บทที่ 547 ผลไม้แห้งเหี่ยวปริศนา

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

บทที่ 547 ผลไม้แห้งเหี่ยวปริศนา Ink Stone_Fantasy

หวังเป่าเล่อได้เห็นการบรรลุขั้นกำเนิดแก่นในของทั้งกงเต๋าและเจ้าเยี่ยเหมิง และยังได้เห็นแก่นของเคล็ดวิชาฝึกปราณของทั้งคู่ด้วย

นี่เป็นสาเหตุว่าเหตุใดตามปกติ ผู้ฝึกตนที่กำลังจะบรรลุจากขั้นรากฐานตั้งมั่นไปสู่ขั้นกำเนิดแก่นในจะต้องไปหาที่เงียบๆ เพื่อถือสันโดษ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะไม่ต้องการให้ใครมารบกวน อีกส่วนหนึ่งก็เพื่อรักษาเคล็ดวิชาฝึกปราณของตนเอาไว้เป็นความลับนั่นเอง

แต่เห็นได้ชัดว่าทั้งกงเต๋าและเจ้าเยี่ยเหมิงต่างก็เชื่อใจหวังเป่าเล่อเป็นอย่างยิ่ง ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะเปรียบเทียบคนทั้งคู่ และยิ่งเขาคิดเปรียบเทียบมากเพียงใด ก็ยิ่งอดชื่นชมในความยอดเยี่ยมของกงเต๋าไม่ได้

*เขาไม่ได้รวมประสบการณ์ที่ดวงเนตรแห่งวิชาไม่รู้สิ้นกับพวกเราด้วยซ้ำ ถึงกระนั้นก็ยังมีดวงเนตรมายาปรากฏขึ้นตอนที่บรรลุขั้น แถมพลังที่เขาปล่อยออกมายังไล่เลี่ยกับเจ้าเยี่ยเหมิง…กงเต๋าผู้นี้ไม่ธรรมดาจริงๆ!*หวังเป่าเล่อตบบ่ากงเต๋า

“ไม่เลว จงรักษามาตรฐานต่อไป พวกเรามีแม่ทัพอีกคนมาร่วมสมาคมคนหน้าตาดีขั้นเทพแล้วสินะ!” หวังเป่าเล่อระเบิดหัวเราะ ส่วนกงเต๋าเองก็ดูตื่นเต้นยินดีเช่นกัน ขั้นกำเนิดแก่นในกับขั้นรากฐานตั้งมั่นนั้นต่างกันโดยสิ้นเชิง ในฐานะคนรุ่นเดียวกันกับหวังเป่าเล่อ กงเต๋าอยู่ภายใต้ความกดดันอย่างหนัก เพราะความก้าวหน้าในการฝึกตนของหวังเป่าเล่อรวดเร็วเกิดไป กงเต๋าที่เพิ่งบรรลุขั้นกำเนิดแก่นในก็จะได้พักบ้างในที่สุด

ชายหนุ่มกล่าวขอบคุณหวังเป่าเล่อ ทะเลเพลิงกำลังจะเข้าท่วมทั้งถ้ำในไม่ช้า ดังนั้นพวกเขาจึงรีบออกไป ต่างพากันก้าวขึ้นเรือวิญญาณและจากไปอย่างเร่งรีบ หลังจากที่ออกมาแล้วทะเลเพลิงก็ไหลเข้าท่วมถ้ำจนมิด และเมื่อพวกเขาออกมาด้านนอกได้ ก็เห็นว่าสนามรบโบราณจมลงไปในทะเลเพลิงแล้วกว่าครึ่ง

การเดินทางขากลับนั้นแสนง่ายดาย ทั้งคู่ไม่พบเจออุปสรรคใดเลยระหว่างทาง ไม่นานนักก็ผ่านอาณาเขตทะเลเพลิงกลับเข้าสู่เกาะเพลิงเขียวของหวังเป่าเล่ออีกครั้ง เมื่อกลับมาถึงถ้ำที่พักแล้ว หวังเป่าเล่อก็เฝ้ามองกงเต๋าที่กำลังพยายามข่มใจจากความตื่นเต้นยินดีก่อนหน้า ก่อนจะหยิบสิ่งของที่ได้จากการเดินทางออกมาดู

พวกเขาได้ของมามากพอสมควร มีของชิ้นเล็กๆ จำนวนมากที่มีราคาอยู่ไม่น้อย แต่มีสามสิ่งที่ดูสะดุดตายิ่งกว่าชิ้นอื่นๆ ชิ้นแรกคือหม้อหลอมโอสถขนาดเขื่อง ชิ้นที่สองคือกล่องหยก ส่วนชิ้นที่สามคือรูปปั้นค้างคาวหินนั่นเอง!

