ตอนที่ 607 ยืมลูกธนูจากเรือมุงจาก

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ตอนที่ 607 ยืมลูกธนูจากเรือมุงจาก

 

 

หลังจากผ่านไปสองชั่วโมง หลี่ว์ซู่ก็เหลือบมองไปยังมั่วเฉิงคง เขาชักสีหน้าขึ้นมา

 

 

“หัวหน้ามั่ว พอแล้วมั้ง…”

 

 

“นายยังยืนยันว่าจะไปอยู่หรือเปล่าล่ะ” มั่วเฉิงคงถาม

 

 

“ไม่ไปแล้ว ครั้งนี้สัญญาจริงๆ ว่าไม่ไป จริงๆ นะ!” หลี่ว์ซู่ตอบอย่างหมดความอดทน

 

 

“จะให้เชื่อได้ไง พูดมาสี่สิบเจ็ดรอบแล้วนะ”

 

 

เฉินจู่อานเสนออะไรขึ้นมาจากด้านข้าง ตาข้างหนึ่งของเขาบวมเป่ง “บอกเขาไปสิว่าขอมัดจำเงินพันนึง เขาไม่จากไปแล้วทิ้งเงินไว้แน่นอน”

 

 

ผ่านไปหนึ่งนาที ตาทั้งสองข้างของเฉินจู่อานก็บวมเป่งกลายเป็นสีม่วง เขาต้องขอร้อง “พี่มั่ว นี่ผมก็ทำดีที่สุดแล้วนะ พี่จะเสียกำลังคนไปเปล่าๆ ถ้าพี่ยังให้ผมช่วยต่อ”

 

 

เมื่อก่อนหลี่ว์ซู่รู้ว่าเฉินจู่อานนั้นแสบสันอย่างไม่น่าเชื่อ เขากล้าแหย่กับเกาเสินอิ่น เฉิงชิวเฉี่ยว และห่าวจื้อเชาอีกด้วย แต่ตอนนี้หลี่ว์ซู่เข้าใจแล้วว่าเฉินจู่อานไม่ได้แสบ แต่เฉินจู่อานไม่กลัวตายต่างหาก

 

 

หลี่ว์ซู่ต้องควักเอาเงินหนึ่งพันหยวนออกมาจากกระเป๋าเงิน แต่แล้วเขาก็เก็บห้าร้อยหยวนกลับไปเมื่อจู่ๆ ก็คิดอะไรออก เขายื่นเงินให้มั่วเฉิงคงแล้วบอกว่า “เอ้า เอาเป็นเครื่องยึดว่าครั้งนี้ฉันจะไม่ไปไหนจริงๆ”

 

 

มั่วเฉิงคงนับธนบัตรแล้วใส่มันไว้ในกระเป๋าเงินตัวเอง “เดี๋ยวออกไปแล้วจะคืนเงินให้ ไม่ต้องเป็นห่วง”

 

 

เท่านั้นแหละบรรยากาศในทีม 42 จึงจะกลับมาเป็นปกติ

 

 

แต่แล้วมั่วเฉิงคงก็ถามอย่างตื่นเต้น “มาเป็นสมาชิกในทีมฉันแล้วก็ต้องฟังฉันนะ พวกนายอยู่ระดับไหนกัน”

 

 

“ระดับ D ขั้นกลาง”

 

 

“ระดับ D ขั้นกลาง”

 

 

ทั้งสองคนตอบออกมาอย่างพร้อมเพรียง

 

 

แล้วก็หันไปมองหน้ากันอย่างเข้าใจ

 

 

มั่วเฉิงคงยิ้มออกมา “ฉันอยู่ระดับ D ขั้นสูง งั้นเดี๋ยวจะพาไปดูแนวป้องกันของเรา ทุกคนต้องทำหน้าที่เฝ้ายามตอนกลางคืนด้วย”

 

 

ทั้งสองคนฟังมั่วเฉิงคงอธิบายกลยุทธ์ทางทหารที่สรุปมาแล้วอย่างตั้งใจ

 

 

พวกทหารจากทะเลนั้นจะใส่เกราะทองแดงเยินๆ ผุพังแล้ว และอาวุธเดียวที่พวกเขาใช้ก็คือหอกสามง่าม สมาชิกทีมอยู่ในระดับ D ถึง E ส่วนพวกฝีมือดีๆ จะอยู่ระดับ C

 

 

เห็นแล้วหลายคนก็สงสัยว่าทำไมพวกเขาถึงใส่เกราะทองแดงหนักๆ กันทั้งๆ ที่อยู่ทะเลแบบนี้ แต่กลายเป็นว่าพวกเขาดูจะชอบมันกัน

 

 

