ตอนที่ 423 แสงแห่งความหวัง

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 423 แสงแห่งความหวัง

“ในยามที่ผู้คนมองมิเห็นความหวังใด ๆ ก็มักจะมีทางเลือกอยู่สองทางเสมอ”

ฟู่เสี่ยวกวนยืนอยู่ทางด้านซ้ายของภูเขาผิงหลิง สายตาจ้องมองไปยังฉากครึกครื้นของด้านล่างเขา แล้วหันไปกล่าวกับไป๋ยู่เหลียนที่อยู่ข้าง ๆ อย่างเชื่องช้าว่า “ประการที่หนึ่งคือยอมแพ้ และจมลงไปทั้งอย่างนั้น จนกระทั่งสิ้นชีวิต ประการที่สองคือดิ้นรนอย่างหนัก อย่างเช่นการเป็นโจร ถึงเยี่ยงไรก็ตายเช่นกัน สู้จนตัวตายไปจะดีกว่า”

ไป๋ยู่เหลียนดึงน้ำเต้าสุราน้ำเต้าขึ้นมาดื่ม “ดังนั้นเจ้าจึงให้ความหวังพวกเขาเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“เจ้าดูสิ ไม่กี่วันก่อนหน้านี้มีคนเฝ้าดูเป็นจำนวนมาก แต่หลังจากที่พวกเขาเห็นว่าคนที่มาทำงานที่นี่ได้เงินจริง ๆ ความหวังของพวกเขาจึงสูงขึ้น ดังนั้นผู้เข้าร่วมในวันที่สองจึงเพิ่มขึ้นเป็นสองส่วน จนถึงวันนี้ ความสงสัยในใจของพวกเขาได้หายไปจนหมดแล้ว แม้แต่รอยยิ้มที่หายไปนานก็ได้ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของพวกเขา”

ช่างของซีซานได้มาถึงอำเภอผิงหลิงและชวูอี้ในเดือนสิบวันที่สิบห้า

วันรุ่งขึ้น ชาวบ้านจากสองอำเภอจำนวนนับหมื่นจากทั่วทุกสารทิศได้ตรงมายังที่ว่าการอำเภอ คนส่วนใหญ่มาเพื่อรับข้าวจำนวน 5 ชั่ง !

พวกเขาทนกินพวกมันมิได้ หากนำไปขายในเมืองก็จะสามารถเปลี่ยนเป็นเงินได้ 200 – 300 อีแปะ !

ช่างจากซีซานใช้เวลาสองวันในการเลือกสถานที่ตั้งโรงงานทำปูนซีเมนต์และกระเบื้อง จนถึงเดือนสิบวันที่สิบแปด การก่อสร้างเหล่านี้จึงได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ

วันที่หนึ่งชาวบ้านที่เข้าร่วมด้วยมีเพียงหมื่นกว่าคนเท่านั้น ส่วนผู้คนที่เหลือต่างก็เฝ้ารอดู

และหลังจากที่ได้จ่ายเงินค่าจ้างตามที่ประกาศไว้โดยไม่มีผิดเพี้ยนไป ความคับข้องใจของชาวบ้านที่คอยเฝ้าดูอยู่ก็ลดหายไปจำนวนมาก ในวันที่สองคนที่คอยเฝ้าดูเหลือเพียงสองส่วนเท่านั้น

จนถึงวันที่สาม ชาวบ้านทั้งหมดต่างก็มาสมัครเข้าทำงาน

ในกลุ่มนั้นมีทั้งผู้ที่อายุครบ 12 ปีเต็มและมีทั้งยังไม่ถึง 12 ปีเต็ม มีผู้สูงอายุที่อายุมากกว่า 60 ปี แต่ก็เป็นส่วนน้อย คนส่วนมากจะเป็นวัยฉกรรจ์ และในหมู่พวกเขาส่วนมากก็เป็นชาวบ้านที่เคยผันตัวไปเป็นโจรภูเขามาก่อน