ถ้ำที่พักนั้นถูกเปิดขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี ทุกๆ สิ่งจึงอยู่ในสภาพดีเยี่ยม ทั้งสองยังพบโอสถเม็ดหนึ่งอยู่ภายในหม้อหลอมโอสถอีกด้วย

แต่พวกเขาไม่แน่ใจนักว่ามันเป็นโอสถชนิดใดจึงไม่กล้าเปิดหม้อหลอมออกดู หวังเป่าเล่อนั้นแม้จะไม่ชำนาญด้านการหลอมโอสถแต่ก็ยังมีความรู้พื้นฐานอยู่บ้าง ชายหนุ่มรู้ขั้นตอนสุดท้ายในการหลอมโอสถและความแตกต่างที่จะเกิดขึ้นหากหม้อหลอมถูกเปิดด้วยวิธีที่แตกต่างกัน หลังจากที่พูดคุยกันอยู่พักใหญ่ ทั้งสองก็ตัดสินใจว่าให้กงเต๋าเป็นคนรับหม้อหลอมโอสถไป เพื่อจะได้ไปหาใครสักคนที่รู้วิธีเปิดหม้อหลอมนี้อย่างถูกต้อง

จากนั้นก็เป็นกล่องหยก กล่องนั้นถูกผนึกเอาไว้แต่ไม่แน่นหนาเท่าใดนัก จุดประสงค์สำคัญของผนึกดูเหมือนจะใช้กักเก็บพลังวิญญาณเอาไว้ภายใน หวังเป่าเล่อและกงเต๋าเปิดกล่องได้อย่างรวดเร็ว สิ่งที่นอนแน่นิ่งอยู่ภายในนั้นคือ…ผลไม้แห้งเหี่ยวลูกหนึ่ง!

ผิวนอกของมันเหี่ยวย่นและมีขนาดเท่าไข่ไก่ ดูธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง ทว่าทันทีที่เปิดกล่องหยก คลื่นของกลิ่นประหลาดก็แผ่ออกมาเป็นระลอก เป็นกลิ่นที่รุนแรงไม่น้อย หวังเป่าเล่อเพียงสูดดมไปนิดเดียวก็มีสีหน้าตื่นตะลึง ก่อนจะรู้สึกมีกำลังวังชา แถมจิตสัมผัสวิญญาณของเขายังชัดเจนขึ้นมาในบัดดล

ชายหนุ่มตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง สิ่งที่เขาต้องการที่สุดในตอนนี้คือการเพิ่มความเฉียบคมให้จิตสัมผัสวิญญาณของตน และดูเหมือนว่าผลไม้ลูกนี้จะมีคุณสมบัติที่ว่า หวังเป่าเล่อรีบพูดขึ้นมา “กงเต๋า ข้าว่าผลไม้นี้มีประโยชน์กับข้าแน่นอน!”

กงเต๋ารู้ดีว่าผลไม้นี้เลอค่าเพียงใด ทันทีที่ได้ยินหวังเป่าเล่อพูดดังนั้น ชายหนุ่มก็รีบผลักกล่องไปให้อย่างไม่รีรอ ก่อนจะเลิกสนใจทั้งกล่องและรูปปั้นค้างคาวหินไปเสียเฉยๆ พลางพูดว่า “เจ้าช่วยรับรูปปั้นค้างคาวไปด้วยเถอะ ถ้ามันกลับมามีชีวิตอีกครั้งข้าคงรับมือด้วยไม่ไหว”

