ตอนที่ 522 - เริ่มโจมตี

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ【之全能大師 】

Ep.522 – เริ่มโจมตี

 

 

 

 

 

เลือดนี้ ดึงดูดสัตว์ร้ายให้เข้ามามากขึ้น

 

 

 

 

 

มิต่างจากกองหิมะ ที่ยิ่งนานยิ่งทับถม ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีทางหยุดจนกว่าเกล็ดหิมะจากบนฟ้าจะไม่ตกลงมาอีก

 

 

 

 

 

เบื้องล่างกำแพงชายแดน ผู้ใช้วรยุทธโบราณทุกคนต่อสู้อย่างหนัก

 

 

 

 

 

ท่ามกลางสมรภูมิ สัตว์ร้ายตนหนึ่งแยกตัวจากฝูง กระโจนเข้าขย้ำผู้ใช้พลังเลเวล C

 

 

 

 

 

ผู้ใช้พลังเลเวล C เห็นสัตว์ร้ายตรงเข้ามา พลันเร่งเร้าปราณกำลังภายใน ระเบิดออกมาห่อหุ้มปกคลุมกายทันที

 

 

 

 

 

“เดรัจฉานเอ๋ย จงมอบชีวิตแก่บิดา!”

 

 

 

 

 

ขวานในมือเขาสาดแสงจรัส ฟาดลงบนร่างของสัตว์ร้ายอย่างดุดัน

 

 

 

 

 

ตามปกติแล้ว กระบวนท่าวรยุทธนี้สามารถสร้างความเสียหายแก่ศัตรูได้อย่างมาก แต่ในเวลานี้ ผลลัพธ์ของมัน กลับปรากฏเพียงรอยตัดจางๆ ยาวไม่ถึงครึ่งเมตร

 

 

 

 

 

มิอาจสร้างอาการบาดเจ็บได้มากพอ ตรงกันข้าม กลับยิ่งกระตุ้นห้วงอารมณ์ดุร้ายโกรธเกรี้ยวของสัตว์ร้าย

 

 

 

 

 

“โฮกกกก!”

 

 

 

 

 

สัตว์ร้ายโฉบกายกระแทกสวนเข้าใส่ด้วยความเร็วอันน่าหวาดกลัว

 

 

 

 

 

“แย่ล่ะสิ!”

 

 

 

 

 

ผู้ใช้วรยุทธโบราณต้องการถอยหนี แต่ก็พบว่าความเร็วของตนเอง มิอาจเทียบกับสัตว์ร้ายได้เลย

 

 

 

 

 

“อ๊า! มันคือทหารสัตว์ร้าย เป็นสัตว์ร้ายวิวัฒนาการ! ใครก็ได้ ช่วยฉั–”

 

 

 

 

 

ยังไม่ทันจบประโยค สัตว์ร้ายราวกับสายลม โฉบเข้าถึงข้างกายเขา ปากใหญ่อ้าออก งับเข้าใส่ผู้ใช้พลังเลเวล C ทันที

 

 

 

 

 

เพล้ง!

 

 

 

 

 

ปราณกำลังภายในที่เปรียบดั่งกระจกใส แตกเป็นเสี่ยงๆ

 

 

 

 

 

ต่อมา บังเกิดเสียงกร๊อบ จากฟันแหลมที่ฝังลึก บดลงบนกระดูกคน ผู้ใช้วรยุทธโบราณเลเวล C จบชีวิตลงภายใต้คมเขี้ยวสัตว์ร้าย

 

 

 

 

 

และฉากดังกล่าวนี้ ตามแนวกำแพงชายแดนอันกว้างใหญ่ มันเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 

 

 

 

 

ฉินเฟิงย่อมตระหนักถึงเรื่องนี้ แต่เขาไม่สามารถทำอะไรได้ ก่อนเกิดใหม่ ทุกครั้งที่เกิดการรุกรานจากกองทัพสัตว์ร้าย เรื่องแบบนี้มักจะเกิดขึ้นเสมอๆ

 

 

 

 

 

เพื่อหยุดยั้งการรุกรานจากสัตว์ร้าย ในแต่ละปี มนุษย์ต้องจบชีวิตลงหลักพันหลักหมื่นคน!

