ภาคใต้ฟ้ากว้างใหญ่ บทที่ 8 รักถึงขั้นสิ้นหวัง (4)

กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ

เสียงนั้นเล็กแหลมสดใส ดุจเสียงของนกขมิ้นทองในหุบเขา กลับฟังดูคุ้นหูอยู่หลายส่วน

ซูหลีอดหันไปมองไม่ได้ เห็นเพียงสตรีนางหนึ่งมีดวงตาและคิ้วอันงดงามละเอียดอ่อน ผิวขาวเนียนดุจหยก สวมอาภรณ์สีเหลืองวิ่งมาที่ด้านหน้าแผงลอยอย่างตื่นเต้น จากนั้นก็เลือกวัสดุไม้ด้วยท่าทางเบิกบานดีใจ

ซูหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย สตรีนางนี้ก็คือเหลียงหรูเยวี่ย บุตรีของผู้บัญชาการทหารเหลียงสือชู ไม่เจอกันหลายปี เด็กสาวที่เคยน่ารักไร้เดียงสาในตอนนั้น ยามนี้กลับงดงามสะโอดสะองถึงเพียงนี้ ลองคำนวณอายุ นางเองก็อายุเกินยี่สิบแล้ว แต่ความสดใสร่าเริงของนางกลับไม่เคยจางหายไป

และพี่ชายที่นางกล่าวถึง…

ซูหลีค่อยๆ เงยหน้าขึ้น ห่างออกไปในระยะไม่กี่ก้าว คุณชายชุดดำที่กำลังเดินเข้ามาอย่างแช่มช้า มิใช่ตงฟางเจ๋อที่ถึงแม้นางอยากหลบหน้าก็หลบไม่ทันแล้วหรอกหรือ?

ใบหน้าของตงฟางเจ๋อสับสน จ้องมองไม้ตะโกที่นางกำแน่นไว้ในมือ สายตาเป็นประกายขึ้นมาเล็กน้อย

ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยกับโม่เซียงหมายจะเดินเข้าไปถวายบังคม แต่เขากลับยกมือห้ามไว้ก่อน จึงทำได้เพียงถอยไปยืนด้านหนึ่ง

เหลียงหรูเยวี่ยกวาดมองไม้บนแผงลอยอย่างรวดเร็วรอบหนึ่ง ก็ต้องลอบผิดหวัง ครั้นหันไปเห็นไม้ตะโกในมือซูหลี ก็พลันยิ้มอย่างดีใจ ทว่าเมื่อเงยหน้าก็ต้องตะลึงงัน

“คุณหนูซู?” นางตกตะลึง ครั้นหลุดปากเรียกออกไปก็พลันได้สติ รีบเดินเข้าไปย่อกาย “หรูเยวี่ยถวายบังคม…”

“อยู่ข้างนอก คุณหนูเหลียงไม่จำเป็นต้องมากพิธี” ซูหลีห้ามปรามนาง ครั้นนึกถึงงานเลี้ยงเมื่อคืนที่เหลียงสือชูนำเหล่าขุนนางเกลี้ยกล่อมให้ตงฟางเจ๋อแต่งตั้งสนม วันนี้เขากับนางก็ออกมาเที่ยวด้วยกัน เกรงว่าคงจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญ

ยามนี้เองเจ้าของแผงลอยยิ้มแล้วกล่าวว่า “คุณหนูตาดียิ่งนัก ไม้ตะโกชิ้นนี้มาจากยอดเขาอวิ๋นซาน เป็นของหายาก ข้าเองก็ได้มันมาชิ้นหนึ่งด้วยความบังเอิญ หากคุณหนูชอบจริงๆ ข้าขายให้ในราคาสิบตำลึงก็แล้วกัน”

ซูหลีส่ายหน้าเล็กน้อย หมายจะวางไม้ตะโกไว้ที่เดิม ตงฟางเจ๋อพลันเดินเข้ามากุมมือนาง แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “หากเจ้าชอบก็เก็บไว้เถิด วันหลังข้าจะ…”

ไม่รอให้เขาพูดจบ ซูหลีรีบดึงมือออกจากมือเขา เบนสายตาออกไปทางอื่นเล็กน้อย “ข้ามีของล้ำค่ามากมายนับไม่ถ้วน จะเอาไม้ชิ้นนี้ไปทำอะไรกัน?”

