ไป๋ฉินผงกศีรษะคล้ายกับทั้งเข้าใจและไม่เข้าใจ ปนกัน
ทว่าซูหลีไม่ทราบว่า ฉินเย่หานได้ส่งทหารหน่วยกล้าตายสองคนไปคุ้มกันซูหลี คำพูดที่นางพูดเมื่อครู่นี้ไม่นานก็ถ่ายทอดถึงหูฉินเย่หาน
เพล้ง! จอกชาหล่นลงบนพื้นแตกจนกลายเป็นผุยผง
หวงเผยซานที่คอยปรนนิบัติอยู่ด้านข้าง แทบจะคุกเข่าให้กับฮ่องเต้
หลังจากคนใต้อาณัตินำคำพูดของซูหลีถ่ายทอดให้เขาฟัง บรรยากาศภายในห้องทรงอักษรจึงตึงเครียดเป็นอย่างมาก เรื่องนี้ช่างเถอะ ไม่รู้ว่าในสมองของขันทีผู้น้อยใต้อาณัติของเขาคนนั้นผิดปกติที่ใด อาจเป็นเพราะถูกกลิ่นอายเยือกเย็นที่แผ่ซ่านออกจากร่างของฉินเย่หาน ทำให้แข็งจนทึมทื่อไปหมดแล้ว
ถึงได้ยกน้ำชาเย็นชืดให้กับฮ่องเต้จอกหนึ่ง!
หวงเผยซานแทบจะส่งเสียงร้องไห้ออกมา บรรยากาศในห้องทรงอักษรแห่งนี้ไม่ใช่สถานที่ที่คนควรอยู่
อีกทั้งนายท่านผู้นั้นยังไม่ปริปากพูดอะไรออกมา และไม่อธิบายสิ่งใดออกมาทั้งสิ้น
หวงเผยซานเป็นคนฉลาดปราดเปรื่องคนหนึ่ง จึงทราบสาเหตุที่ซูหลีก่อความวุ่นวายให้กับฮ่องเต้ในครานี้ ทว่าเรื่องที่ป๋ายถานเข้ามาเป็นนางสนมเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำ ฮ่องเต้ทรงไม่จำเป็นต้องก่อเรื่องราวใหญ่โตกับไทเฮาและสกุลป๋ายเพราะเรื่องหยุมหยิมเช่นนี้
อีกทั้งฮ่องเต้มิเคยแตะต้องป๋ายถานเลยสักนิด
ในวันนั้นฮ่องเต้ถูกป๋ายไต้ซือเชื้อเชิญให้เสด็จไปที่สวนดอกเหมยนอกเมือง ป๋ายไต้ซือดูเหมือนเป็นผู้อาวุโสที่อยู่มาสองราชวงศ์แล้ว ฮ่องเต้จึงทรงมิปฏิเสธ ใครจะรู้ว่าข้าวยังไม่ทันจะได้กิน ‘อาหาร’ ก็จัดวางรอบนโต๊ะเสียแล้ว
ท่าทางขวยเขินและประหม่าของป๋ายถานผู้นั้น หวงเผยซานมองแล้วหัวใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ ตลอดเวลา ตลอดทั้งบ่ายนั้นเขาไม่กล้ามองสีหน้าของฉินเย่หานเลยแม้แต่น้อย
หลังจากนั้นฉินเย่หานจึงรับป๋ายถานเข้าวัง และถือโอกาสแต่งตั้งนางเป็นเล่อผินเหนียงเหนียง ทว่าไม่ได้โปรดปรานนางเลยแม้แต่น้อย
อย่าคิดว่าหวงเผยซานมีท่าทางหวาดกลัว ที่จริงแล้วเขาถือว่าเป็นคนแรกที่สามารถพูดจาต่อหน้าพระพักตร์ของฮ่องเต้ได้ ฮ่องเต้ทรงมิได้โปรดปรานป๋ายถาน สกุลป๋ายก็ให้คนนำของกำนัลให้เขาเต็มห้องไปเสียหมด นี่ก็เพราะต้องการให้เขาไปสอบถามว่า ฮ่องเต้ทรงกระทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร
ของเหล่านี้ล้วนส่งมาแล้ว หวงเผยซานนั้นยึดถือหลักการที่ว่าไม่รับ แต่ท้ายที่สุดก็ต้องรับเอาไว้ จึงถามฮ่องเต้อย่างอ้อมค้อมคราหนึ่ง ในเวลานั้นฮ่องเต้ทรงตรัสว่าอย่างไร? อ๋อ…
“จัดการคนไปจับตามองไว้ หากยังว่านอนสอนง่ายก็ปล่อยไป หากล้ำเส้นมาแม้แต่นิดเดียวก็ส่งอั้นจิ่วไปจัดการ”
ส่งอั้นจิ่วไปจัดการ!