 

 

 

 

 

ฉินเฟิงเคยมีประสบการณ์พบเจอกับผู้คนตกตายต่อหน้าหลักหมื่นคน ในสงครามมาแล้วก็จริง แต่เมื่อเห็นฉากนี้ แววตาของเขาก็อดแดงฉานไม่ได้ ความโกรธปะทุโหมในจิตใจ

 

 

 

 

 

เนื่องจากในชีวิตก่อน ฉินเฟิงอ่อนแอ แม้เขาจะสามารถต่อสู้ท่ามกลางการรุมล้อมจากสัตว์ร้ายได้ แต่หากต้องเผชิญกับระดับทหารหรือนายพลในเลเวลเดียวกัน เขาก็ไม่ไหวเหมือนกัน ดังนั้นไม่มีเวลามามัวเมตตาสงสาร สนใจเกี่ยวกับวิกฤตของผู้อื่น

 

 

 

 

 

ทว่าในชีวิตนี้ ฉินเฟิงตระหนักดี ถึงความแข็งแกร่งที่ตนครอบครอง ซึ่งมันมากพอที่จะใส่ใจคนอื่นๆ!

 

 

 

 

 

ท่ามกลางเสียงเอะอะโวยวายกลางสมรภูมิ ฉินเฟิงร้องคำรามขึ้นทันใด “เป็นแบบนี้ต่อไปต้องแพ้แน่ๆ ผมจะไปดักพวกมันตรงรอยแยกมิติป่าหยวน พวกคุณช่วยกันรับมือมันตรงนี้นะ”

 

 

 

 

 

ระหว่างกล่าว ฉินเฟิงก็ตวัดคมมีด สังหารสัตว์ร้ายไปอีกตัว

 

 

 

 

 

ทุกที่ที่เขาก้าวผ่าน ทุกสิ่งล้วนถูกทำลายสิ้น ชีวิตของเหล่าสัตว์ร้ายถูกเก็บเกี่ยวไปตลอดทาง

 

 

 

 

 

ช่วงเวลานี้ ร่างของฉินเฟิง กระโจนไกลออกไป มุ่งสู่ส่วนลึกของป่าหยวน

 

 

 

 

 

เหล่าเลเวล B และ C ที่คอยป้องกันกำแพง กระทั่งทหารชายแดนบนกำแพงเมือง พอได้ยินก็นิ่งค้างราวกับถูกแช่แข็ง

 

 

 

 

 

เพราะพวกเขาคงไม่อาจจินตนาการ ว่าการดำรงอยู่อันน่าสะพรึงของกองทัพสัตว์ร้าย ที่มนุษย์ต้องคอยเป็นฝ่ายตั้งรับตลอดมา จู่ๆจะมีคนคิดพิสดาร ชิงเป็นฝ่ายบุกโจมตีกองทัพสัตว์ร้ายซะเอง

 

 

 

 

 

แต่ทำแบบนั้น มันไม่เท่ากับเป็นการโยนตัวเองลงสู่ความตายหรอกหรือ?

 

 

 

 

 

“เมื่อกี้เขาบอกว่าจะบุกเข้าไปใช่รึเปล่า บ้าไปแล้วรึไง?”

 

 

 

 

 

“เฮ้ย รีบกลับมาเร็ว!”

 

 

 

 

 

“เจ้าหมอนั่นเป็นใครกัน จู่ๆก็ทำเป็นเก่ง คิดบุกเข้าไปในป่าหยวน?”

 

 

 

 

 

เหล่าผู้คนร้องตะโกนขึ้นพร้อมกัน อย่างไรก็ตาม ในบรรดาผู้ใช้พลังเลเวล B บางคน เวลานี้ ดวงตาของพวกเขาพลันเปล่งประกาย

 

 

 

 

 

“นั่นฉินเฟิง ถ้าเป็นเขาล่ะก็ มันอาจเป็นไปได้”

 

 

 

 

 

เลเวล B พึมพำกับตัวเอง เบื้องหลังเลเวล B ลูกน้องคนหนึ่งที่ยังหนุ่ม อายุน่าจะราวๆ 31-32 แต่สามารถก้าวสู่เลเวล C ได้แล้ว ถือว่ามีพรสวรรค์กว่าคนทั่วๆไป เมื่อเห็นหัวหน้าตน มองไปยังทิศทางของฉินเฟิง ก็เกิดความริษยาขึ้นในจิตใจ

 

 

 

 

 

“เจ้าหมอนั่นคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน? กล้าพูดว่าจะบุกไปยังรอยแยกมิติ ไร้สาระสิ้นดี! ไม่ใช่ว่าเขากลัวกองทัพสัตว์ร้าย และพูดแบบนั้นเพื่อหาโอกาสลอบหลบหนีหรอกนะ”

 

 

 

 

 

เมื่อได้ยินชายหนุ่มกล่าว คนอื่นๆก็คิดแบบเดียวกัน เริ่มสบถด่าออกมา

 

 

 

 

 

อย่างไรก็ตาม เลเวล B พอได้ยิน สีหน้าของเขากลายเป็นเย็นชา หันขวับมาตำหนิอย่างรุนแรง “หุบปากซะ ถ้าฉินเฟิงบอกว่าทำได้ เขาต้องทำได้ พวกแกไม่มีคุณสมบัติพอที่จะตัดสินเขา!”