สายตาของตงฟางเจ๋อแปรเปลี่ยนเล็กน้อย คล้ายไม่อยากเชื่อ

ซูหลีแสร้งทำเป็นไม่เห็น เพียงหันไปยิ้มให้เหลียงหรูเยวี่ยแล้วกล่าวว่า “ข้ากับคุณหนูเหลียงเองก็ถือว่ารู้จักกันมานาน ไม่ได้เจอกันหลายปี วันนี้ถือว่ามีวาสนาได้พบกันอีกครั้ง เมื่อครู่เจ้าบอกว่าอยากได้รูปสลักไม้ ไม้ตะโกชิ้นนี้ ถือว่าข้ามอบเป็นของขวัญให้เจ้าก็แล้วกัน”

โม่เซียงรีบล้วงถุงเงินออกมาแล้วจ่ายเงินให้เจ้าของแผงลอย

เหลียงหรูเยวี่ยตาเป็นประกาย เอ่ยด้วยความปลื้มปีติ “ท่าน…มอบให้ข้าจริงหรือ?” นางนึกไม่ถึง ว่ายามนี้ฐานะของซูหลีไม่เหมือนเดิม แต่กลับยังคงปฏิบัติต่อคนอื่นอย่างอ่อนโยนและสนิทสนมถึงเพียงนี้ จึงอดประหลาดใจไม่ได้

ซูหลีดึงมือนางไป แล้ววางไม้ตะโกชิ้นนั้นกลางฝ่ามือนาง ยิ้มแล้วเอ่ยเสียงเรียบเฉยว่า “สิ่งของควรอยู่กับผู้มีวาสนา คุณหนูเหลียงอุตส่าห์ชอบด้วยใจจริง หากมีคนสลักไม้นี้เป็นดวงหน้าอันงดงามของคุณหนู จึงจะกลายเป็นของล้ำค่าอย่างแท้จริง”

เหลียงหรูเยวี่ยดีใจจนพวงแก้มแดงเรื่อ ด้วยความตื้นตันกลับโผกอดซูหลีอย่างลืมตัว นางยิ้มอย่างจริงใจแล้วกล่าวว่า “ขอบคุณมากเจ้าค่ะ!”

ซูหลีอึ้งงันเล็กน้อย คงมีเพียงสตรีที่จริงใจไม่อ้อมค้อมเช่นนี้ จึงจะสามารถดูแลและเอาใจใส่เขาได้ดีกว่ากระมัง? หัวใจนางพลันเจ็บแปลบ ใบหน้ากลับเรียบนิ่งดุจผิวน้ำ หันมองบุรุษที่ยามนี้กำลังขมวดคิ้วอยู่ด้านหนึ่ง นางแย้มยิ้มแล้วเอ่ยว่า “คุณหนูเหลียงจิตใจบริสุทธิ์ น่ารักไร้เดียงสา หากผู้ใดได้เจ้าเป็นภรรยา ถือเป็นบุญของคนผู้นั้นยิ่งนัก”

ในระยะห่างเพียงหนึ่งก้าว ตงฟางเจ๋อขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม เขาไม่หลบตานางแม้แต่น้อย คล้ายต้องการอ่านความคิดของนางให้กระจ่าง

เหลียงหรูเยวี่ยปล่อยนาง แล้วยิ้มอย่างเหนียมอาย หันไปมองตงฟางเจ๋อเล็กน้อย

ซูหลีรีบหลบสายตา ยิ้มเป็นปกติแล้วกล่าวว่า “วันนี้อากาศดี ทั้งสองท่านเดินเล่นตามสบายเถิด ข้ายังมีธุระ ต้องขอตัวก่อน” เอ่ยจบ นางก็เดินผ่านเขาไปโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย

วินาทีนั้น หัวใจของตงฟางเจ๋อจมดิ่งสู่ก้นเหว

โม่เซียงค้อมกายทำความเคารพอย่างเร่งรีบ ก่อนจะเร่งฝีเท้าเดินตามไป ขณะเดินผ่านเซิ่งฉินที่ติดตามคุ้มกันอยู่ห่างๆ นางแอบชำเลืองมองเขา แล้วเม้มปากยิ้มเล็กน้อย ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยเห็นสีหน้าตงฟางเจ๋อไม่สู้ดี รู้ดีว่าไม่ควรพูดอะไรให้มากความ ทำได้เพียงถอนหายใจ แล้วเดินจากไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน

ครั้นกลับมาถึงวังก็เป็นเวลาบ่ายคล้อยแล้ว หวั่นซินรออยู่นานแล้ว ครั้นเห็นทั้งสามลงจากรถ ก็รีบเดินเข้าไปหาแล้วกล่าวว่า “ฝ่าบาท เซียวต้าไน่ตายแล้วเพคะ!”