หวังเป่าเล่อไม่ได้พยายามจะปฏิเสธ ชายหนุ่มพยักหน้า ก่อนจะให้สิ่งของอื่นๆ ที่เหลืออยู่ราวร้อยละเจ็ดสิบกับกงเต๋า กงเต๋ายิ้มให้กับความใจดีนี้ก่อนจะรับของไปด้วยใจเบิกบาน ทั้งคู่ต่างก็สุขสมหวังกับสมบัติที่หามาได้รวมทั้งพลังปราณที่เพิ่มพูนขึ้น กงเต๋าบรรลุขั้นกำเนิดแก่นในแล้ว ขณะที่ขั้นกำเนิดแก่นในชั้นกลางของหวังเป่าเล่อก็พัฒนาขึ้น หลังจากเสร็จธุระเรื่องแบ่งของ ทั้งคู่จึงพูดคุยเรื่องผู้ฝึกตนชั่วช้าจากสำนักวังเต๋าไพศาลที่ได้พบเจอมาอย่างออกรส

“ข้ากำลังจะบรรลุขั้นอยู่แล้ว แต่สัมผัสได้ถึงอันตรายจึงแอบลืมตามองแล้วก็เห็นหลี่ปิน…” กงเต๋ามีสีหน้าเคร่งเครียดขณะพูดด้วยเสียงต่ำ

“เป่าเล่อ เจ้าต้องระมัดระวังตัวให้มาก เจ้าหลี่ปินคนนี้…จากที่ข้าเคยได้ยินเรื่องของเขามา เป็นบุคคลที่ร้ายกาจยิ่ง เขามีบารมีอยู่พอสมควรในหมู่ศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาล แถมยังไม่มีผู้ใดกล้าท้าทายเขาอีกด้วย ข้าเคยได้ยินกระทั่งเรื่องฉาวโฉ่ว่ามีศิษย์ด้วยกันที่ตายเพราะน้ำมือเขา…แต่อาจารย์ของเขาเป็นผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณ แถมตัวเขาเองก็อยู่ในขั้นกำเนิดแก่นในชั้นปลายจึงแข็งแกร่งไม่ใช่น้อย ด้วยเหตุนี้เขาจึงสามารถทำตามอำเภอใจและทำตนอยู่เหนือกฎหมายได้”

“หลังจากเหตุการณ์นี้ เขาคงจะเพ่งเล็งพวกเราเป็นแน่ ตามนิสัยของเขาที่เป็นคนขี้อิจฉาและเจ้าคิดเจ้าแค้น เขาต้องหาโอกาสมาทำให้ชีวิตของเราลำบากขึ้นแน่นอน!” ขณะที่พูด ประกายเย็นเยียบก็สะท้อนอยู่ในแววตาของกงเต๋า แม้ว่าชายหนุ่มจะเพิ่งบรรลุขั้นกำเนิดแก่นในมาหมาดๆ แต่ความหลงใหลในความรุนแรงของเขาก็เข้มข้นอยู่เสมอ ชายหนุ่มหรี่ตาลงก่อนจะพูดต่อไป!

“ข้าขอเสนอว่าเราควรรวบรวมพรรคพวกไปกำจัดเจ้าหลี่ปิ่นเสียให้พ้นทาง!”

หวังเป่าเล่อยิ้มออกมาเมื่อได้ยินคำพูดของกงเต๋า เขาเองก็ตั้งใจเช่นนั้นไม่ต่างกัน แต่พวกเขาก็ยังต้องการเวลาในการวางแผนให้รัดกุม การสังหารใครสักคนไม่ใช่เรื่องยาก สิ่งที่ยากคือการเก็บกวาดในภายหลังต่างหาก

“เป็นไปได้สูงว่าจะมีคนมารู้เข้าหากเราเลือกลงมือบริเวณด้ามจับ เรื่องนี้ควรเก็บไว้เป็นตัวเลือกสุดท้าย จับตาดูเขาไว้ก็แล้วกัน ดูว่าหลี่ปินจะไปที่ตัวกระบี่อีกครั้งเมื่อใด เมื่อเขาไปแล้ว เราก็จะไม่ให้เขาได้กลับออกมาอีก!” หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ หวังเป่าเล่อก็พรั่งพรูความคิดในใจให้กงเต๋าฟัง ก่อนที่อีกฝ่ายจะจากไป

