตีก็โจมตี ลงมือเปล่งรังสีฆ่าฟันอันน่าตื่นตระหนกใส่ทันที เยี่ยเทียนหยวนรู้ว่าฝ่ายตรงข้ามปรารถนาเป็นอย่างยิ่งที่จะฆ่าพวกตน จึงไม่ลังเลใจ สำแดงอิทธิฤทธิ์ป้องกันที่ตะหนักรู้มาได้ล่าสุด ทนทานเก้าชั้นฟ้า
สองมือเนียนขาวเรียวยาวของเจ้าปีศาจลั่วเฟิง กลับเหมือนดาบคมกริบ ฟันใส่ผนังแสงที่อยู่ชั้นนอกสุดอย่างแรง ได้ยินเพียงเสียง เปรี๊ยะ ผนังแสงชั้นนอกสุดพลันแตก
เยี่ยเทียนหยวนไม่ทันแม้ขมวดคิ้ว เร่งแปลงพลังวิญญาณตลอดทั้งร่างให้ไปรวมยังชั้นฟ้าที่สาม
นิ้วของเจ้าปีศาจลั่วเฟิงมีแสงเรืองๆ ไหลเวียนอยู่ ลงมือไวดุจฟ้าแลบ ฟันใส่ผนังแสงครั้งแล้วครั้งเล่า
ผนังแสงยุบเข้าไป แล้วเด้งกลับคืนดังเดิม
เพียงแต่ผ่านการยุบเด้งเป็นหมื่นเป็นพันครั้งในพริบตา จึงเริ่มต้านไม่อยู่
อิทธิฤทธิ์ทนทานเก้าชั้นฟ้าของเยี่ยเทียนหยวนตอนนี้สำแดงได้ถึงชั้นที่สี่ ผ่านไปครึ่งชั่วยาม ขณะชั้นฟ้าที่สามแตก มั่วชิงเฉินเพิ่งรับเคราะห์อัสนีสายที่หนึ่งได้และกำลังปรับลมปราณ เคราะห์อัสนีสายที่สองกำลังจะผ่าลงมา
โดยทั่วไป เคราะห์อัสนีแปลงกายมีอย่างน้อยสองเก้าสิบแปดสาย มั่วชิงเฉินรู้ว่าหมาป่าน้อยกับเขาน้อยไม่ใช่อสูรวิญญาณธรรมดา จึงเตรียมตัวเพื่อรับเคราะห์อัสนีสามเก้ายี่สิบเจ็ดสาย
ผ่านไปสามวันสามคืนเต็มๆ เคราะห์อัสนีได้ผ่าลงมายี่สิบสายแล้ว เมฆดำบนฟ้าแผ่ความกดดัน เสียงฟ้าร้องติดต่อกันไม่หยุด เคราะห์อัสนีอีกหนึ่งสายกำลังจะทะลุเมฆลงมา
ด้านเยี่ยเทียนหยวน ผนังแสงชั้นสุดท้ายได้มาถึงขอบเขตที่แตกร้าวแล้ว
เยี่ยเทียนหยวนหันหลังกลับไปมองมั่วชิงเฉินอย่างลึกซึ้ง จากนั้นก็หันมาจ้องมองใบหน้าได้ใจของเจ้าปีศาจลั่วเฟิง
เจ้าปีศาจลั่วเฟิงก็กำลังจ้องมองเยี่ยเทียนหยวนด้วยใบหน้าเปี่ยมรังสีฆ่าฟันรุนแรง
เสียง เปรี๊ยะ รอยแตกเส้นหนึ่งปรากฏบนผนังแสง
ที่กั้นสุดท้ายที่ใช้หยุดยั้งเจ้าปีศาจกำลังสั่นคลอนคล้ายจะพังทลาย!