“แท้จริงแล้วเด็กที่มีอายุเท่านี้ควรจะไปสำนักศึกษา ผู้อาวุโสเหล่านั้นควรจะได้พักผ่อนช่วงบั้นปลายอยู่ที่บ้าน… เสี่ยวไป๋เอ๋ย มิใช่ว่าข้ามิอิงตามหนทางการใช้แรงงาน แต่พวกเขาในตอนนี้ ต้องการเงินอย่างแท้จริง ! ”

ไป๋ยู่เหลียนเหลือบมองฟู่เสี่ยวกวน เขามิรู้ว่าอะไรคือหนทางการใช้แรงงาน เขารู้เพียงแค่ว่าชาวบ้านเหล่านี้ใช้พลังในการทำงานได้บ้าคลั่งอย่างแท้จริง

ดินเหนียวหนักเกินไป เด็กสองคนจะต้องช่วยกันยกออกไป เหล่าผู้อาวุโสใช้ตะกร้าสานสะพายขึ้นหลัง ใช้ไม้เท้าค้ำยันและเดินตัวสั่นเทาออกไป

ฟู่เสี่ยวกวนได้ไหว้วานให้สองอำเภอสร้างโรงอาหารที่สถานที่ก่อสร้าง ซึ่งอาหารก็มิได้ดีไปกว่าซีซานมากนัก

ยังจำวันแรกที่ทานอาหารได้เลยว่า หลังคาที่สร้างขึ้นมาชั่วคราวนั้นได้ถูกทำลายโดยชาวบ้านที่เข้ามาอย่างแน่นขนัด แม้ผู้ตรวจการจากสองอำเภอจะชักดาบออกมาก็มิได้มีประโยชน์เท่าใดนัก

แต่แล้วสถานการณ์ก็ได้กลับมาปกติหลังจากผ่านไปสามวัน บางทีชาวบ้านอาจจะรับรู้แล้วว่าจะมีอาหารทานเยี่ยงนี้ในทุกวัน และทุกคนก็จะได้รับมัน

หลังจากนั้นพวกเขาก็เริ่มเข้าแถวรออย่างใจเย็น ความเป็นระเบียบจึงได้ฟื้นฟูกลับคืนมา

หนึ่งอำเภอมีชาวบ้านที่เข้าร่วมก่อสร้างอย่างน้อยที่สุด 40,000 คน เพียงแค่เรื่องทำอาหาร ก็ทำให้นายอำเภอทั้งสองอำเภอต้องระดมความคิดกันจนปวดหัวแล้ว

ที่นี่ต้องการเสบียงอาหารจำนวนมาก และต้องการคนจำนวนมากด้วยเช่นกัน ดังนั้นฟู่เสี่ยวกวนจึงได้ให้ขนส่งซีซานมาส่งเสบียงที่นี่ตั้งแต่เนิ่น ๆ แล้ว ทั้งยังรับประกันว่าจะมีเสบียงอาหารที่เพียงพอ และจะไม่เกิดความวุ่นวาย

“ตอนนี้เรื่องทางนี้ได้เป็นไปตามที่เจ้าหวังไว้แล้ว ต่อจากนี้เล่า ? ”

“ต่อจากนี้พวกเราจะต้องเดินทางไปยังแคว้นฮวง”

“เฉินป๋อได้เข้าไปปลุกปั่นให้เกิดพายุในแคว้นฮวงแล้ว และได้ปล้นทุ่งเลี้ยงสัตว์ของชาวฮวงมาหนึ่งแห่ง ปัญหาเรื่องม้าศึกได้คลี่คลายลงไปแล้ว พวกเขากำลังฝึกฝนการขี่ม้าบนทุ่งหญ้า”

“อือ ให้พวกเขาใช้กลยุทธ์แบบกองโจร ปล้นสะดมทุ่งเลี้ยงสัตว์ของชาวฮวงเป็นหลัก บางคราก็เข้าไปตีเมืองเล็กแถบชายแดนบ้าง ต้องล่อให้ทหารชั้นยอดจากเมืองหลวงของแคว้นฮวงออกมาให้ได้”