หวังเป่าเล่อเฝ้ามองขณะที่กงเต๋าเดินจากไป ก่อนจะกลับไปยังถ้ำที่พักของตน หยิบกล่องหยกขึ้นเปิดอีกครั้ง ชายหนุ่มหยิบผลไม้แห้งเหี่ยวด้านในออกมาและสูดดมมัน ความรู้สึกที่ว่าจิตสัมผัสวิญญาณของเขาเฉียมคมขึ้นผุดขึ้นมาอีกครั้ง เขาจ้องมองผลไม้อย่างพินิจพิเคราะห์ ก่อนจะลงความเห็นว่าหากเขาดูดซับพลังวิญญาณของผลไม้นี้เป็นระยะเวลาหนึ่ง จิตสัมผัสวิญญาณของเขาย่อมแข็งแกร่งขึ้นแน่นอน

*ผลไม้สวรรค์ที่ช่วยยกระดับจิตสัมผัสวิญญาณ…*หวังเป่าเล่อเลียริมฝีปาก ใจหนึ่งก็อยากจะกลืนกินผลไม้นี้ลงไปเสียเดี๋ยวนั้น แต่ชายหนุ่มก็เกิดไม่แน่ใจเมื่อได้เห็นร่องรอยเหี่ยวย่นบนผิวของมัน

*ข้าจะกินอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ ถ้าท้องเสียขึ้นมาจะทำอย่างไรกัน…*เมื่อคิดได้เช่นนั้น หวังเป่าเล่อจึงตัดสินใจจะไปยังสำนักวังเต๋าไพศาลอีกครั้งเพื่อค้นคว้าเรื่องผลไม้นี้เพิ่มเติม ชายหนุ่มยังต้องการข้อมูลเกี่ยวกับมันอีกมาก หวังเป่าเล่อลองเรียกแม่นางน้อยดูด้วย แต่นางก็ยังคงไม่ตอบเขา เขารู้จักนิสัยของนางดี นางจะแสร้งทำเป็นหลับเมื่อเขาต้องการถามสิ่งที่นางไม่มีความรู้!

หวังเป่าเล่อได้แต่ทอดถอนใจให้กับความคิดนั้น ก่อนจะนั่งลงทำสมาธิเพื่อจัดระเบียบพัฒนาการของปราณในร่างหลังจากที่ได้รับปราณวิญญาณจำนวนมากมาก่อนหน้านี้ เช้าวันถัดมา ชายหนุ่มเดินออกมาจากถ้ำที่พักและมุ่งหน้าตรงไปยังสำนักวังเต๋าไพศาลเพื่อค้นคว้าเรื่องผลไม้

หนึ่งเดือนผ่านไป บรรดาพันธุ์กล้าสหพันธรัฐได้ใช้เวลาที่สำนักวังเต๋าไพศาลมาครบหนึ่งปีเต็ม

ตามข้อตกลงระหว่างพันธุ์กล้าสหพันธรัฐและเฟิ่งชิวหรัน พันธุ์กล้าสหพันธรัฐรุ่นที่สองน่าจะมาถึงในเร็ววัน แต่กระนั้น หวังเป่าเล่อก็สังเกตว่าสำนักวังเต๋าไพศาลดูเหมือนไม่มีการเตรียมการใดๆ เพื่อต้อนรับการมาถึงของรุ่นที่สองแม้แต่น้อย สิ่งนี้ทำให้ชายหนุ่มเริ่มสงสัย

ในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา เขาใช้แต้มการรบจำนวนหนึ่งเพื่ออ่านบันทึกมากมาย เพื่อหาข้อมูลเกี่ยวกับผลไม้ลูกนั้น หวังเป่าเล่อพบผลไม้หกชนิดที่เข้าข่ายว่าจะเป็นผลไม้ของเขา แต่ละชนิดต่างก็มีสรรพคุณวิเศษมากมาย แถมยังมีความคล้ายคลึงกันอย่างยิ่ง เป็นการยากต่อหวังเป่าเล่อที่จะแจกแจงว่าชนิดใดเป็นชนิดใดแน่