ซูหลีได้ยินสีหน้าก็พลันเปลี่ยนไป ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยรีบถามทันที “ตายได้อย่างไร?”

หวั่นซินกล่าว “เมื่อคืนเขาพาอนุออกไปชมดอกไม้ไฟ แล้วพลาดท่าจมน้ำตายเพคะ”

“ช่างบังเอิญนัก!” สายตาของซูหลีแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา “คิดจะจับเขาไปสอบปากคำ แต่เขากลับตายได้ถูกเวลา! อนุของเขาเล่า?”

หวั่นซินตอบว่า “ได้ยินว่าตกใจจนเสียสติไปแล้ว ตอนนี้ถูกขังไว้ในคุกกรมอาญาของแคว้นเฉิงเพคะ!”

ซูหลีกล่าวว่า “ไปสืบประวัตินางมา”

หวั่นซินรับคำแล้วจากไปทันที

เวลาสองวันผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว หวั่นซินนำข่าวหนึ่งกลับมา ซูหลีกับซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยฟังจบ ต่างก็มีสีหน้าหนักใจ

ซูหลีเงียบงันไปครู่หนึ่ง แล้วถามว่า “ทางการแคว้นเฉิงรู้เรื่องนี้หรือไม่?”

หวั่นซินส่ายหน้า แล้วบอกว่า “ตอนนี้น่าจะยังไม่รู้ แต่ช้าเร็วก็คงสืบเจอเพคะ”

ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยขมวดคิ้วเล็กน้อย มองหน้าซูหลีอย่างกังวลใจ “อนุคนนั้นกลับเคยเป็นสาวรับใช้ในจวนฉางผิงโหว ซ้ำยังเคยรับใช้เสี่ยวหมานอีกด้วย! เสี่ยวหมานนาง…หากนางมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้จริง เกรงว่าทางแคว้นเฉิงคงไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆ แน่นอน!”

เป็นไปตามคาด หลังผ่านพ้นช่วงเทศกาลปีใหม่ไป กรมอาญาของแคว้นเฉิงถวายฎีกา “อนุภรรยาของเซียวต้าไน่เคยเป็นสาวรับใช้ในจวนฉางผิงโหวแห่งแคว้นติ้ง ถูกฮั่วฮองเฮาแห่งแคว้นติ้งบงการให้ปล่อยข่าวลือเขย่าขวัญ ทำให้เสื่อมเสียเกียรติของฮ่องเต้แคว้นเฉิง ใส่ร้ายฮ่องเต้แคว้นเฉิงว่าต้องการยึดครองแคว้นติ้ง มีเจตนาแอบแฝง” ก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากเหล่าขุนนาง

ที่ร้ายแรงกว่านั้น ยังมีคนกล่าวว่าผู้อยู่เบื้องหลังตัวจริงของเรื่องนี้ก็คือฮ่องเต้หญิงแห่งแคว้นติ้ง มีจุดประสงค์สร้างความสับสนให้ชาวโลก เพื่อเป็นข้ออ้างในการยึดครองบ้านเมืองแคว้นเฉิงในภายภาคหน้า ฎีกาขอร้องให้แต่งตั้งสนมกองเต็มห้องทรงพระอักษรของพระราชวังเฉิง

ซูหลีได้ยินก็สงบนิ่งใจเย็น ไม่พูดอะไรสักคำ

เหล่าขุนนางแคว้นเฉิงถวายฎีกาเกลี้ยกล่อมให้ฮ่องเต้แคว้นเฉิงแต่งตั้งสนม ในขณะเดียวกันเหล่าขุนนางแคว้นติ้งก็ร้องขอเข้าเฝ้าฮ่องเต้หญิง เพื่อจะหารือเกี่ยวกับการยับยั้งการแต่งตั้งสนมของฮ่องเต้แคว้นเฉิง

กรมพิธีการกล่าวด้วยความขุ่นเคือง “สองแคว้นเพิ่งจะแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์อย่างเป็นทางการได้เพียงสามเดือน หากฮ่องเต้แคว้นเฉิงแต่งตั้งสนมในยามนี้ ก็ไม่ต่างจากตบพระพักตร์ฝ่าบาท หากเป็นเช่นนี้ฝ่าบาทจะเอาหน้าไปไว้ที่ใด!”