 

 

 

 

 

“อา–” ผู้ใช้พลังเลเวล C สับสนเล็กน้อย แต่เมื่อมองไปยังสีหน้าเคร่งขรึมจริงจังของหัวหน้า ซึ่งเห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายดูไม่ได้เอ่ยล้อเล่นเลย

 

 

 

 

 

“เข้าใจแล้วบอส ว่าแต่ .. คนๆนั้นเป็นใครกัน?”

 

 

 

 

 

เป็นใครงั้นหรอ?

 

 

 

 

 

เมื่อโดนถามคำถามนี้ เลเวล B เองก็ไม่รู้ว่าจะแนะนำตัวฉินเฟิงอย่างไรดี

 

 

 

 

 

เป็นผู้การรัฐเล็กๆระดับล่าง? , เป็นคนสังหารกวงเว่ย? , เป็นรุ่นเยาว์มากพรสวรรค์? , เป็นคนที่เข้าสำรวจหุบเหวตอนเหนือ และได้รับแต้มสงครามเกินกว่า 10,000 กลับมาทุกวัน? หรือเป็นตัวตนทรงพลังที่เกินกว่ามนุษย์เลเวลเดียวกันจะเข้าใจดี?

 

 

 

 

 

บุคคลเช่นนี้ ยิ่งคิดยิ่งน่าทึ่ง

 

 

 

 

 

ระหว่างพวกเขากำลังสนทนา ห่างออกไปหลายพันเมตร ทันใดนั้นเอง จู่ๆผืนฟ้าและผืนโลกก็เปลี่ยนสีไป

 

 

 

 

 

เปรี้ยง!

 

 

 

 

 

เสียงฟ้าร้องดึงอึกทึก ต่อมา พลันปรากฏเปลวเพลิงพวยพุ่งขึ้นสู่ชั้นอากาศเบื้องบน

 

 

 

 

 

ในป่าหยวน มีต้นไม้อยู่เป็นจำนวนมาก ต้นไม้ที่ใหญ่ที่สุด มีความสูงกว่า 20 เมตร ทว่าขณะนี้ เปลวเพลิงที่พวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ในช่วงแรก มันลอยสูงยิ่งกว่าต้นไม้ใหญ่เพียงครึ่งหนึ่ง น่าจะสักราวๆ 30 เมตร และต่อมาค่อยๆขยับขยาย จนขึ้นไปสูงกว่า 100 เมตร

 

 

 

 

 

บรรยากาศที่ชวนให้ผู้คนหวาดผวา ระเบิดออกมา

 

 

 

 

 

ผู้ใช้อบิลิตี้เลเวล B บางคน โดยเฉพาะผู้ใช้อบิลิตี้ไฟ เมื่อเห็นฉากนี้ ต่างตะลึงงัน ร้องอุทานด้วยความตกใจ

 

 

 

 

 

“นั่นเพลิงบรรจบ! มันคือเทคนิคเพลิงบรรจบ!”

 

 

 

 

 

ขณะนี้ ฉินเฟิงยืนอยู่ห่างออกจากทุกคนนับพันเมตร

 

 

 

 

 

เดิมฉินเฟิงคิดจะเร่งบุกเข้าไปให้ลึกกว่านี้ แต่ไม่นึกเลย ว่าห่างออกไปอีกพันเมตร กองทัพสัตว์ร้ายอีกระลอกจะปรากฏขึ้น

 

 

 

 

 

ในครั้งนี้ เป็นระลอกกองทัพของเผ่าพันธุ์ที่โดดเด่นด้านความเร็ว สัตว์ร้ายเลเวล C4 –เสือดาวรัตติกาล

 

 

 

 

 

สัตว์ร้ายสายพันธุ์นี้ ว่องไวมาก ครอบครองทักษะโจมตีที่ทรงพลัง ทั้งยังสามารถใช้รูนมืดเพื่อลอบเร้นกาย

 

 

 

 

 

หากปล่อยให้สัตว์ร้ายฝูงนี้หลุดออกไปถึงเขตชายแดน ฉินเฟิงรู้สึกว่า กำแพงชายแดนคงมิอาจต้านทาน ถึงคราวล่มสลาย

 

 

 

 

 

ยังไม่พอ เสือดาวรัตติกาลสายพันธุ์นี้ ทันทีที่ข้ามเขตชายแดน เป้าหมายของมันย่อมไม่พ้นเมืองเป่ยหัว ที่นั่นมีการจราจรค่อนข้างซับซ้อน ตึกรามอันหลากหลาย เป็นภูมิประเทศที่ง่ายต่อการซ่อนตัว น่ากลัวว่าจะมีผู้บริสุทธิ์หลายพันหลายหมื่นคนต้องกลายเป็นอาหาร เติมเต็มกระเพาะของเสือดาวรัตติกาล

 

 

 

 

 

ดังนั้นฉินเฟิงจึงไม่ลังเลใจ ทิ้งดิ่งลงจากฟากฟ้าอย่างรวดเร็ว

 

 

 

 

 

ร่วงโครม! ลงท่ามกลางฝูงเสือดาวรัตติกาล จากนั้น ตามร่างกายของฉินเฟิง ก็แพร่กระจายรูนไฟมหาศาลออกมา

 

 

 

 

 

เพียงพริบตา เพลิงบรรจบก็ลุกลามเป็นวงกว้าง กินรัศมีหลายร้อยเมตร ล้อมรอบปกคลุมฝูงเสือดาวรัตติกาล

 

 

 

 

 

ฝูงเสือดาวหลายพันตัว ถูกฉินเฟิงขังเอาไว้ทันที เปลวเพลิงลุกโชติช่วงในอากาศ แผดเผาและก่อตัวเป็นรั้วยักษ์สูงกว่า 30 เมตร ก่อร่างเป็นแนวกำแพงขนาดใหญ่ และภายในอาณาเขตไฟ ฉากจำนวนนับไม่ถ้วนได้ปรากฏขึ้น

 

 

 

 

 

เริ่มจากเปลวเพลิงม้วนตัวเป็นวง ก่อร่างเป็นบอลไฟขนาดยักษ์ ร่วงตกลงจากฟ้า ขณะเดียวกัน พื้นดินถูกเติมเต็มไปด้วยลาวา พร้อมกับเสาแมกมาปะทุขึ้นสู่เบื้องบน มังกรไฟนับไม่ถ้วน แหวกว่ายอยู่ในทะเลสาบเพลิงหนืด

 

 

 

 

 

อบิลิตี้เพลิงบรรจบ ไม่เพียงแต่สร้างอาณาเขตของตนเท่านั้น แต่มันยังสามารถเรียนรู้อบิลิตี้ของเจ้าของ และนำมาผสานรวมในอาณาเขตของตัวเองได้

 

 

 

 

 

ด้วยเหตุนี้เอง ก่อนหน้านี้จึงได้กล่าวอธิบายไปว่า ยิ่งครอบครองรูนมากเท่าไหร่ อำนาจของเพลิงบรรจบก็จะยิ่งน่าหวาดหวั่นขึ้นเท่านั้น

 

 

 

 

 

เพียงพริบตา ฝูงเสือดาวรัตติกาลก็ถูกกวาดล้างจนเหี้ยน

 

 

 

 

 

หนึ่งฝูงสัตว์ร้ายเลเวล C ปะทะกับมนุษย์ระดับจักรพรรดิเลเวล C ฝ่ายแรกย่อมมิอาจต้านทาน

 

 

 

 

 

หลังกำจัดฝูงเสือดาว ฉินเฟิงก็เรียกเพลิงบรรจบกลับคืน

 

 

 

 

 

ปรากฏปีกที่ลุกไหม้สีฟ้าขึ้นเบื้องหลังเขา ฉินเฟิงสยายปีก ทะยานหายลับไปในอากาศ มุ่งหน้าไกลออกไป

 

 

 

 

 

ขณะเดียวกัน บนกำแพงชายแดน ผู้ใช้พลังเลเวล B ที่สนทนากับลูกน้องในตอนแรก ได้เอ่ยปากออกมา “นายถามว่าเขาคือใครอย่างงั้นสินะ ฉันจะบอกแค่ครั้งเดียว จำเอาไว้ให้ดี เขาคือ ‘ผู้ที่อยู่เหนือโชคชะตา และจะกลายเป็นอีกหนึ่งตัวตนทรงอำนาจในอนาคต!’ ”

 

 

 

 

 

ผู้ใช้พลังเลเวล C ที่เพิ่งดูถูกฉินเฟิง เมื่อมองไปยังเปลวเพลิงและเจ้าของมันที่บินไกลออกไป เจ้าตัวก็รู้สึกราวกับถูกตบฉาดบนใบหน้า สองแก้มร้อนผ่าวดั่งถูกไฟเผา