แต่ปัญหาเรื่องนี้ก็ไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มหยุดฝึกปราณกับผลไม้แห้งเหี่ยว ในช่วงการฝึกตนแต่ละครั้ง หวังเป่าเล่อจะวางผลไม้ไว้ตรงหน้า พลันจิตสัมผัสวิญญาณของเขาก็จะลุกโชติช่วงขึ้นมา มันพัฒนาขึ้นมากในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้

ผลลัพธ์นั้นเห็นได้ชัดเจนจากความสำเร็จในการหลอมอาวุธเวท แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะยังหลอมอาวุธเวทระดับแปดจริงๆ ไม่สำเร็จ แต่แปดจากสิบครั้ง เขาก็ยังสามารถหลอมอาวุธเวทระดับแปดที่สามารถใช้ได้ถึงสองครั้งก่อนจะพังออกมาได้

ยิ่งไปกว่านั้น ชายหนุ่มสัมผัสได้ว่าเขากำลังก้าวหน้าไปในทิศทางที่ถูกต้อง ตราบใดที่จิตสัมผัสวิญญาณของเขายังรุดหน้าต่อไป อาจจะมีสักวันที่เขาสามารถหลอมอาวุธเวทระดับแปดจริงๆ ได้สำเร็จก็เป็นได้!

เมื่อใดก็ตามที่ข้าหลอมอาวุธเวทระดับแปดได้ ถ้าคิดจากความชำนาญของข้าในการหลอมอาวุธเวทบวกกับแต้มการรบที่ข้าสามารถแลกได้ ข้าต้องเสริมพลังฝักกระบี่ให้กลายเป็นอาวุธเวทระดับเจ็ดได้แน่นอน!

หวังเป่าเล่อเชิดหน้าขึ้น ดวงตาของเขาลุกโชนด้วยความตื่นเต้น การเสริมพลังฝักกระบี่เป็นความท้าทายสำหรับเขามาโดยตลอด ไหนจะเรื่องการหาวัตถุดิบ ไหนจะเรื่องขั้นตอนการเสริมพลังฝักกระบี่ที่แตกต่างจากวัตถุเวททั่วๆ ไป หวังเป่าเล่อมีความรู้สึกว่าหากเขาล้มเหลวในขั้นตอนการเสริมพลัง จะต้องเป็นความเสียหายอย่างหนักแน่นอน

เขายังพอรับมือได้เมื่อครั้งที่ฝักกระบี่ยังเป็นสมบัติเวทระดับหกอยู่ แต่การจะเสริมพลังสมบัติเวทระดับหกให้กลายเป็นอาวุธเวทระดับเจ็ดนั้นท้าทางอย่างยิ่ง เป็นเหตุให้หวังเป่าเล่อต้องระมัดระวังเป็นอย่างมาก

ยังมีหอกอยู่อีก เมื่อใดที่ข้าหลอมอาวุธเวทระดับแปดขึ้นมาได้จริงๆ ข้าก็จะซ่อมแซมมันได้ แม้ว่าจะไม่ถึงกับคืนสภาพเดิมเต็มร้อย แต่พลังของหอกก็น่าจะแข็งแกร่งใช่น้อยนัยน์ตาของหวังเป่าเล่อลุกโชน นอกจากนั้นแล้วชายหนุ่มยังฝึกกระบวนเวทอัสนีนิรันดร์จำแลงและวิชาสืบทอดเกราะจักรพรรดิอยู่ไม่ขาด ความรุดหน้าในการฝึกกระบวนเวทอัสนีนิรันดร์จำแลงดำเนินไปอย่างไม่ติดขัด ร่างอวตารที่เรียกออกมาได้นั้นก็มีรูปร่างชัดเจนขึ้น

แต่วิชาสืบทอดเกราะจักรพรรดิยังน่าเป็นห่วง หวังเป่าเล่อเริ่มสงสัยว่าเขาอาจขาดตัวเร่งปฏิกิริยาบางประการไป ชายหนุ่มรู้สึกว่าเขายังขาดบางสิ่งที่สำคัญมากๆ อยู่

บางที สิ่งที่ข้าไม่มีก็คือความรู้แจ้ง…ไม่ใช่สิ ข้าขาดสิ่งใดอยู่กันแน่นะ…หรือว่าจะเป็นต้นแบบ