กรมอาญาเองก็เดือดดาล “ใช่แล้ว! ฝ่าบาททรงเป็นฮ่องเต้หญิงของแคว้นเรา จะมีสวามีร่วมกับสตรีอื่นได้เช่นใดกัน! ไม่ได้เด็ดขาด เราต้องหาวิธียับยั้งการแต่งตั้งสนมของฮ่องเต้แคว้นเฉิงให้จงได้!”

กรมขุนนางยักไหล่ “จะยับยั้งอย่างไร? หรือจะให้ฝ่าบาทแต่งตั้งสวามีจริงๆ เล่า?”

เสิ่นเจี้ยนอันกลับย้อนถาม “ทำไมจะไม่ได้เล่า?!”

รองหัวหน้ากรมพิธีการส่ายหน้า “หนึ่งสตรีมากสามีขัดต่อหลักคุณธรรม จะกลายเป็นที่ครหาของชาวโลกได้! จากความเห็นของข้า มิสู้ยกเลิกการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ เพื่อรักษาพระเกียรติของฝ่าบาทไว้เสียดีกว่า…”

“ไม่ได้เด็ดขาด!” ลู่เจี่ยนไป๋คัดค้านเสียงเข้ม “ฝ่าบาททุ่มเทแรงกายและแรงใจถึงสามปีกว่าจะฟื้นฟูแว่นแคว้นให้กลับมารุ่งเรืองดังเดิม ยามนี้เมืองหลวงถูกย้ายมาแล้ว ข้อตกลงต่างๆ เริ่มทยอยมีผลบังคับใช้แล้ว ยกเลิกการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ในเวลานี้ไม่ได้เด็ดขาด!”

“เช่นนั้นท่านอัครเสนาบดีคิดว่าพวกเราควรทำเช่นไรเล่า?” เสิ่นเจี้ยนอันถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ยอมให้ฮ่องเต้แคว้นเฉิงแต่งตั้งสนม ปล่อยให้ฝ่าบาทเสียพระพักตร์?”

เซี่ยอวิ๋นเซวียนยืนเงียบมาตลอดตั้งแต่เข้ามา ได้ยินเหล่าขุนนางถกเถียงกัน เดิมทีไม่คิดจะพูดสอดแทรกใดๆ แต่ครั้นฟังมาถึงตอนนี้ก็อดเงยหน้ามองซูหลีไม่ได้

ซูหลีนั่งผึ่งผายอยู่ด้านหลังโต๊ะทรงพระอักษรตัวใหญ่ ยิ่งทำให้ดูตัวเล็กและผ่ายผอม นางกำลังจ้องฎีกาในมืออย่างเหม่อลอย

พลันนั้น เซี่ยอวิ๋นเซวียนก็เดือดดาลขึ้นมา เขาก้าวไปข้างหน้า แล้วเอ่ยเสียงดัง “ใต้เท้าทุกท่านต่างยึดมั่นในความเห็นของตนเอง ทว่าเคยไตร่ตรองเรื่องหนึ่งหรือไม่?”

ทุกคนหันมามองเขาเป็นตาเดียว “เรื่องใด?”

เซี่ยอวิ๋นเซวียนกล่าวเสียงเข้ม “ฮ่องเต้แคว้นเฉิงตงฟางเจ๋อเป็นคนเช่นไร มีหรือจะปล่อยให้ขุนนางบงการได้ง่ายๆ! ยังไม่พูดถึงเรื่องแต่งตั้งสนมที่ยังไม่ได้ข้อสรุป แค่เมื่อครู่ที่ใต้เท้าทุกท่านพูดถึงแว่นแคว้นว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป จะเสื่อมเสียเกียรติอย่างไรบ้าง และการยกเลิกงานแต่งเชื่อมสัมพันธ์จะส่งผลอย่างไร! เคยมีผู้ใดคิดบ้างหรือไม่ ว่าแท้จริงแล้วเรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนพระองค์ของฝ่าบาท เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความสุขทั้งชีวิตของพระองค์! ยามนั้นคนที่คุกเข่าขอร้องให้ฝ่าบาทตอบรับการสู่ขอก็คือพวกท่าน ยามนี้เมื่อเผชิญหน้ากับปัญหาไม่คิดหาทางแก้ไข กลับคิดแต่จะยกเลิกงานแต่ง ขอถามสักนิด พวกท่านเคยคำนึงถึงความสุขทั้งชีวิตของฝ่าบาทบ้างหรือไม่?”

—————————————