ทันใดนั้นไป๋ยู่เหลียนก็ได้เอ่ยถามขึ้นมา “หากมีโอกาสได้ยึดพระราชวังป๋ายจินฮ่านของแคว้นฮวง…จะลงมือหรือไม่ ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนนิ่งเงียบเพื่อครุ่นคิดอย่างโง่งมอยู่ไม่กี่อึดใจ หลังจากนั้นก็สะบั้นความคิดนี้ไป “เจ้าสมองบวม นั่นคือถิ่นของศัตรู และในปัจจุบันนี้ชาวฮวงมีทหารม้าทั้งหมด 100,000 นาย สภาพแวดล้อมของสถานที่ตรงนั้นมิเหมือนกับภูเขาผิงหลิงแห่งนี้ ทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ที่ไร้เขตแดน พวกเราเหลือกำลังพลเพียงแค่สามพันหกร้อยกว่าคนเท่านั้น พวกเราจะจัดการเยี่ยงไรหากมีศัตรูบุกเข้ามา ? ”

“หากมีปืนใหญ่หงอี 100 กระบอกก็เพียงพอแล้ว…” ไป๋ยู่เหลียนกล่าวขึ้นมาอีกคราอย่างนึกเสียดาย “หลังจากที่กลับจากการรบครานี้ ยังต้องเพิ่มจำนวนทหารต่อไปอีก เจ้าจะแสดงตนออกไปเมื่อใด กองกำลังสามารถจุได้มากสุดเพียง 2,000 คน พวกเรามีมากกว่าเป็นหนึ่งเท่า หากขยายกำลังพลไปอีก…เกรงว่าฝ่าบาทจะทรงคิดว่าข้าจะก่อกบฏ ! ”

แสดงตน…

ฟู่เสี่ยวกวนมองไปยังหิมะที่ตกหนัก มิรู้ว่าจนถึงวันนี้ร่างกายของอู๋หลิงเอ๋อร์ได้ฟื้นฟูขึ้นมาบ้างแล้วหรือยัง ?

เขามิค่อยเข้าใจสถานการณ์ของราชวงศ์อู๋เท่าใดนัก เพียงแค่มีไทเฮาอยู่ มีอัครมหาเสนาบดีทั้งซ้ายและขวาที่ซื่อสัตย์คอยช่วยเหลือ ราชบัลลังก์ของอู๋หลิงเอ๋อร์ก็น่าจะมั่นคงมากแล้ว

ในทางตรงกันข้ามคือหากเขาแสดงตนออกไป ถึงจะสร้างความเดือดร้อนให้กับราชบัลลังก์ของอู๋หลิงเอ๋อร์

แต่เยี่ยงไรเสียชาวราชวงศ์อู๋ก็ได้ยอมรับให้อู๋หลิงเอ๋อร์ขึ้นเป็นจักรพรรดินีเพราะสายเลือดของจักรพรรดิเหวินในปัจจุบันนี้มีเพียงแค่อู๋หลิงเอ๋อร์คนเดียวเท่านั้น

“ค่อยว่ากันอีกที รอให้จบจากการเดินทางไปยังแคว้นฮวงเสียก่อน”

“องค์หญิงสามจะมาถึงที่นี่เมื่อใด ? ”

“ตามเวลาแล้ว อีกมินานก็น่าจะมาถึงแล้ว”

……

รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่เก้า เดือนสิบ วันที่ยี่สิบห้า

ขบวนส่งตัวขององค์หญิงสามได้มาถึงอำเภอผิงหลิงในยามอู่

นายอำเภอจางเหวินฮั่นแห่งอำเภอผิงหลิงย่อมวุ่นวายทันพลัน ส่วนนายอำเภอเยี่ยนหลินชิวแห่งอำเภอชวูอี้ก็ได้มายังที่นี่เช่นกัน เยี่ยนหลินชิวและองค์หญิงสามหยูชิงหลานรู้จักกันก่อนหน้านี้แล้ว ดังนั้นเขาจึงอยากมาพบองค์หญิงสามเพื่อกล่าวคำอำลา เพราะองค์หญิงสามต้องเดินทางออกนอกกำแพงของราชวงศ์หยู เกรงว่าชั่วชีวิตนี้คงยากที่จะได้พบกันอีก