ยิ่งกว่านั้นหากถูกกำจัด พวกเขาก็จมหายสลายกับผุยผง ไม่เหลือแม้แต่ซากศพให้เห็น

 

 

หลายคนได้ประมือสู้กับเผ่าพันธุ์ใต้ทะเลอย่างใกล้ชิดมาแล้ว และทุกคนล้วนบอกว่าพวกนั้นมีรูปร่างเหมือนมนุษย์ เว้นเพียงแต่ว่าส่วนผิวหนังนั้นมีสีน้ำเงินแซม ตอนแรกพวกเขาคาดว่าจะได้เห็นอวัยวะที่จำเป็นสำหรับการอาศัยในโลกใต้น้ำ อย่างเช่นเหงือกที่เอาไว้หายใจ แต่ดูเหมือนว่าพวกมันจะไม่มีอะไรแบบนั้นอยู่

 

 

และในตอนนั้นเฉินไป่หลี่ก็เหาะกลับมา หลี่ว์ซู่ประหลาดใจมากที่เห็นเขาแบกเชือกหนาๆ เส้นหนึ่งที่มีพวกนักเรียนเกาะมาด้วยเพื่อไม่ให้ตกลงไป

 

 

“ตอนแรกก็สงสัยอยู่ว่าจะเอาคนกลับมาหมดได้ไง” หลี่ว์ซู่พูดขึ้น “ดูสิ ตอนนี้เฉินไป่หลี่กกลายเป็นเฮลิคอปเตอร์ไปแล้ว”

 

 

เฉินจู่อานกระซิบถาม “พี่ยังอยากหนีไปอยู่หรือเปล่า ผมรู้สึกว่าทีมนี้ไม่ค่อยได้เรื่องเลย เราอยู่ช่วยพวกเขาดีไหมพี่”

 

 

หลี่ว์ซู่ตอบกลับอย่างรำคาญใจ “มั่นใจได้น่า ฉันไม่ไปแล้ว”

 

 

จากนั้นเขาก็เห็นเฉินจู่อานเร่งออกไปอย่างร่าเริง เขาเหลือบมองไปเห็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่พิงกำแพงหินอยู่และมีหนังสือวางอยู่บนตัก

 

 

ตู้เซวี่ยเหมยนี่!

 

 

ทีนี้หลี่ว์ซู่เข้าใจแล้วว่าทำไมเจ้าตุ้ยนุ้ยนี้อยากอยู่ต่อใจจะขาด ก็เพราะผู้หญิงที่เฉินจู่อานชอบอยู่นี่ด้วยยังไงล่ะ!

 

 

แหม พ่อหนุ่มนักรัก!

 

 

ตู้เซวี่ยเหมยกำลังอ่านหนังสือเงียบๆ หลายคนอาจไม่มีความคิดจะพกหนังสือมาโบราณสถานด้วยเท่าไหร่ แต่ตู้เซวี่ยเหมยนั้นไม่สนใจสิ่งรอบข้างหรอก

 

 

พอเจ้าตุ้ยนุ้ยเข้าไปหา เธอก็มองขึ้นมา แล้วสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นยินดีปรีดา หลี่ว์ซู่ลอบมองอยู่ไกลๆ ด้วยสีหน้าไม่ค่อยดีนัก เขาปล่อยไปตามสถานการณ์ก็ได้เพราะเสี่ยวอวี๋น่าจะปลอดภัยดีจากศัตรูระดับ D และ C ที่มาจากทะเล

 

 

ไม่นานหลังจากนั้น เฉินจู่อานก็คว้าเอาอาหารออกมาจากกระเป๋า มีเพียงหลี่ว์ซู่ที่สังเกตเห็นว่านักเรียนรอบตัวพวกเขานั้นดูผ่ายผอมและซีดเซียวกันหมด

 

 

อาหารบนเกาะมีไม่พอรึเปล่านะ หลี่ว์ซู่เอาอาหารมาเยอะเหมือนกัน แต่ปริมาณพอสำหรับสองคนที่จะเอาชีวิตรอดในสองเดือนเท่านั้น ถ้าจะแจกจ่ายให้กับคนทั้งเกาะก็คงไม่พอ

 

 

คงต้องรีบหาทางออกจากโบราณสถานนี้แทนที่จะแจกอาหารของเขาให้คนอื่น

 

 

เวลาผ่านไปพอสมควร กลางคืนก็มาถึง เฉินจู่อานเดินกลับมาหาหลี่ว์ซู่แล้วพูดกับเขาอย่างมีความสุข “เซวี่ยเหมยบอกว่าผมดูแข็งแกร่งมากขึ้นหลังกลับมาจากภารกิจ เธอบอกว่าผมไม่อ้วนแล้ว แค่ท้วมสมบูรณ์”