หัวใจของหวงเผยซานสั่นสะท้าน ถ้าป๋ายถานผู้นี้อยู่เฉยๆ ก็ยังดี ถ้านางไม่อยู่ในโอวาทก็จำเป็นต้องไปปรนนิบัติ…คนแปลกหน้าที่เคยเห็นหน้าตามาก่อน
อย่าคิดว่าหากอั้นจิ่วปรากฏตัวในยามปกติจะมีรูปโฉมที่คล้ายคลึงกับฉินเย่หานเจ็ดถึงแปดส่วน ทว่าพวกเขานั้นทราบดีว่า ที่จริงแล้วอั้นจิ่วผู้นี้มีรูปโฉมแตกต่างกับฉินเย่หานอยู่มาก เดิมคนผู้นี้มีส่วนคล้ายคลึงกับฉินเย่หานเพียงสองถึงสามส่วนเท่านั้น เจ็ดถึงแปดส่วนที่เห็นนั้นล้วนใช้วิชาแปลงกายสร้างขึ้นมา
กอปรกับไม่ให้เหล่าผินเฟยจุดไฟในยามราตรี อีกทั้งอั้นจิ่วยังมีส่วนสูงพอๆ กับฮ่องเต้ ใครจะสามารถทราบได้ว่าคนผู้นั้นเป็นใครกันแน่
หวงเผยซานได้ยินในใจก็รู้สึกหวาดกลัวแล้ว ทว่าเขาก็รู้ดีว่าอะไรที่พูดได้ อะไรที่พูดออกไปไม่ได้
เขาเป็นคนของใคร ในใจเขานั้นทราบอย่างชัดแจ้งดี เรื่องที่เขารับของกำนัลของสกุลป๋ายนั้น ฉินเย่หานไม่จำเป็นต้องรับรู้ ทว่าฉินเย่หานไม่เคยสนใจสิ่งของเหล่านี้มาก่อน พวกเราที่เป็นคนใต้อาณัติก็ทราบดีว่าควรจะจัดการอย่างไร
หลังจากได้รับคำตอบจากฮ่องเต้ หวงเผยซานจึงสั่งให้คนนำกระดาษแผ่นหนึ่งไปส่งให้กับเล่อผินเหนียงเหนียง…
‘ช่วงนี้ฝ่าบาททรงยุ่งเรื่องราชการ ทรงไม่มีพระทัยจะใส่พระทัยเรื่องของหญิงชาย’
ข้อความที่ส่งกลับมานี้ ทำให้ทางป๋ายถานเบาใจลงไม่น้อย
ทว่า…
เรื่องเหล่านี้หวงเผยซานนั้นเข้าใจอย่างชัดเจน ทว่าไม่สามารถให้คนไปอธิบายกับซูหลีได้
เรื่องนี้ไม่ว่าจะอย่างไรก็ถือเป็นความลับของราชนิกุล หากเขาพูดออกไปเพียงครึ่งคำ ศีรษะของเขาคงหลุดออกจากบ่า ทว่าหากไม่พูดทางด้านซูหลีก็ไม่ยอมให้พวกเขารับรู้ว่านางเป็นอย่างไรบ้าง
นี่เป็นโชคไม่ดีของเขาโดยแท้ ทุกวันนี้ต้องใช้ชีวิตอย่างตัวสั่นงกๆ ประหนึ่งน้ำแข็งบางปกคลุมร่างไว้
เขากลัวว่าตนจะพูดอะไรผิดไป!