คณะราชทูตส่งตัวองค์หญิงสามมีเสนาบดีกรมพิธีการสวี่หวยซู่เป็นผู้นำ เรื่องความปลอดภัยมีเซวียผิงกุยคอยรับผิดชอบผู้ใต้บังคับบัญชาจำนวนนับพันของฮั่วหวยจิ่น ทั้งสองคนนี้ต่างก็มีประสบการณ์ในการเดินทางไปยังราชวงศ์อู๋มาแล้วทั้งคู่

และคณะทูตที่เดินทางมาต้อนรับยังจินหลิงก็คือราชครูท่าป๋าชิวจากแคว้นฮวง เขาได้พาท่าป๋ายวนหลานชายของเขามาด้วย

แคว้นฮวงเองก็มีผู้คุ้มกันถึง 500 คน ขบวนนี้ยิ่งใหญ่เป็นอย่างมาก จึงทำให้จางเหวินฮั่นสับสนทันพลัน ให้ตายเถอะ ! คนครัวของอำเภอผิงหลิงแทบจะถูกเชิญไปสถานที่ก่อสร้างใต้ภูเขาผิงหลิงจนหมด แล้วจะแก้ไขปัญหาการกินของคนนับพันนี้ได้เยี่ยงไรกัน ?

ตามความหมายของสวี่หวยซู่และท่าป๋าชิว ขบวนมิจำเป็นต้องหยุดพักที่อำเภอผิงหลิง แต่ควรจะตรงไปยังเมืองซินเฉิงแทน

ในฐานะเมืองยุทธศาสตร์ทางตอนเหนือของราชวงศ์หยู เมืองซินเฉิงใหญ่โตกว่าผิงหลิงเป็นเท่าตัว และเมืองซินเฉิงเองก็มีจุดพักทางการของราชวงศ์หยู อย่างน้อยก็น่าจะแก้ปัญหาเรื่องที่พักและการกินได้ดียิ่งกว่า

แต่องค์หญิงสามกลับกล่าวว่าจะอยู่ที่ผิงหลิงแห่งนี้หนึ่งวัน เพื่อรำลึกถึงบ้านเกิด

ขบวนจึงได้หยุดลงที่เส้นทางเดินของอำเภอผิงหลิง องค์หญิงสามและผู้ติดตามขบวนทุกคนได้ลงมาจากราชรถ

แต่เดิมคิดว่าจะมีผู้คนมาเฝ้าดูจำนวนมาก แต่หลังจากที่หยูชิงหลานลงจากรถม้าก็พบว่าสถานที่แห่งนี้นั้นอ้างว้างมากยิ่งนัก มีเพียงขุนนางมิกี่คนเท่านั้นที่เข้ามาต้อนรับ

“ที่นี่…เหตุใดจึงดูรกร้างถึงเพียงนี้กัน ? ” หยูชิงหลานเอ่ยถาม นางทราบว่าผิงหลิงและชวูอี้คือสถานที่แห้งแล้ง แต่มิเคยคิดมาก่อนว่าจะเป็นสถานที่ที่ร้ายแรงถึงเพียงนี้

“ทูลองค์หญิง ซีซานได้มาลงทุนสร้างอุตสาหกรรมที่ผิงหลิงและชวูอี้ ชาวบ้าน…ต่างไปทำงานที่สถานที่ก่อสร้างของพวกเขาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

หยูชิงหลานชะงัก “อ่า… พาข้าไปดูหน่อยได้หรือไม่ ? ”

“นี่…”

“มีอันใดมิสะดวกเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“มิใช่ว่ามิสะดวกพ่ะย่ะค่ะ เพียงแค่ฐานันดรขององค์หญิงนั้นสูงส่ง สถานที่ตรงนั้นในตอนนี้วุ่นวายเป็นอย่างมากเกรงว่าจะระคายพระเนตรขององค์หญิงได้พ่ะย่ะค่ะ”

“มิเป็นไร นำทางเถิด ! ”