 

 

“ดูสิ มีความสุขมากเลยสินะ แล้วนายได้แบ่งอาหารของนายให้หรือเปล่า” หลี่ว์ซู่ถาม

 

 

“พวกเขาเริ่มแย่กันแล้วล่ะ เพราะทุกคนเตรียมอาหารมาสำหรับแค่สิบห้าวันเท่านั้น ตอนนี้ก็ผ่านมาสิบวันแล้ว อาหารของพวกเขาเลยถูกริบไปเพื่อจะได้เอาไปแบ่งให้ทุกคนอย่างยุติธรรม”

 

 

หลี่ว์ซู่บอกอย่างใจเย็น “ดูเหมือนปู่ของนายจะวางแผนสู้แบบระยะยาวไว้นะ เขายังไม่แน่ใจเลยว่าดวงตาแห่งค่ายกลอยู่ไหน ฉันกลัวว่ามันจะไปอยู่ใต้ทะเลน่ะสิ”

 

 

“ผมก็ว่างั้น” เฉินจู่อานพยักหน้า “แต่ตอนนี้เราไม่รู้ว่าสถานการณ์จะเป็นยังไง พวกใต้ทะเลก็ยังไม่โผล่ออกมาให้เห็น ปู่ของผมเองก็ไม่กล้าลงทะเลไปหรอก เพราะเขาต้องใช้พลังกว่าสามสิบเปอร์เซ็นต์ปกป้องตัวเองใต้ทะเลนั่น”

 

 

การรอคอยมันช่างนานแสนนานจริงๆ จากนั้นเฉินไป่หลี่ก็ออกไปสำรวจในทิศสุดท้ายสำเร็จก่อนพระอาทิตย์ตกดิน

 

 

พอความมืดคืบคลานเข้ามา ดวงดาวบนท้องฟ้าก็ปรากฏขึ้น แล้วกระจกบนพื้นก็กลายเป็นมหาสมุทรที่เงียบสงบปราศจากลมพัด

 

 

ภาพสะท้อนท้องฟ้าที่มีดวงดาวและกาแล็กซีจากผิวทะเลทำให้ผิวทะเลดูเหมือนท้องฟ้าไปด้วยเหมือนกัน

 

 

ภาพที่เห็นตรงหน้านั้นสวยงามมาก เหมือนกับว่าจักรวาลแผ่ขยายความกว้างใหญ่และความงดงามออกมา

 

 

“ถ้าที่นี่ปลอดภัยก็คงจะดีไม่น้อยเลยนะ คงจะเป็นสวรรค์บนดินได้เลย” มั่วเฉิงคงพูดขณะที่ดูท้องฟ้าและทะเลบนแนวการป้องกัน

 

 

แล้วอยู่ๆ ก็มีระลอกคลื่นเบาๆ ขึ้นในทะเล ใกล้เข้ามาที่แนวป้องกันเรื่อยๆ หลี่ว์ซู่รีบดึงมั่วเฉิงคงกลับมา แล้วจากนั้นก็มีหอกสามง่ามขว้างขึ้นมาจากทะเลมา ปักลงตรงจุดที่มั่วเฉิงคงเคยยืนอยู่ เขาคงตายไปแล้วถ้าหลี่ว์ซู่ช้ากว่านั้นไปนิดเดียว!

 

 

ทว่ามันยังไม่จบแค่นั้น ขณะที่ทุกคนกลั้นหายใจด้วยความตื่นตระหนก หลี่ว์ซู่ก็พุ่งไปข้างหน้าและคว้าหอกสามง่ามที่ถูกขว้างมาไว้ เขายืนอยู่บนกำแพงหินคนเดียว จากนั้นก็มีหอกสามง่ามขว้างขึ้นมาอีกสามเล่ม หลี่ว์ซู่ก็คว้าหอกทั้งสามเล่มไว้ทันภายในครั้งเดียว!

 

 

เฉินจู่อานตะลึงไปเลย เขาพูดพึมพำออกมากับหลี่ว์ซู่ที่ยืนอยู่บนกำแพงคนเดียวแบบนั้น

 

 

“ยะ..ยืมลูกธนูจากเรือมุงจาก [1] งั้นเหรอ!”

 

 

 

 

——

 

 

[1] เป็นเรื่องเล่าเก่าแก่ของจีนที่จูเก่อเหลียงเก็บลูกธนูขึ้นมาโดยหลอกให้ศัตรูยิงโจมตีเข้าไปที่เรือมุงจาก เป็นสำนวนที่หมายถึงการหลอกใช้ความคิดและทรัพยากรของบุคคลอื่นเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของตนเอง